xs
xsm
sm
md
lg

ปมแค้นสั่งฟ้า “เปรม-จิ๋ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
รายงานพิเศษ
โดย...ฮาร์ดแมน

ถึงเวลานี้ เชื่อว่าประตูเหล็กบ้านสี่เสาเทเวศน์น่าจะปิดตายสำหรับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ไปแล้ว และก็เชื่อว่า พล.อ.ชวลิตเองก็ย่อมรู้ดี

แม้หากวันใดวันหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ จะเย็นลง แต่การเปิดประตูต้อนรับคนที่เคยเป็นน้องรัก ที่ลดสถานะเป็นเพียง “เพื่อน” ก็ไม่น่าจะเหมือนเดิม

ที่จริงไม่ใช่เพียงเพราะกรณีที่ พล.อ.ชวลิต หรือ “จิ๋ว”ที่ พล.อ.เปรมเรียกขานมาตลอด ตัดสินใจคัมแบ็คการเมือง โดยเดินเข้าพรรคเพื่อไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หนีคดีอยู่ต่างแดน ที่สร้างความคับข้องหมองใจให้แก่ป๋าเท่านั้น

แต่เป็นอารมณ์สั่งสมกับบทบาทของ “จิ๋ว” ที่ทำให้ป๋าหงุดหงิดใจมาโดยตลอดในช่วง 10 ปีหลังมานี้ “จิ๋ว”เดินห่างออกจากบ้านสี่เสาฯ ไปเรื่อยๆ

เมื่อเลือกไปข้องแวะคบหากับคนที่ประกาศตัวเป็นศัตรูชัดเจน ก็ย่อมสร้างความไม่พอใจให้ พล.อ.เปรม แน่นอนอยู่แล้ว และคำว่า

น้องรัก-ลูกรัก ก็ต้องกลายเป็นอดีตไป

อย่างไรก็ตาม พอจะเข้าใจได้ว่า เหตุที่ พล.อ.ชวลิต จำเป็นต้องเลือกข้าง น่าจะมาจากกรณีที่ตัวเขาติดคดีสลายม็อบ7ตุลาฯ ที่ ป.ป.ช.สั่งเชือดพร้อมๆ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายตำรวจใหญ่อีกสองนาย

“จิ๋ว”ไม่มีทางเลือก ต้องหันมาต่อสู้ เพื่อปกป้องตัวเองจากคดีความ ในเมื่อไม้ใหญ่แห่งบ้านสี่เสาฯไม่สามารถให้ร่มเงาคุ้มภัยที่ตัวเองก่อไว้ และกรรมมาถึงตัวในวันนี้ได้ จึงเป็นจุดชี้ขาดให้ย้ายข้าง

แต่ก็อย่าลืมว่า เหตุที่ไม้ใหญ่ไม่แผ่ร่มเงามาถึง ก็เพราะด้วยการทำตัว “ไม่น่ารัก”ของ พล.อ.ชวลิตเอง ทั้งการชักเข้าชักออกในการโดดเข้าร่วมฝั่งตรงข้ามของป๋าหลายครั้ง

รวมทั้งกรณีที่เข้าไปเป็นรองนายกฯในรัฐบาลนอมินีสมชาย จนติดชนักคดีความด้วย

แต่สาเหตุที่แท้จริง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ “สะบั้นรัก”ระหว่างพี่-น้อง อดีตนายและลูกน้องที่รักคู่นี้ มีรอยปริร้าวสั่งสมมาได้พักใหญ่แล้ว โดยเฉพาะภายหลังการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยาฯ2549

ก่อนหน้านั้น พล.อ.ชวลิต ติดตาม พล.อ.เปรม ไปให้โอวาทแก่นักเรียนนายร้อยทั้งสามเหล่าทัพมาโดยตลอด ในการสำแดงแสนยานุภาพของผู้รักบ้านรักเมือง ส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้นำอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังฮึกเหิมหยิ่งหยองในอำนาจนายกฯ

ช่วงเวลานั้น ว่ากันว่า “จิ๋ว”แอคทีฟมากถึงขั้นที่ว่า ต้องเปิดตู้เสื้อผ้าหาเครื่องแบบนายทหารทั้งสามเหล่าทัพที่พับเก็บไว้มานานมาสวมใส่เพื่อออกงานกับป๋า และถึงขั้นต้องส่งให้ช่างตัดเสื้อไปปรับแก้แต่งทรง ให้เหมาะสมกับรูปร่างที่เปลี่ยนไป

“จิ๋ว”ที่กลับมาเป็นวอลเปเปอร์ พร้อมนายทหารลูกป๋าทั้งหลาย เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา และเห็นด้วยกับโอวาทหลายครั้งในทุกสถาบันการศึกษาของกองทัพของป๋า ในเรื่อง จ๊อกกี้ และม้า

แม้แต่ในช่วงการรัฐประหาร ว่ากันว่า พล.อ.ชวลิต ก็มีส่วนร่วมในคปค. ที่เปลี่ยนมาเป็น คมช.ในภายหลัง โดยเฉพาะการปรากฏตัวของพล.อ.วิชิต ยาทิพย์ มือขวาของบิ๊กจิ๋ว ในกองบัญชาการกองทัพบก วอร์รูมคณะรัฐประหารคปค.ด้วยเช่นกัน

และเรื่องนี้ก็เป็นปมสำคัญ ที่ทำให้ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจย้ายข้าง เนื่องจากภายหลังการรัฐประหาร ที่ตัวเองก็มีส่วนลงแรงด้วย แต่ไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลใดๆจากการร่วมงานใหญ่ของชาติในครั้งนี้

นอกจากตัวเองที่ยืน“มือเปล่า” ไม่ถูกเรียกใช้ ต้องยืนอยู่วงนอกในรัฐบาลขิงแก่ ทั้งที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะนั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แม้แต่เครือข่ายของบ้านปิ่นประคม พล.อ.วิชิต ก็มึนงง

ในช่วงรัฐบาลขิงแก่ และการควบคุมของคณะรัฐประหาร คมช. ถึงได้เห็น พล.อ.ชวลิต ออกมาฟาดงวงฟาดงา ใส่น้องๆในคมช. และรัฐบาล หลายครั้ง โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องคณะรัฐประหารส่งคนเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ มากมาย

โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ที่ไม่พอใจเพราะตำแหน่งสำคัญๆ มากมายนั้น ไม่มีโควตาสำหรับพี่ชายคนนี้แม้แต่เพียงนิดเดียว

แต่ก็เพียงแค่สะกิดเตือนความจำน้องๆ เพราะ เจ้าของฉายา “ขงเบ้งกองทัพ” รู้ที่จะเลือกเล่นตอนไหน และนิ่งเมื่อใด แต่เมื่อรู้แน่แล้วว่า ไม่ได้รับการสนองตอบ อาการนิ่งที่ว่านั้น จึงเป็นการนิ่งเงียบที่น่ากลัว

สอดรับกับสถานการณ์ช่วงนั้น มีข่าวการ “ปฏิวัติซ้อน” โดยเฉพาะจากสาย ตท.9 นายทหารร่วมรุ่นของ พล.อ.วิชิต ที่พอยังมีเพื่อนอยู่ในหน่วยกำลังหลักกองทัพ อีกทั้งเหตุการณ์ระเบิด9จุดใน กทม.ช่วงปลายปี 2549 คาบเกี่ยวกับต้นปี 2550 ที่ถูกมองว่าอาจเป็นชนวนก่อการ

แต่สุดท้ายปฏิวัติซ้อนไม่เกิด และเหตุระเบิดก็ไม่สามารถจับตัวผู้ก่อการได้ แต่โดยรวมของสถานการณ์บ้านเมืองทวีความแตกแยกและรุนแรงขึ้น

สำหรับ “บิ๊กจิ๋ว”เอง อย่างที่บอกว่าเป็นนายทหารที่ไบรท์ และเชี่ยวชาญในเรื่องการวางหมากเกมกลยุทธ์ เขาเลือกที่จะนิ่งรอ และรอ จนกระทั่งรู้แน่แล้วว่าไม่สมประสงค์ การหักกับผู้ใหญ่ที่ตัวเองเคยเคารพและติดตามรับใช้มาหลายปี

โดยเฉพาะปมสำคัญ ที่ทำให้นิ่งและรอไม่ไหวอีกต่อไป เพราะที่เป็นเป้าหมายและความต้องการของ พล.อ.ชวลิต ที่แท้จริง ที่เห็นได้จากการแสดงบทบาทในการเป็นโซ่ข้อกลาง เพื่อเชื่อมความสมานฉันท์ ยุติความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในบ้านเมือง

คือการส่งสัญญาณสุดท้ายถึงบ้านสี่เสาฯ ขอเข้ามาทำหน้าที่นี้ ในรัฐบาลแห่งความสมานฉันท์ ขอเป็นคีย์แมนคนสำคัญ ผู้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล รัฐบาลแห่งชาติ

แม้ไม่แสดงออกชัดเจนว่าต้องการคัมแบ็กเก้าอี้ผู้นำประเทศในรัฐบาลเฉพาะกิจอีกครั้งหรือไม่ แต่คนก็มองได้ว่า การขับเคลื่อนของ “บิ๊กจิ๋ว” มีความต้องการเช่นนั้น

รวมทั้งเป้าหมายสูงสุดจริงๆ บน “เก้าอี้เกียรติยศ” ที่เหนือกว่าการเป็นนายกฯ

ตำแหน่ง เสาหลักของบ้านเมือง?

สิ่งที่หวังพังทลายลงไป ตั้งแต่ตำแหน่งประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าทำหน้าที่ มูลนิธิเพื่อการกุศล ทำงานในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ แทนที่จะเป็นเขา

เพราะเคยมีกระแสข่าวมาก่อนหน้านั้นว่า ตำแหน่งนี้เดิมที่ พล.อ.เปรมได้วางตัว พล.อ.ชวลิตให้มาทำหน้าที่ แต่สุดท้ายต้องเปลี่ยนใจ ที่อาจจะเป็นเพราะเกิดไม่ไว้วางใจกับความโลเล ชักเข้าชักออกของอดีตทส.นายกฯ ที่เคยทำงานให้เมื่อ20กว่าปีก่อน

และนั่นก็เป็นการทำลายฝันของ"จิ๋ว"สู่เก้าอี้เกียรติยศในลำดับถัดไป ที่เคยมุ่งหวังรับใช้บ้านเมืองในช่วงอัสดงของชีวิต

ไม่เท่านั้นที่ยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่ เมื่อผู้ที่มารับตำแหน่งประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ และก้าวไปสู่การเป็นองคมนตรี คือพล.อ.สุรยุทธ์ ที่แม้จะเคยร่วมทำงานใกล้ชิดกันมาในยุครัฐบาลเปรม แต่ก็ขบเกลียวกันมาตลอดในระยะหลัง

ความขัดแย้งที่สั่งสมมา จาการปฏิบัติราชการลับตามตะเข็บชายแดน ในศูนย์ปฏิบัติชายแดนทางฝั่งเขมร ที่ มีความหลังฝังใจ ทำให้ “ลูกป๋า” แตกคอกันมานับแต่นั้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับ "ป๋าเปรม" ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในยามนี้ เหมือนเจอกับศึกหนัก เมื่ออดีตลูกป๋าทั้งหลายย้ายข้างเปลี่ยนขั้ว ไปยืนเผชิญหน้าอยู่กับฝั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับบ้านสี่เสาฯ ชัดเจนแล้ว

คนอย่าง "ป๋าเปรม" ผู้ผ่านศึกโชกโชนจนได้รับฉายา “นักฆ่าแห่งลุ่มเจ้าพระยา” แม้อดีตนายทหารม้าจะไม่ปราดเปรียวตามวัยที่ล่วงเลย แต่ใจยังแข็งแกร่ง และพร้อมสู้กับศึกและศัตรูที่ดาหน้าเข้ามา

ม้าแก่วิ่งช้า แต่ไปถึงจุดหมาย!
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
กำลังโหลดความคิดเห็น