“การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” หรือ “ซักฟอก” นายกรัฐมนตรีกับอีก 5 รัฐมนตรีก็จบสิ้นกระบวนความกันไปเรียบร้อยเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผลคะแนนโหวต “ไว้วางใจ” เรียกว่า “สอบผ่าน” กันทุกคนดังคาด ส่วนคะแนนที่ได้รับแตกต่างกันนั้น อาจจะดูไม่แตกต่างมากมายนัก แต่ต้องเรียนตามตรงว่า “ส่งสัญญาณนัย!” สำคัญหลายประการ พรรคแกนนำ “ประชาธิปัตย์” และ “นายกรัฐมนตรี” ต้องนำมาพิจารณาอย่างดีที่สุด ในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง มิใช่ “ว่ากันเลยตามเลย!”
ถ้าวิเคราะห์กันในเชิง “คณิตศาสตร์-นิติศาสตร์” นั้นแน่นอนว่า “สอบผ่าน!” แต่ในเชิง “รัฐศาสตร์” นั้น มีตัวแปร และ/หรือปัจจัยหลากหลายกรณีที่จำเป็นจะต้องพิจารณา โดยเฉพาะในกรณีของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้มิใช่ว่าพิจารณากรณีของการร่วมกับ “กลุ่มพันธมิตรฯ” แต่พิจารณาในกรณีที่ว่า “ทำไมได้คะแนนน้อยที่สุด” ตลอดจน “วีรกรรม” ที่คุณกษิตได้สร้างไว้ในอดีต ประกอบกับพฤติกรรมและข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมา
คะแนนที่ได้แต่ละคน เริ่มตั้งแต่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 4 คนนั้น เท่ากันคือ 246 เสียง ส่วนคะแนนค้านได้คะแนนจิ๊บจ๊อยเพียง 170 กว่าคะแนนเท่านั้น ในส่วนของ “พรรคเพื่อไทย” หายไป 10 กว่ามือ หรือพูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “พรรคเพื่อไทย” มี “งูเห่า” หายไปเกือบ 15 คน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วนและเข้มข้นที่สุด!
เราไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน “การอภิปราย-การซักฟอก” มายาวนานหลายปี ว่าไปแล้วน่าจะเริ่มตั้งแต่สมัย “รัฐบาลทักษิณ 1” ยาวนานตลอด 5-6 ปี ของช่วงทักษิณรุ่งเรืองสุดๆ เนื่องด้วยคะแนนเสียงของฝ่ายค้านขณะนั้น ไม่มีความสามารถที่จะรวบรวมรายชื่อจำนวนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้ ตลอดจนความพยายามที่ก่อให้เกิด “ระบอบทักษิณ” ที่สกัดกั้นทุกวิถีทางมิให้เกิด “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ได้ เนื่องด้วยคุณทักษิณ ไม่ต้องการให้ประชาชนได้ล่วงรู้ถึงพฤติการณ์และพฤติกรรมของตนเองและรัฐบาลได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็น “ข้อเท็จจริง” หรือ “ข้อกล่าวหา” ก็ตาม!
ดังนั้น “บรรยากาศตรวจสอบ” เช่นนี้ เราไม่ได้เห็นกันมานานแล้ว ทั้งๆ ที่การเมืองปัจจุบันถูกฝ่ายค้านทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ต่างค่อนแคะและประชดประชันว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย”
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ภายใต้กรอบกฎกติกาของระบบการเมืองเสรีประชาธิปไตยก็จบสิ้นกระบวนความไปเรียบร้อยแล้ว โดยเนื้อหาสาระและข้อมูลก็มิใช่จะเป็น “หมัดเด็ด” ที่จะ “น็อกรัฐบาล” ได้สมราคาคุย ตลอดจนข้อมูลอาจจะไม่ซี๊ดซ๊าดเท่าใดนัก จะมีก็แค่เพียงของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง เท่านั้น ที่ต้องขอกล่าวชมเชยว่า “ได้เนื้อได้หนัง” ที่สุด
อย่างไรก็ดี “ข้อมูล” ที่นำมาอภิปรายนั้น มักจะเป็น “ข้อมูลเก่า” ที่เกิดขึ้นช่วงปี 2547-2548 ที่อาจจะไม่มีข้อมูลมัดแน่น กล่าวคือ เงินบริจาคจากบริษัทในเครือทีพีไอ (TPI) ของคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จำนวน 258 หรือ 263 ล้านบาท กับเงินอุดหนุนสนับสนุนการเลือกตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 23-29 ล้านบาท
ทั้งนี้ กกต.รับนำข้อมูลทั้งหมดเสนอสู่คณะกรรมการการเลือกตั้งทันที เพื่อนำไปสอบสวนข้อเท็จจริง จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า “พรรคประชาธิปัตย์” มีโอกาส “ยุบแน่!”
จากความคิดเห็นของนักวิชาการ สื่อสารมวลชน และผู้คนโดยทั่วไป ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “การอภิปรายฯ” ครั้งนี้ “ไร้น้ำหนัก-ข้อมูลเดิม-ไร้หมัดเด็ด!” ซึ่งจะไม่ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การหวังโค่นล้มรัฐบาล” ก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ หรือแม้กระทั่ง “การปรับคณะรัฐมนตรี”
แม้กระทั่ง จนหวังผลเลิศกับการที่ กกต.จะพิจารณาวินิจฉัยถึงขั้น “ยุบพรรค” ประชาธิปัตย์ ขอฟันธงได้เลยว่า โอกาสที่จะเกิดขึ้น “ริบหรี่!” เต็มที แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า “ข้อมูลเก่า” และที่สำคัญที่สุด การโยงใยกับ “เสี่ยอ๊อด” คุณประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น จนถึงขั้น “เดิมพันตำแหน่ง” ด้วยการ “เลิกเล่นการเมือง” ไปเลยนั้น ส่อนัยสำคัญว่า “เสี่ยอ๊อด” มั่นใจในความบริสุทธิ์แบบสุดๆ!
บรรยากาศของการอภิปรายฯ ทั้งสองวันนั้น เริ่มต้นช่วงแรกๆ ก็ดูจะไปได้ด้วยดี ชนิดเป็นลำไม้ไผ่ ไหงเวลาผ่านไปเพียง 6-7 ชั่วโมงของการอภิปรายฯ วันแรกกลายเป็นบ้องกัญชา ที่มีแต่การประท้วงท่านประธานฯ เมื่อ “ไอ้หัวหงอก” เริ่มเปิดฉากอภิปราย ด้วยปัญหาของ “ความยียวน” แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือ “การพาดพิงคนนอก” ตลอดจน “ข้อกล่าวหา” สารพัดอย่าง จนกลายเป็น “การยั่วยุ” ในที่สุด และก็ “ป่วน” สมบรรยากาศ “เน่า” เดิมๆ อย่างที่เคยเป็นมา
ผู้อภิปรายที่มักเป็น “สายล่อฟ้า” ที่ก่อให้เกิด “ความโกลาหล-น้ำเน่า” จะมีเพียง 3-4 คนเท่านั้น อาทิ “ไอ้หัวหงอก-หัวขาว” และ “คนบ้าเครื่องแบบ” ส่วน “ไอ้ผมเกรียน” งวดนี้ “เข้าเรื่องเข้าราว” มากกว่าทุกครั้ง
ส่วนบรรดา “องครักษ์โนเนม” ทั้งหลาย ก็คอยป่วนสภาฯ ด้วยการประท้วงจน “เสียอารมณ์-เสียเวลา” จนทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่สมควรจะได้เนื้อหาสาระมากกว่านี้ กลับกลายเป็นว่า “ฝ่ายรัฐบาล” ได้ “คะแนน” ไปเต็มๆ ส่วน “ฝ่ายค้าน” ได้แต่ “โห่-การดูแคลน” ของประชาชนโดยทั่วไป ศึกษาได้จากสารพัดสำนักสำรวจความคิดเห็นหรือ “โพล” 2-3 แห่ง อาทิ “สวนดุสิตโพล” และ “เอแบคโพล”
นอกเหนือจาก “สารประโยชน์” ที่ฝ่ายค้านได้ไปเพียงช่วง 4-5 ชั่วโมงแรกของการอภิปรายฯ ในวันแรกเท่านั้น นอกจากนั้น ต้องเรียกว่า “สูญเปล่า-ไร้ค่า-ไร้น้ำหนัก” และที่สำคัญที่สุด “ประชาชนไม่ได้ประโยชน์” อะไรเลย นอกจากบรรยากาศเน่าเดิมๆ กับการประท้วง
และที่เลวร้ายที่สุดกับ “การทะเลาะ” กันระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนถึงขั้น “ยกนิ้ว” และ “แจกของลับ-แจกกล้วย” กันใน “สภาหินอ่อน” อันทรงเกียรติ จาก ส.ส.อันทรงเกียรติทั้งหลาย จนเป็นที่อับอายขายหน้าของประชาชนโดยทั่วไป นึกไม่ถึงว่า ส.ส.จะมีพฤติกรรมถ่อยเช่นนี้!
ทั้งนี้การอภิปรายฯ ในครั้งนี้ สภาผู้แทนฯ ได้ “ดาวเด่นเด็กใหม่” ที่ถือว่า “แจ้งเกิด!” ซึ่งเป็นนักการเมืองสตรีรุ่นใหม่อายุอานามเพียงไม่ถึง 30 ปี ได้อภิปรายฯ ชำแหละ คุณกษิต ภิรมย์ ได้อย่างถึงกึ๋นกับ “ข้อมูลลับ” ในอดีต จนต้องถูกนักการเมืองหญิงรุ่นใหญ่ ต้องขอให้ “ริบสคริปต์!”
วิธีการอภิปรายฯ ด้วยการอ่านของนักการเมืองหญิงเด็กรุ่นใหม่นี้ ว่าไปแล้วก็น่าจะอภิปรายไม่ได้ดี ถ้าไม่มีใครเขียนสคริปต์ให้และต้องอ่านตามโผ แต่เธอก็ถือว่า “แจ้งเกิด!” แล้วในสภาหินอ่อน!
อีกคนหนึ่ง “ดุ!” คือ รัฐมนตรีช่วยฯ ศึกษาธิการ “คุณนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์” เมื่อถูกพาดพิงแล้วเธอลุกขึ้นตอบโต้ ด้วยท่าทางขึงขัง เอาจริงเอาจังเช่นนั้น ซึ่งมิใช่สไตล์ของนักการเมืองเลย พูดง่ายๆ คือ “เธอซีเรียสมาก!” ไม่ยอมปล่อยให้มีการพาดพิงเชิงกล่าวหาได้เช่นนั้น จนแม้กระทั่ง “นายสุนัย จุลพงศธร” ต้องถอยร่น ไม่กล้ากล่าวรุ่มร่ามต่อกรกับเธออีกเลย!
ดีแล้วที่รัฐบาลได้ยอมให้เกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเนื้อหาสาระก็มิได้เป็น “การตรวจสอบ” รัฐบาลมากมายนัก มีแต่เพียงข้อมูลเงินบริจาคกับเงินสนับสนุนการเลือกตั้งเท่านั้น ตั้งหลายปีมาแล้ว คงจะไม่ระคายผิวของพรรคประชาธิปัตย์ได้มากมายนัก แต่ฝ่ายค้านก็ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ
แต่โดยภาพรวมของการอภิปรายฯ ก็ต้องตอบตามตรงว่าฝ่ายค้าน “ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ” ไปได้เลย แม้กระทั่ง การหวังผลกับ “การดิสเครดิต” รัฐบาล
ที่ได้กันแน่ๆ ก็คือ “บรรยากาศ-สีสันเดิม” ของนักการเมืองไทย ที่ยังคง “อนุรักษ์วัฒนธรรม-อนุรักษ์พฤติกรรม” เดิมๆ ไว้ไม่เสื่อมคลาย ประชาชนโดยทั่วไปต่างก็ไม่ได้ติดตามกันอย่างจริงจัง พร้อมทั้งไม่สามารถตอบได้เลยว่า การอภิปรายในครั้งนี้ “ประโยชน์ คืออะไร!”
“พรรคเพื่อไทย” น่าจะกลับไปพิจารณาทบทวนบทบาทและท่าทีของพรรคต่อไปว่า จะดำเนินการปรับปรุงพรรคอย่างไร เริ่มตั้งแต่ “เอกภาพ” ภายในพรรค “กลุ่มแกนนำ” ของพรรคขั้วแตกกระสานซ่านเซ็น!
เท่านั้นยังไม่พอ “ขุนพล” ของพรรคแทบจะไม่มีอะไรเหลือ ในการจะสร้างความชื่นชอบและคะแนนนิยมจากประชาชนที่มีต่อพรรคได้อีกต่อไปอย่างไร พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “การจัดกระบวนทัพ” ของพรรคเพื่อไทยนั้น ต้องเริ่มศึกษาพิจารณาอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้น จะกลายเป็นพรรคการเมืองต่ำกว่าระดับ 100 คนในอนาคต
และที่สำคัญที่สุด “กลยุทธ์โฟนอิน” ของคุณทักษิณ ที่เป็นหนึ่งใน “แผนตากสิน” อย่างถี่ยิบเพื่อ “การระดมพล” และ “เพื่อความแตกแยก” นั้นต้องขอกระซิบดังๆ ว่า “ไม่ได้ผล” และที่สำคัญที่สุด คุณทักษิณ เคยถามตนเองหรือไม่ว่า “กำลังถูกล้วงกระเป๋า-ถูกหลอก” จาก “ขุนพลอยพยัก-สามเกลอหัวแข็ง” และ “กลุ่มมาร์กซิสม์” หรือไม่!?!
อย่างไรก็ตาม นับแต่นี้อีกต่อไป คุณทักษิณ จะออกอาการ “บ้าดีเดือด!” และ “พร้อมฟัด-พร้อมกัด” อย่างไม่ลืมหูลืมตา ว่ากันตามจริงแล้ว คุณทักษิณเชื่อว่า “จนตรอก!” จึงประกาศสู้ยิบตาชนิด “ตายเป็นตาย” ดีกว่าไม่สู้เลย โดยพุ่งเป้าไปที่ “การปฏิวัติซ้ำปฏิวัติซ้อน!” ดังวัตถุประสงค์เดิมอีก... “ฝันไปเถอะ!”
ถ้าวิเคราะห์กันในเชิง “คณิตศาสตร์-นิติศาสตร์” นั้นแน่นอนว่า “สอบผ่าน!” แต่ในเชิง “รัฐศาสตร์” นั้น มีตัวแปร และ/หรือปัจจัยหลากหลายกรณีที่จำเป็นจะต้องพิจารณา โดยเฉพาะในกรณีของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้มิใช่ว่าพิจารณากรณีของการร่วมกับ “กลุ่มพันธมิตรฯ” แต่พิจารณาในกรณีที่ว่า “ทำไมได้คะแนนน้อยที่สุด” ตลอดจน “วีรกรรม” ที่คุณกษิตได้สร้างไว้ในอดีต ประกอบกับพฤติกรรมและข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมา
คะแนนที่ได้แต่ละคน เริ่มตั้งแต่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 4 คนนั้น เท่ากันคือ 246 เสียง ส่วนคะแนนค้านได้คะแนนจิ๊บจ๊อยเพียง 170 กว่าคะแนนเท่านั้น ในส่วนของ “พรรคเพื่อไทย” หายไป 10 กว่ามือ หรือพูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “พรรคเพื่อไทย” มี “งูเห่า” หายไปเกือบ 15 คน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วนและเข้มข้นที่สุด!
เราไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน “การอภิปราย-การซักฟอก” มายาวนานหลายปี ว่าไปแล้วน่าจะเริ่มตั้งแต่สมัย “รัฐบาลทักษิณ 1” ยาวนานตลอด 5-6 ปี ของช่วงทักษิณรุ่งเรืองสุดๆ เนื่องด้วยคะแนนเสียงของฝ่ายค้านขณะนั้น ไม่มีความสามารถที่จะรวบรวมรายชื่อจำนวนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้ ตลอดจนความพยายามที่ก่อให้เกิด “ระบอบทักษิณ” ที่สกัดกั้นทุกวิถีทางมิให้เกิด “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ได้ เนื่องด้วยคุณทักษิณ ไม่ต้องการให้ประชาชนได้ล่วงรู้ถึงพฤติการณ์และพฤติกรรมของตนเองและรัฐบาลได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็น “ข้อเท็จจริง” หรือ “ข้อกล่าวหา” ก็ตาม!
ดังนั้น “บรรยากาศตรวจสอบ” เช่นนี้ เราไม่ได้เห็นกันมานานแล้ว ทั้งๆ ที่การเมืองปัจจุบันถูกฝ่ายค้านทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ต่างค่อนแคะและประชดประชันว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย”
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ภายใต้กรอบกฎกติกาของระบบการเมืองเสรีประชาธิปไตยก็จบสิ้นกระบวนความไปเรียบร้อยแล้ว โดยเนื้อหาสาระและข้อมูลก็มิใช่จะเป็น “หมัดเด็ด” ที่จะ “น็อกรัฐบาล” ได้สมราคาคุย ตลอดจนข้อมูลอาจจะไม่ซี๊ดซ๊าดเท่าใดนัก จะมีก็แค่เพียงของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง เท่านั้น ที่ต้องขอกล่าวชมเชยว่า “ได้เนื้อได้หนัง” ที่สุด
อย่างไรก็ดี “ข้อมูล” ที่นำมาอภิปรายนั้น มักจะเป็น “ข้อมูลเก่า” ที่เกิดขึ้นช่วงปี 2547-2548 ที่อาจจะไม่มีข้อมูลมัดแน่น กล่าวคือ เงินบริจาคจากบริษัทในเครือทีพีไอ (TPI) ของคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จำนวน 258 หรือ 263 ล้านบาท กับเงินอุดหนุนสนับสนุนการเลือกตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 23-29 ล้านบาท
ทั้งนี้ กกต.รับนำข้อมูลทั้งหมดเสนอสู่คณะกรรมการการเลือกตั้งทันที เพื่อนำไปสอบสวนข้อเท็จจริง จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า “พรรคประชาธิปัตย์” มีโอกาส “ยุบแน่!”
จากความคิดเห็นของนักวิชาการ สื่อสารมวลชน และผู้คนโดยทั่วไป ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “การอภิปรายฯ” ครั้งนี้ “ไร้น้ำหนัก-ข้อมูลเดิม-ไร้หมัดเด็ด!” ซึ่งจะไม่ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การหวังโค่นล้มรัฐบาล” ก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ หรือแม้กระทั่ง “การปรับคณะรัฐมนตรี”
แม้กระทั่ง จนหวังผลเลิศกับการที่ กกต.จะพิจารณาวินิจฉัยถึงขั้น “ยุบพรรค” ประชาธิปัตย์ ขอฟันธงได้เลยว่า โอกาสที่จะเกิดขึ้น “ริบหรี่!” เต็มที แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า “ข้อมูลเก่า” และที่สำคัญที่สุด การโยงใยกับ “เสี่ยอ๊อด” คุณประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น จนถึงขั้น “เดิมพันตำแหน่ง” ด้วยการ “เลิกเล่นการเมือง” ไปเลยนั้น ส่อนัยสำคัญว่า “เสี่ยอ๊อด” มั่นใจในความบริสุทธิ์แบบสุดๆ!
บรรยากาศของการอภิปรายฯ ทั้งสองวันนั้น เริ่มต้นช่วงแรกๆ ก็ดูจะไปได้ด้วยดี ชนิดเป็นลำไม้ไผ่ ไหงเวลาผ่านไปเพียง 6-7 ชั่วโมงของการอภิปรายฯ วันแรกกลายเป็นบ้องกัญชา ที่มีแต่การประท้วงท่านประธานฯ เมื่อ “ไอ้หัวหงอก” เริ่มเปิดฉากอภิปราย ด้วยปัญหาของ “ความยียวน” แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือ “การพาดพิงคนนอก” ตลอดจน “ข้อกล่าวหา” สารพัดอย่าง จนกลายเป็น “การยั่วยุ” ในที่สุด และก็ “ป่วน” สมบรรยากาศ “เน่า” เดิมๆ อย่างที่เคยเป็นมา
ผู้อภิปรายที่มักเป็น “สายล่อฟ้า” ที่ก่อให้เกิด “ความโกลาหล-น้ำเน่า” จะมีเพียง 3-4 คนเท่านั้น อาทิ “ไอ้หัวหงอก-หัวขาว” และ “คนบ้าเครื่องแบบ” ส่วน “ไอ้ผมเกรียน” งวดนี้ “เข้าเรื่องเข้าราว” มากกว่าทุกครั้ง
ส่วนบรรดา “องครักษ์โนเนม” ทั้งหลาย ก็คอยป่วนสภาฯ ด้วยการประท้วงจน “เสียอารมณ์-เสียเวลา” จนทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่สมควรจะได้เนื้อหาสาระมากกว่านี้ กลับกลายเป็นว่า “ฝ่ายรัฐบาล” ได้ “คะแนน” ไปเต็มๆ ส่วน “ฝ่ายค้าน” ได้แต่ “โห่-การดูแคลน” ของประชาชนโดยทั่วไป ศึกษาได้จากสารพัดสำนักสำรวจความคิดเห็นหรือ “โพล” 2-3 แห่ง อาทิ “สวนดุสิตโพล” และ “เอแบคโพล”
นอกเหนือจาก “สารประโยชน์” ที่ฝ่ายค้านได้ไปเพียงช่วง 4-5 ชั่วโมงแรกของการอภิปรายฯ ในวันแรกเท่านั้น นอกจากนั้น ต้องเรียกว่า “สูญเปล่า-ไร้ค่า-ไร้น้ำหนัก” และที่สำคัญที่สุด “ประชาชนไม่ได้ประโยชน์” อะไรเลย นอกจากบรรยากาศเน่าเดิมๆ กับการประท้วง
และที่เลวร้ายที่สุดกับ “การทะเลาะ” กันระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนถึงขั้น “ยกนิ้ว” และ “แจกของลับ-แจกกล้วย” กันใน “สภาหินอ่อน” อันทรงเกียรติ จาก ส.ส.อันทรงเกียรติทั้งหลาย จนเป็นที่อับอายขายหน้าของประชาชนโดยทั่วไป นึกไม่ถึงว่า ส.ส.จะมีพฤติกรรมถ่อยเช่นนี้!
ทั้งนี้การอภิปรายฯ ในครั้งนี้ สภาผู้แทนฯ ได้ “ดาวเด่นเด็กใหม่” ที่ถือว่า “แจ้งเกิด!” ซึ่งเป็นนักการเมืองสตรีรุ่นใหม่อายุอานามเพียงไม่ถึง 30 ปี ได้อภิปรายฯ ชำแหละ คุณกษิต ภิรมย์ ได้อย่างถึงกึ๋นกับ “ข้อมูลลับ” ในอดีต จนต้องถูกนักการเมืองหญิงรุ่นใหญ่ ต้องขอให้ “ริบสคริปต์!”
วิธีการอภิปรายฯ ด้วยการอ่านของนักการเมืองหญิงเด็กรุ่นใหม่นี้ ว่าไปแล้วก็น่าจะอภิปรายไม่ได้ดี ถ้าไม่มีใครเขียนสคริปต์ให้และต้องอ่านตามโผ แต่เธอก็ถือว่า “แจ้งเกิด!” แล้วในสภาหินอ่อน!
อีกคนหนึ่ง “ดุ!” คือ รัฐมนตรีช่วยฯ ศึกษาธิการ “คุณนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์” เมื่อถูกพาดพิงแล้วเธอลุกขึ้นตอบโต้ ด้วยท่าทางขึงขัง เอาจริงเอาจังเช่นนั้น ซึ่งมิใช่สไตล์ของนักการเมืองเลย พูดง่ายๆ คือ “เธอซีเรียสมาก!” ไม่ยอมปล่อยให้มีการพาดพิงเชิงกล่าวหาได้เช่นนั้น จนแม้กระทั่ง “นายสุนัย จุลพงศธร” ต้องถอยร่น ไม่กล้ากล่าวรุ่มร่ามต่อกรกับเธออีกเลย!
ดีแล้วที่รัฐบาลได้ยอมให้เกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเนื้อหาสาระก็มิได้เป็น “การตรวจสอบ” รัฐบาลมากมายนัก มีแต่เพียงข้อมูลเงินบริจาคกับเงินสนับสนุนการเลือกตั้งเท่านั้น ตั้งหลายปีมาแล้ว คงจะไม่ระคายผิวของพรรคประชาธิปัตย์ได้มากมายนัก แต่ฝ่ายค้านก็ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ
แต่โดยภาพรวมของการอภิปรายฯ ก็ต้องตอบตามตรงว่าฝ่ายค้าน “ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ” ไปได้เลย แม้กระทั่ง การหวังผลกับ “การดิสเครดิต” รัฐบาล
ที่ได้กันแน่ๆ ก็คือ “บรรยากาศ-สีสันเดิม” ของนักการเมืองไทย ที่ยังคง “อนุรักษ์วัฒนธรรม-อนุรักษ์พฤติกรรม” เดิมๆ ไว้ไม่เสื่อมคลาย ประชาชนโดยทั่วไปต่างก็ไม่ได้ติดตามกันอย่างจริงจัง พร้อมทั้งไม่สามารถตอบได้เลยว่า การอภิปรายในครั้งนี้ “ประโยชน์ คืออะไร!”
“พรรคเพื่อไทย” น่าจะกลับไปพิจารณาทบทวนบทบาทและท่าทีของพรรคต่อไปว่า จะดำเนินการปรับปรุงพรรคอย่างไร เริ่มตั้งแต่ “เอกภาพ” ภายในพรรค “กลุ่มแกนนำ” ของพรรคขั้วแตกกระสานซ่านเซ็น!
เท่านั้นยังไม่พอ “ขุนพล” ของพรรคแทบจะไม่มีอะไรเหลือ ในการจะสร้างความชื่นชอบและคะแนนนิยมจากประชาชนที่มีต่อพรรคได้อีกต่อไปอย่างไร พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “การจัดกระบวนทัพ” ของพรรคเพื่อไทยนั้น ต้องเริ่มศึกษาพิจารณาอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้น จะกลายเป็นพรรคการเมืองต่ำกว่าระดับ 100 คนในอนาคต
และที่สำคัญที่สุด “กลยุทธ์โฟนอิน” ของคุณทักษิณ ที่เป็นหนึ่งใน “แผนตากสิน” อย่างถี่ยิบเพื่อ “การระดมพล” และ “เพื่อความแตกแยก” นั้นต้องขอกระซิบดังๆ ว่า “ไม่ได้ผล” และที่สำคัญที่สุด คุณทักษิณ เคยถามตนเองหรือไม่ว่า “กำลังถูกล้วงกระเป๋า-ถูกหลอก” จาก “ขุนพลอยพยัก-สามเกลอหัวแข็ง” และ “กลุ่มมาร์กซิสม์” หรือไม่!?!
อย่างไรก็ตาม นับแต่นี้อีกต่อไป คุณทักษิณ จะออกอาการ “บ้าดีเดือด!” และ “พร้อมฟัด-พร้อมกัด” อย่างไม่ลืมหูลืมตา ว่ากันตามจริงแล้ว คุณทักษิณเชื่อว่า “จนตรอก!” จึงประกาศสู้ยิบตาชนิด “ตายเป็นตาย” ดีกว่าไม่สู้เลย โดยพุ่งเป้าไปที่ “การปฏิวัติซ้ำปฏิวัติซ้อน!” ดังวัตถุประสงค์เดิมอีก... “ฝันไปเถอะ!”