เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้กล่าวถึง “ความสำคัญ” และ “ความสัมพันธ์” ของ “สถาบันพระมหากษัตริย์” และ “สถาบันกองทัพ” แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือ ความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งมากกับ “ประเทศไทย”
ใครผู้ใดก็ตามแต่ที่ได้เคยศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย จะเข้าใจและตระหนักทันทีว่า “ความมั่นคง” ของประเทศชาติที่อยู่ตลอดยาวนานถึง 700 กว่าปีนี้ “โครงสร้าง-บทบาท” ของทั้งสองสถาบันหลักเป็น “เสาค้ำจุน” ประเทศชาติมายาวนานตราบเท่าทุกวันนี้
แฟนๆ “แสงแดด” ที่ได้อ่านบทความ “พระอาทิตย์สาดส่อง” สัปดาห์ที่แล้วต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม และลูกศิษย์ลูกหาส่วนใหญ่ทราบดีว่า “แสงแดด” คือใคร ต่างบอกว่า “อ่านแล้วรู้สึกฮึกเหิม!” และไม่สำคัญเท่ากับว่า “รักชาติบ้านเมือง-รักในหลวง-รักทหาร” มากยิ่งขึ้น
“สถาบันกองทัพ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กองทัพบก” นั้นมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งยวดกับ “การกอบกู้ชาติ” และ “ค้ำจุนราชบัลลังก์” มาโดยตลอด จนแม้กระทั่งทุกวันนี้ หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ยังมีการเขียน “คำขวัญ” บนแผ่นหินอ่อนว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”
คำขวัญข้างต้นนั้น เราคงไม่ต้องฟังคำอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ เนื่องด้วยตรงไปตรงมาที่สุด และความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “กองทัพไทย” ปฏิบัติภาระหน้าที่ตาม “มอตโต-คำขวัญ” อย่างนั้นจริงๆ แต่จะทุกยุคทุกสมัยหรือไม่นั้น “การเมือง” มักจะเป็นปัจจัยสำคัญในการ “ครอบงำ-แทรกแซง” ให้ “กองทัพระส่ำระสาย” มาโดยตลอด
เท่าที่ “แสงแดด” ได้เคยสัมผัสกับบรรดาแม่ทัพนายกองและเหล่าทหารระดับนายร้อย นายพัน ไปจนถึงระดับพลเอกนั้น ก็ต้องบอกว่าตลอดระยะเวลาประมาณเกือบ 20 ปีนี้ “กองทัพมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาติบ้านเมือง และประชาชนมาโดยตลอด” เนื่องด้วย “แสงแดด” มีเพื่อนฝูงลูกศิษย์ลูกหาเยอะมากในกองทัพบก
การสัมผัสครั้งแรกที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับกองทัพบกมากที่สุดคือ ในยุคของพล.อ.วิมล วงศ์วานิช ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ปี 2536 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งต้องยอมรับว่า ท่านผู้บัญชาการฯ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช เป็น “ทหารอาชีพ” และเป็น “นายทหารสุภาพบุรุษ” ที่ “โปร่งใส-สุจริต-เที่ยงตรง” พร้อมกันนั้น ยังเป็นนายทหารที่มีสายตากว้างไกล “วิสัยทัศน์” ดีเยี่ยม ห่วงใยประเทศชาติ ตลอดจน “หัวใจประชาธิปไตย”
ยุค พล.อ.วิมล วงศ์วานิช เป็นยุคที่ต้อง “กอบกู้ชื่อเสียง” และ “ความเชื่อมั่นศรัทธา” กลับมาหลังเหตุการณ์ทางการเมืองที่ “ภาพลักษณ์” ทหารนั้นติดลบอย่างมาก จนในที่สุดหลังจากนั้นเพียง 2-3 ปี “ความศรัทธาเชื่อมั่น” ของประชาชนที่มีต่อกองทัพเริ่มมีผลเชิงบวกมากยิ่งขึ้น และไม่สำคัญเท่ากับว่า “กองทัพถอยห่างจากการเมือง” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า บรรดาทหารหาญทั้งหลายหันหลังให้กับการเมืองเดินกลับสู่กรมกอง และปล่อยให้การเมืองไปละเลงกันเอง!
ว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับบ้านเมืองเราในยุคปัจจุบันที่กองทัพแยกตัวออกจากการเมือง ปฏิบัติภาระหน้าที่เป็น “รั้วของชาติ” เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว “ความมั่นคง” ของประเทศชาติ ยังต้องเป็นภารกิจของกองทัพสืบต่อไป ไม่สมควรละเลยและปล่อยวางอย่างเด็ดขาด
เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า เกือบทุกยุคทุกสมัยที่ “การเมืองเฟื่องฟู” และไม่สำคัญเท่ากับว่า “มีเสถียรภาพ” กองทัพจะถูกแทรกแซงจนถึงขั้นครอบงำด้วยการแต่งตั้งนายทหารที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น “ระบบรุ่น-ระบบญาติ” ซึ่งเป็น “ระบบอุปถัมภ์” ทั้งสิ้น เพื่อ “ค้ำตำแหน่ง-ค้ำเสถียรภาพ” จนเลยเถิดไปถึง “การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์” เสาะแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการ “ควบคุม” ของฝ่ายการเมือง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เช่นนั้น มักเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก เนื่องด้วย “สถาบันกองทัพ” เพียรพยายามที่สุดที่จะดำรงไว้ซึ่ง “ความเป็นสถาบันหลักของชาติ” ไม่ยอมให้ฝ่ายการเมือง “ล้วงลูก-แทรกแซง” และ “ครอบงำ” ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเมื่อใดฝ่ายการเมืองมีความแข็งแกร่ง มั่นคง “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” ของกองทัพก็จะเริ่มถูกแทะโลม โดยความจริงที่ต้องยอมรับว่า มีบรรดานายทหารบางคนในอดีต ยอมแลกศักดิ์ศรีเกียรติยศได้เพื่อ “อำนาจ-ผลประโยชน์”
ขอย้ำอีกครั้งว่า อาจมีเพียง 2-3 นายทหารชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นในอดีต ที่มิได้เป็น “ทหารอาชีพ” ด้วยยอมแลกเปลี่ยน นอกนั้นจะเป็นนายทหารที่แอ่นอกภาคภูมิใจกับการเป็น “ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”
คำถามสำคัญที่เราต้องการและหาคำตอบให้ได้ว่า “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” ทุกครั้งที่เกิดขึ้น เกิดจาก “ฝ่ายการเมือง” มิใช่หรือ ที่ทำให้เกิด “สภาพผุกร่อน-เสื่อมโทรม” กันเอง ดั่งคำกล่าวโบราณที่ว่า “สนิมเกิดจากเนื้อในตน!” จนในที่สุด “ชาติบ้านเมืองถูกรุมแทะผุกร่อนด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง” และกองทัพก็ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อ “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” ของชาติ!
ทั้งนี้ ความจริงด้านประวัติศาสตร์ของบรรดา “ขุนศึกนายทหาร” บางรุ่น บางกลุ่มที่ไขว่คว้าแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ในที่สุดแล้ว ก็ถูกประชาชน “ยึดอำนาจ” กลับคืนมาได้ในที่สุด แต่ก็มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างมากที่สุดก็เพียง 2-3 รุ่นเท่านั้น
กองทัพปัจจุบัน ทั้งกองทัพอากาศ กองทัพเรือ โดยเฉพาะกองทัพบก ต่างเอาองค์กรตนเองออกจากการเมือง และเป็นทหารอาชีพที่สุด ตลอดจนมี “ความจงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ปกป้องประชาชน!”
เพียงแต่ว่า ฝ่ายการเมืองซึ่งมิใช่ “เบื้องหน้า” แต่ “เบื้องหลัง” นั้น เล่นสารพัด “วิชามาร” ที่จะนำเอากองทัพมาสร้างความแตกแยกในสังคมอีก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความอย่างตรงไปตรงมาว่า นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดที่จะไม่แทรกแซงและครอบงำกองทัพ แต่เบื้องหลังนั้นมีความพยายามชักใยให้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อแน่นอนอำนาจและผลประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง
“ข่าวลือ” กรณี “การปฏิวัติซ้ำ-ปฏิวัติซ้อน” นั้น มิได้เป็นผลดีแก่เสถียรภาพของชาติบ้านเมืองแต่ประการใด เปรียบเสมือนเป็นความพยายามใน “การตอกลิ่ม” ก่อให้เกิด “การเกลียดชัง” กองทัพ หรือ “ดิสเครดิต” ทหารจากประชาชน พร้อมกันนั้นเอง ก็เพื่ออาจอ้างเหตุผลในการปรับสลับโยกย้ายนายทหารที่ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ “แสงแดด” คิ้วย่นครุ่นคิดสงสัยเท่านั้น!
กองทัพบกในยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า “แสงแดด” ได้มีโอกาสสัมผัสมาหลายครั้งและเฝ้าจับตาดูมาโดยตลอด ขอฟันธงเลยว่าเป็น “ทหารอาชีพ” ที่มีความสุขุมลุ่มลึก และไม่สำคัญเท่ากับว่า “เก็บตัว-เก็บปาก” ได้ดีมาโดยตลอด และ”ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมือง” ทั้งๆ ที่อาจดูเสมือนว่า “ประกบคู่” กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเราต้องเข้าใจว่า “ด้วยภารกิจ-บทบาทหน้าที่” ของผู้บัญชาการทหารบกต้องปฏิบัติตามนั้น!
อย่างไรก็ตาม “กองทัพไทย” ในยุคปัจจุบันตระหนักถึงบทบาทและภารกิจดีที่สุด แต่มิใช่ว่า “หันหลัง” ให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ “เกาะรั้ว” เฝ้าดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเมืองอยู่ห่างๆ มิได้ทอดทิ้งแต่ประการใด
เราจะสังเกตได้ว่า “ทหาร” เริ่มทยอยออกมากล่าวอย่างเปิดเผยถึงกรณี ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “สถาบันเบื้องสูง” จนต่างต้องพูดถึง “ความจงรักภักดี” ที่นับวันจะค่อยๆ ทวีความจาบจ้วงมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็น “ขบวนการ”
ไม่มีใครสามารถดำเนินการหยั่งรู้ได้ว่า “ใครอยู่เบื้องหลัง” แต่ถามว่า ความสามารถในการสืบเสาะหาข้อมูลนั้น “น่าจะไม่ยาก!” ที่จะก้าวสู่กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ค่อยสบายใจกับขบวนการนี้ ที่ต้องยอมรับว่า “อันตรายมาก!”
การเมืองไทยจะดำเนินการ “เล่นกล-เล่นแร่แปรธาตุ” อย่างไร ก็เล่นไปตามกฎกติกาก็แล้วกัน “อาจจะโย้ออกนอกลู่นอกทาง!” บ้าง หรือ “ผิดคิว-ผิดกรอบ” จนเลยเถิดถึง “ผิดมารยาท” บ้าง ก็พอทำเนาจนกันได้ หรือพูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “เราคนไทยทุกหมู่เหล่า” ก็พอ “หลับตาข้างเดียว” และ “ทนได้!”
เพียงแต่ว่า เมื่อใดที่ “เล่นแหกกรอบ” จน “ล้ำเส้น” และ “ผิดกติกา” เป็น “กติกู” เมื่อไหร่ “ความอึดอัด” ก็จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การทุจริตคดโกง-กินชาติ” จนน่าเกลียดแบบ “มูมมาม!” และสำคัญที่สุดคือ “การก้าวล่วงสู่สถาบันเบื้องสูง” ก็ต้องบอกตามตรงว่า “ทนไม่ได้!”
“สถาบันกองทัพ” ปัจจุบันเพียรพยายามที่สุดที่จะอยู่นอก “กรอบการเมือง” เพียงแต่ว่า “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” กองทัพ ยังต้องถูกปกปักรักษาโดยทหารกันเอง เมื่อใดที่ถูก “แทรกแซง” และ “พยายามครอบงำ” เกินกว่าเหตุ เมื่อนั้นประชาชนจะมอบก้อนอิฐแก่ฝ่ายการเมืองและดอกไม้แก่ทหารอีกครั้งหนึ่ง!
ใครผู้ใดก็ตามแต่ที่ได้เคยศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย จะเข้าใจและตระหนักทันทีว่า “ความมั่นคง” ของประเทศชาติที่อยู่ตลอดยาวนานถึง 700 กว่าปีนี้ “โครงสร้าง-บทบาท” ของทั้งสองสถาบันหลักเป็น “เสาค้ำจุน” ประเทศชาติมายาวนานตราบเท่าทุกวันนี้
แฟนๆ “แสงแดด” ที่ได้อ่านบทความ “พระอาทิตย์สาดส่อง” สัปดาห์ที่แล้วต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม และลูกศิษย์ลูกหาส่วนใหญ่ทราบดีว่า “แสงแดด” คือใคร ต่างบอกว่า “อ่านแล้วรู้สึกฮึกเหิม!” และไม่สำคัญเท่ากับว่า “รักชาติบ้านเมือง-รักในหลวง-รักทหาร” มากยิ่งขึ้น
“สถาบันกองทัพ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กองทัพบก” นั้นมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งยวดกับ “การกอบกู้ชาติ” และ “ค้ำจุนราชบัลลังก์” มาโดยตลอด จนแม้กระทั่งทุกวันนี้ หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ยังมีการเขียน “คำขวัญ” บนแผ่นหินอ่อนว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”
คำขวัญข้างต้นนั้น เราคงไม่ต้องฟังคำอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ เนื่องด้วยตรงไปตรงมาที่สุด และความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “กองทัพไทย” ปฏิบัติภาระหน้าที่ตาม “มอตโต-คำขวัญ” อย่างนั้นจริงๆ แต่จะทุกยุคทุกสมัยหรือไม่นั้น “การเมือง” มักจะเป็นปัจจัยสำคัญในการ “ครอบงำ-แทรกแซง” ให้ “กองทัพระส่ำระสาย” มาโดยตลอด
เท่าที่ “แสงแดด” ได้เคยสัมผัสกับบรรดาแม่ทัพนายกองและเหล่าทหารระดับนายร้อย นายพัน ไปจนถึงระดับพลเอกนั้น ก็ต้องบอกว่าตลอดระยะเวลาประมาณเกือบ 20 ปีนี้ “กองทัพมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาติบ้านเมือง และประชาชนมาโดยตลอด” เนื่องด้วย “แสงแดด” มีเพื่อนฝูงลูกศิษย์ลูกหาเยอะมากในกองทัพบก
การสัมผัสครั้งแรกที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับกองทัพบกมากที่สุดคือ ในยุคของพล.อ.วิมล วงศ์วานิช ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ปี 2536 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งต้องยอมรับว่า ท่านผู้บัญชาการฯ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช เป็น “ทหารอาชีพ” และเป็น “นายทหารสุภาพบุรุษ” ที่ “โปร่งใส-สุจริต-เที่ยงตรง” พร้อมกันนั้น ยังเป็นนายทหารที่มีสายตากว้างไกล “วิสัยทัศน์” ดีเยี่ยม ห่วงใยประเทศชาติ ตลอดจน “หัวใจประชาธิปไตย”
ยุค พล.อ.วิมล วงศ์วานิช เป็นยุคที่ต้อง “กอบกู้ชื่อเสียง” และ “ความเชื่อมั่นศรัทธา” กลับมาหลังเหตุการณ์ทางการเมืองที่ “ภาพลักษณ์” ทหารนั้นติดลบอย่างมาก จนในที่สุดหลังจากนั้นเพียง 2-3 ปี “ความศรัทธาเชื่อมั่น” ของประชาชนที่มีต่อกองทัพเริ่มมีผลเชิงบวกมากยิ่งขึ้น และไม่สำคัญเท่ากับว่า “กองทัพถอยห่างจากการเมือง” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า บรรดาทหารหาญทั้งหลายหันหลังให้กับการเมืองเดินกลับสู่กรมกอง และปล่อยให้การเมืองไปละเลงกันเอง!
ว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับบ้านเมืองเราในยุคปัจจุบันที่กองทัพแยกตัวออกจากการเมือง ปฏิบัติภาระหน้าที่เป็น “รั้วของชาติ” เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว “ความมั่นคง” ของประเทศชาติ ยังต้องเป็นภารกิจของกองทัพสืบต่อไป ไม่สมควรละเลยและปล่อยวางอย่างเด็ดขาด
เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า เกือบทุกยุคทุกสมัยที่ “การเมืองเฟื่องฟู” และไม่สำคัญเท่ากับว่า “มีเสถียรภาพ” กองทัพจะถูกแทรกแซงจนถึงขั้นครอบงำด้วยการแต่งตั้งนายทหารที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น “ระบบรุ่น-ระบบญาติ” ซึ่งเป็น “ระบบอุปถัมภ์” ทั้งสิ้น เพื่อ “ค้ำตำแหน่ง-ค้ำเสถียรภาพ” จนเลยเถิดไปถึง “การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์” เสาะแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการ “ควบคุม” ของฝ่ายการเมือง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เช่นนั้น มักเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก เนื่องด้วย “สถาบันกองทัพ” เพียรพยายามที่สุดที่จะดำรงไว้ซึ่ง “ความเป็นสถาบันหลักของชาติ” ไม่ยอมให้ฝ่ายการเมือง “ล้วงลูก-แทรกแซง” และ “ครอบงำ” ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเมื่อใดฝ่ายการเมืองมีความแข็งแกร่ง มั่นคง “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” ของกองทัพก็จะเริ่มถูกแทะโลม โดยความจริงที่ต้องยอมรับว่า มีบรรดานายทหารบางคนในอดีต ยอมแลกศักดิ์ศรีเกียรติยศได้เพื่อ “อำนาจ-ผลประโยชน์”
ขอย้ำอีกครั้งว่า อาจมีเพียง 2-3 นายทหารชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นในอดีต ที่มิได้เป็น “ทหารอาชีพ” ด้วยยอมแลกเปลี่ยน นอกนั้นจะเป็นนายทหารที่แอ่นอกภาคภูมิใจกับการเป็น “ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”
คำถามสำคัญที่เราต้องการและหาคำตอบให้ได้ว่า “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” ทุกครั้งที่เกิดขึ้น เกิดจาก “ฝ่ายการเมือง” มิใช่หรือ ที่ทำให้เกิด “สภาพผุกร่อน-เสื่อมโทรม” กันเอง ดั่งคำกล่าวโบราณที่ว่า “สนิมเกิดจากเนื้อในตน!” จนในที่สุด “ชาติบ้านเมืองถูกรุมแทะผุกร่อนด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง” และกองทัพก็ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อ “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” ของชาติ!
ทั้งนี้ ความจริงด้านประวัติศาสตร์ของบรรดา “ขุนศึกนายทหาร” บางรุ่น บางกลุ่มที่ไขว่คว้าแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ในที่สุดแล้ว ก็ถูกประชาชน “ยึดอำนาจ” กลับคืนมาได้ในที่สุด แต่ก็มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างมากที่สุดก็เพียง 2-3 รุ่นเท่านั้น
กองทัพปัจจุบัน ทั้งกองทัพอากาศ กองทัพเรือ โดยเฉพาะกองทัพบก ต่างเอาองค์กรตนเองออกจากการเมือง และเป็นทหารอาชีพที่สุด ตลอดจนมี “ความจงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ปกป้องประชาชน!”
เพียงแต่ว่า ฝ่ายการเมืองซึ่งมิใช่ “เบื้องหน้า” แต่ “เบื้องหลัง” นั้น เล่นสารพัด “วิชามาร” ที่จะนำเอากองทัพมาสร้างความแตกแยกในสังคมอีก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความอย่างตรงไปตรงมาว่า นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดที่จะไม่แทรกแซงและครอบงำกองทัพ แต่เบื้องหลังนั้นมีความพยายามชักใยให้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อแน่นอนอำนาจและผลประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง
“ข่าวลือ” กรณี “การปฏิวัติซ้ำ-ปฏิวัติซ้อน” นั้น มิได้เป็นผลดีแก่เสถียรภาพของชาติบ้านเมืองแต่ประการใด เปรียบเสมือนเป็นความพยายามใน “การตอกลิ่ม” ก่อให้เกิด “การเกลียดชัง” กองทัพ หรือ “ดิสเครดิต” ทหารจากประชาชน พร้อมกันนั้นเอง ก็เพื่ออาจอ้างเหตุผลในการปรับสลับโยกย้ายนายทหารที่ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ “แสงแดด” คิ้วย่นครุ่นคิดสงสัยเท่านั้น!
กองทัพบกในยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า “แสงแดด” ได้มีโอกาสสัมผัสมาหลายครั้งและเฝ้าจับตาดูมาโดยตลอด ขอฟันธงเลยว่าเป็น “ทหารอาชีพ” ที่มีความสุขุมลุ่มลึก และไม่สำคัญเท่ากับว่า “เก็บตัว-เก็บปาก” ได้ดีมาโดยตลอด และ”ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมือง” ทั้งๆ ที่อาจดูเสมือนว่า “ประกบคู่” กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเราต้องเข้าใจว่า “ด้วยภารกิจ-บทบาทหน้าที่” ของผู้บัญชาการทหารบกต้องปฏิบัติตามนั้น!
อย่างไรก็ตาม “กองทัพไทย” ในยุคปัจจุบันตระหนักถึงบทบาทและภารกิจดีที่สุด แต่มิใช่ว่า “หันหลัง” ให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ “เกาะรั้ว” เฝ้าดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเมืองอยู่ห่างๆ มิได้ทอดทิ้งแต่ประการใด
เราจะสังเกตได้ว่า “ทหาร” เริ่มทยอยออกมากล่าวอย่างเปิดเผยถึงกรณี ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “สถาบันเบื้องสูง” จนต่างต้องพูดถึง “ความจงรักภักดี” ที่นับวันจะค่อยๆ ทวีความจาบจ้วงมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็น “ขบวนการ”
ไม่มีใครสามารถดำเนินการหยั่งรู้ได้ว่า “ใครอยู่เบื้องหลัง” แต่ถามว่า ความสามารถในการสืบเสาะหาข้อมูลนั้น “น่าจะไม่ยาก!” ที่จะก้าวสู่กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ค่อยสบายใจกับขบวนการนี้ ที่ต้องยอมรับว่า “อันตรายมาก!”
การเมืองไทยจะดำเนินการ “เล่นกล-เล่นแร่แปรธาตุ” อย่างไร ก็เล่นไปตามกฎกติกาก็แล้วกัน “อาจจะโย้ออกนอกลู่นอกทาง!” บ้าง หรือ “ผิดคิว-ผิดกรอบ” จนเลยเถิดถึง “ผิดมารยาท” บ้าง ก็พอทำเนาจนกันได้ หรือพูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “เราคนไทยทุกหมู่เหล่า” ก็พอ “หลับตาข้างเดียว” และ “ทนได้!”
เพียงแต่ว่า เมื่อใดที่ “เล่นแหกกรอบ” จน “ล้ำเส้น” และ “ผิดกติกา” เป็น “กติกู” เมื่อไหร่ “ความอึดอัด” ก็จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การทุจริตคดโกง-กินชาติ” จนน่าเกลียดแบบ “มูมมาม!” และสำคัญที่สุดคือ “การก้าวล่วงสู่สถาบันเบื้องสูง” ก็ต้องบอกตามตรงว่า “ทนไม่ได้!”
“สถาบันกองทัพ” ปัจจุบันเพียรพยายามที่สุดที่จะอยู่นอก “กรอบการเมือง” เพียงแต่ว่า “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” กองทัพ ยังต้องถูกปกปักรักษาโดยทหารกันเอง เมื่อใดที่ถูก “แทรกแซง” และ “พยายามครอบงำ” เกินกว่าเหตุ เมื่อนั้นประชาชนจะมอบก้อนอิฐแก่ฝ่ายการเมืองและดอกไม้แก่ทหารอีกครั้งหนึ่ง!