แม่ทัพภาค 1 โต้ซ่องสุมกำลังพร้อมปฏิวัติ ยันแค่เป็นการฝึกของหน่วยในสังกัด ตามนโยบาย ผบ.ทบ. เพื่อให้พร้อมกับมือรับทุกสถานการณ์ รวมทั้งการเคลื่อนในกรุงเทพฯ ย้ำการโยกย้ายทหารไม่มีรายการคุณขอมา ยันต้องดูแลลูกน้องที่ปฎิวัติมาด้วยกัน ด้าน ครม.อนุมัติตำแหน่ง ปธ.ที่ปรึกษา กห.ตามที่บิ๊กทหารขอ เพื่อรองรับ “สมเจตน์” หลังถูกรัฐบาลกดดันให้ย้าย
ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) วานนี้ (12 มี.ค.) พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และ ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 1 จนถึงระดับผู้บังคับการกรม เดินทางไปตรวจเยี่ยม ความพร้อมของ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ณ บริเวณ ร.11 รอ. โดยกิจกรรมประกอบด้วย การแสดงของกองร้อยเตรียมพร้อม การฝึกของชุดปฏิบัติการพิเศษ การฝึกแกนนำภาคประชาชน การดำเนินงานที่เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีการจัดกำลังจาก.ร.1 รอ.,ร.11รอ.,ร.31 รอ. , ม.พัน.4 รอ. เป็นกำลังหลักในการฝึก
พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เดินทางไปตรวจความพร้อมมาแล้ว 1 หน่วย คือที่กรมทหารราบที่ 2รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ครั้งต่อไปที่ กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี โดยการตรวจเยี่ยมครั้งนี้เป็นการตรวจเยี่ยม ทางการบังคับบัญชา และดูความก้าวหน้าของหน่วยในการปฏิบัติตามนโยบายของ กองทัพภาคที่ 1 เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ที่ให้ไว้ 4 ประการคือ 1.การทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 2.การเพิ่มพูนขีดความสามารถให้มากขึ้น 3. การบริหารจัดการ และ 4. การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
“เป็นช่วงของการดำเนินนโยบายของปี 2551 ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ได้ออกมาแล้ว และจะมาดูว่าในหน่วยกองทัพภาคที่ 1 ปฎิบัติได้หรือไม่ และ จากที่เราดูในวันนี้ก็พอใจที่เขาพร้อมรับสถานการณ์ทุกอย่าง ก็อย่าเป็นห่วงเพราะทหารต้องฝึกหัดตลอดเวลา เป็นหน้าที่ของทหารทุกคนอยู่แล้ว เราไม่ได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ทหารในกองทัพภาคที่ 1 จะต้องมีการฝึก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ในกรุงเทพฯ ก็เรียนให้ทราบ เสียก่อนล่วงหน้า ไม่ต้องตกใจ เมื่อก่อนก็มีการฝึกอย่างนี้ ก็ไม่มีใครตกใจ แต่หนนี้ไปตกใจกัน เห็นทหารออกมาฝึกนอกหน่วย”
ส่วนที่โจมตีในเว็บไซด์ว่ากองทัพภาคที่ 1 ซ่องสุมกำลังจนผิดสังเกต พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมเห็นแล้ว แต่ไม่ได้สนใจอะไร ยืนยันได้ว่าไม่มีการซ่องสุม และไม่ได้มีอะไรที่ผิดสังเกต งานปัจจุบันต้องอยู่ที่ที่ตั้งปกติ และปฏิบัติภาคสนามทั้งการป้องกันชายแดนฝั่งตะวันตกและตะวันออก และทหารทั้ง 3 กองพลนี้ ต้องลงไปทำงานในภาคใต้ หากไม่ฝึกก็ทำงานไม่ได้ วันนี้มีการฝึกหลายหน่วย ซึ่งตนนำกำลังของกองพลทหารราบที่ 2 รอ.และกองพลทหารราบที่ 9 มาดูการฝึกซ้อมด้วย ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมต้องเคลื่อนย้ายกำลังมา ทั้งที่ความจริง เป็นเรื่องของกองทัพภาคที่ 1 ที่ต้องการให้มาตรฐานของกองพลเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการแสดงความเป็นห่วงออกมาจะต้องทำความเข้าใจด้วย หรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ต้องทำความเข้าใจกับใคร เพราะถือว่า การฝึกทุกครั้งได้ขออนุญาต ผบ.ทบ.แล้ว และในการปฏิบัติในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกองทัพภาคที่ 1 เมื่อมีการขออนุญาตแล้ว และกองทัพบกอนุมัติ ตนก็ทำได้หมด ถ้าทุกคนเข้าใจแนวทางของทหารว่าทำอะไรกันอยู่ ก็ไม่ต้องตกใจ ขณะนี้เราทำหน้าที่ทหารอย่างดีที่สุด ในการป้องกันประเทศ ถวายการรักษาความปลอดภัย โครงการพระราชดำริ ช่วยเหลือประชาชน สนับสนุนงานตำรวจ
ส่วนการปรับย้ายนายทหารในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 มีปัญหาถูกล้างบาง หรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งเคยร่วมปฏิวัติมา พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา การปรับย้ายเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในความเหมาะสม ไม่มีอำนาจใดมาเกี่ยวเรื่องปรับย้ายได้ เพราะทหารมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ซึ่งการปรับย้ายแต่ละครั้งผู้บังคับบัญชาแต่ละลำดับชั้นเป็นผู้เสนอขึ้นไป เพื่อให้ผู้บัญชาการทหารบกพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ ส่วนใหญ่ท่านก็ให้ตามที่เสนอ และท่านไม่เคยมายุ่ง เพราะเรากลั่นกรองอย่างดี
“คนเราต้องดูว่าโตมาแล้วทำอะไรบ้างถึงจะปกครองหน่วยได้ เพราะเขาต้องรับผิดชอบคนหลายคน หากได้คนไม่ดีดูแลลูกน้องไม่ได้ เขาก็ทำงานไม่ได้ ขอให้เชื่อว่า มีการกลั่นกรองอย่างดี และไม่มีการล้วงลูก ส่วนที่ว่ากรณีที่เตรียมทหารรุ่น 10 อาจกลับเข้ามาในกองทัพนั้น ทุกรุ่นเป็นพี่น้องกันหมด และนายกรัฐมนตรีระบุแล้วว่าจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ และรับว่าจะดูแลทหารมากขึ้น ขณะนี้ยังไม่เคยมีใครมาวุ่นวายกับกองทัพ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะไม่เข้ามายุ่ง”
ส่วนกรณีที่ นายสุมิตร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย น้องชายนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่ามีความพยายามผลักดันให้ท่าน เข้ามาใน 5 เสือ ทบ. พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเพียงข่าว ไม่มี ผบ.ทบ.ก็ไม่เห็นพูดอะไร ความจริงเป็นเรื่องภายใน ทุกปีมีการปรับกันอยู่ แต่ปีนี้อยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์ ทำให้สนใจกัน ทั้งนี้ คงไม่น่าตื่นเต้นอะไร เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ต้องรอดูว่าจะออกมาอย่างไร ขอให้สบายๆ อย่าไปเครียด ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ก็ไม่มีการขอเข้ามา จากฝ่ายการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายการเมืองจะขอให้โยกย้ายในส่วนทหารที่คุมกำลังกองทัพภาคที่ 1 เพื่อป้องกันปฏิวัติ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี ใครจะมาปฏิวัติ แต่ยืนยันว่าจะดูแลปกป้องลูกน้องทุกคนที่ร่วมปฏิวัติมาด้วยกัน และทุกคนเชื่อฟังผม และผมก็คุมอยู่ ไม่มีใครปฏิวัติ ทั้งนี้ คงไม่มีการปฏิวัติ เพราะจะแย่” เมื่อถามว่า การเมืองกลัวว่ากองทัพภาคที่ 1 จะปฏิวัติซ้อน พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า “กลัวผมทำไม ผมเป็นเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่กำกับดูแลกำลังพล 4-5 หมื่นคนในกองทัพภาคที่ 1”
วันเดียวกัน ครม.ได้อนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหม ขอเพิ่มตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อัตราจอมพล 1 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวที่จะหมดไปพร้อมกับการพ้นจากตำแหน่งไปของตัวบุคคล ทั้งนี้กระทรวงกลาโหม ได้รายงาน ครม.ว่าผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมคนที่แล้วซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2550 ได้ลาออกจากราชการไปทำให้ตำแหน่งถูกยุบ ไปด้วย ดังนั้นหากจะเปิดตำแหน่งดังกล่าวอีกครั้ง ก็ต้องขออนุมัติจาก ครม. ซึ่งกระทรวงกลาโหม มีความจำเป็นต้องมีตำแหน่งนี้ เพื่อหาคนมาปฎิบัติหน้าที่ต่อไป
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.ส.ส.และ ผบ.เหล่าทัพ ได้หารือกัน และมีความเห็นว่าควรจะมีการเปิดตำแหน่งดังกล่าวขึ้นมาอีกเพื่อรองรับ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผอ.สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม และ อดีต หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. หลังจากที่ฝ่ายการเมืองได้ขอให้มีย้าย พล.อ.สมเจตน์ มาประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เนื่องจากที่ผ่านมากระทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับพรรคพลังประชาชนโดยถูกมองว่ามีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูลในคดีทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย และ จ.บุรีรัมย์
“เดิม ผบ.เหล่าทัพ เห็นว่าไม่ควรจะเปิดตำแหน่งดังกล่าว เพราะมีข่าวทำนองว่า ฝ่ายการเมืองต้องการเปิดไว้ให้ใครบางคน แต่เมื่อมีใบสั่งให้ย้าย พล.อ.สมเจตน์ ออกไป ทั้งหมดจึงได้หารือกันว่าเปิดตำแหน่งดังกล่าวซึ่งเป็นอัตราจอมพลรองรับไว้เลย เพราะพล.อ.สมเจตน์ ไมได้กระทำความผิดอะไร และก็จะเกษียณอายุราชการ ในปลายปีนี้แล้วด้วย”
ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) วานนี้ (12 มี.ค.) พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และ ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 1 จนถึงระดับผู้บังคับการกรม เดินทางไปตรวจเยี่ยม ความพร้อมของ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ณ บริเวณ ร.11 รอ. โดยกิจกรรมประกอบด้วย การแสดงของกองร้อยเตรียมพร้อม การฝึกของชุดปฏิบัติการพิเศษ การฝึกแกนนำภาคประชาชน การดำเนินงานที่เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีการจัดกำลังจาก.ร.1 รอ.,ร.11รอ.,ร.31 รอ. , ม.พัน.4 รอ. เป็นกำลังหลักในการฝึก
พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เดินทางไปตรวจความพร้อมมาแล้ว 1 หน่วย คือที่กรมทหารราบที่ 2รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ครั้งต่อไปที่ กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี โดยการตรวจเยี่ยมครั้งนี้เป็นการตรวจเยี่ยม ทางการบังคับบัญชา และดูความก้าวหน้าของหน่วยในการปฏิบัติตามนโยบายของ กองทัพภาคที่ 1 เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ที่ให้ไว้ 4 ประการคือ 1.การทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 2.การเพิ่มพูนขีดความสามารถให้มากขึ้น 3. การบริหารจัดการ และ 4. การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
“เป็นช่วงของการดำเนินนโยบายของปี 2551 ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ได้ออกมาแล้ว และจะมาดูว่าในหน่วยกองทัพภาคที่ 1 ปฎิบัติได้หรือไม่ และ จากที่เราดูในวันนี้ก็พอใจที่เขาพร้อมรับสถานการณ์ทุกอย่าง ก็อย่าเป็นห่วงเพราะทหารต้องฝึกหัดตลอดเวลา เป็นหน้าที่ของทหารทุกคนอยู่แล้ว เราไม่ได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ทหารในกองทัพภาคที่ 1 จะต้องมีการฝึก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ในกรุงเทพฯ ก็เรียนให้ทราบ เสียก่อนล่วงหน้า ไม่ต้องตกใจ เมื่อก่อนก็มีการฝึกอย่างนี้ ก็ไม่มีใครตกใจ แต่หนนี้ไปตกใจกัน เห็นทหารออกมาฝึกนอกหน่วย”
ส่วนที่โจมตีในเว็บไซด์ว่ากองทัพภาคที่ 1 ซ่องสุมกำลังจนผิดสังเกต พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมเห็นแล้ว แต่ไม่ได้สนใจอะไร ยืนยันได้ว่าไม่มีการซ่องสุม และไม่ได้มีอะไรที่ผิดสังเกต งานปัจจุบันต้องอยู่ที่ที่ตั้งปกติ และปฏิบัติภาคสนามทั้งการป้องกันชายแดนฝั่งตะวันตกและตะวันออก และทหารทั้ง 3 กองพลนี้ ต้องลงไปทำงานในภาคใต้ หากไม่ฝึกก็ทำงานไม่ได้ วันนี้มีการฝึกหลายหน่วย ซึ่งตนนำกำลังของกองพลทหารราบที่ 2 รอ.และกองพลทหารราบที่ 9 มาดูการฝึกซ้อมด้วย ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมต้องเคลื่อนย้ายกำลังมา ทั้งที่ความจริง เป็นเรื่องของกองทัพภาคที่ 1 ที่ต้องการให้มาตรฐานของกองพลเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการแสดงความเป็นห่วงออกมาจะต้องทำความเข้าใจด้วย หรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ต้องทำความเข้าใจกับใคร เพราะถือว่า การฝึกทุกครั้งได้ขออนุญาต ผบ.ทบ.แล้ว และในการปฏิบัติในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกองทัพภาคที่ 1 เมื่อมีการขออนุญาตแล้ว และกองทัพบกอนุมัติ ตนก็ทำได้หมด ถ้าทุกคนเข้าใจแนวทางของทหารว่าทำอะไรกันอยู่ ก็ไม่ต้องตกใจ ขณะนี้เราทำหน้าที่ทหารอย่างดีที่สุด ในการป้องกันประเทศ ถวายการรักษาความปลอดภัย โครงการพระราชดำริ ช่วยเหลือประชาชน สนับสนุนงานตำรวจ
ส่วนการปรับย้ายนายทหารในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 มีปัญหาถูกล้างบาง หรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งเคยร่วมปฏิวัติมา พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา การปรับย้ายเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในความเหมาะสม ไม่มีอำนาจใดมาเกี่ยวเรื่องปรับย้ายได้ เพราะทหารมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ซึ่งการปรับย้ายแต่ละครั้งผู้บังคับบัญชาแต่ละลำดับชั้นเป็นผู้เสนอขึ้นไป เพื่อให้ผู้บัญชาการทหารบกพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ ส่วนใหญ่ท่านก็ให้ตามที่เสนอ และท่านไม่เคยมายุ่ง เพราะเรากลั่นกรองอย่างดี
“คนเราต้องดูว่าโตมาแล้วทำอะไรบ้างถึงจะปกครองหน่วยได้ เพราะเขาต้องรับผิดชอบคนหลายคน หากได้คนไม่ดีดูแลลูกน้องไม่ได้ เขาก็ทำงานไม่ได้ ขอให้เชื่อว่า มีการกลั่นกรองอย่างดี และไม่มีการล้วงลูก ส่วนที่ว่ากรณีที่เตรียมทหารรุ่น 10 อาจกลับเข้ามาในกองทัพนั้น ทุกรุ่นเป็นพี่น้องกันหมด และนายกรัฐมนตรีระบุแล้วว่าจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ และรับว่าจะดูแลทหารมากขึ้น ขณะนี้ยังไม่เคยมีใครมาวุ่นวายกับกองทัพ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะไม่เข้ามายุ่ง”
ส่วนกรณีที่ นายสุมิตร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย น้องชายนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่ามีความพยายามผลักดันให้ท่าน เข้ามาใน 5 เสือ ทบ. พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเพียงข่าว ไม่มี ผบ.ทบ.ก็ไม่เห็นพูดอะไร ความจริงเป็นเรื่องภายใน ทุกปีมีการปรับกันอยู่ แต่ปีนี้อยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์ ทำให้สนใจกัน ทั้งนี้ คงไม่น่าตื่นเต้นอะไร เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ต้องรอดูว่าจะออกมาอย่างไร ขอให้สบายๆ อย่าไปเครียด ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ก็ไม่มีการขอเข้ามา จากฝ่ายการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายการเมืองจะขอให้โยกย้ายในส่วนทหารที่คุมกำลังกองทัพภาคที่ 1 เพื่อป้องกันปฏิวัติ พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่มี ใครจะมาปฏิวัติ แต่ยืนยันว่าจะดูแลปกป้องลูกน้องทุกคนที่ร่วมปฏิวัติมาด้วยกัน และทุกคนเชื่อฟังผม และผมก็คุมอยู่ ไม่มีใครปฏิวัติ ทั้งนี้ คงไม่มีการปฏิวัติ เพราะจะแย่” เมื่อถามว่า การเมืองกลัวว่ากองทัพภาคที่ 1 จะปฏิวัติซ้อน พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า “กลัวผมทำไม ผมเป็นเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่กำกับดูแลกำลังพล 4-5 หมื่นคนในกองทัพภาคที่ 1”
วันเดียวกัน ครม.ได้อนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหม ขอเพิ่มตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อัตราจอมพล 1 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวที่จะหมดไปพร้อมกับการพ้นจากตำแหน่งไปของตัวบุคคล ทั้งนี้กระทรวงกลาโหม ได้รายงาน ครม.ว่าผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมคนที่แล้วซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2550 ได้ลาออกจากราชการไปทำให้ตำแหน่งถูกยุบ ไปด้วย ดังนั้นหากจะเปิดตำแหน่งดังกล่าวอีกครั้ง ก็ต้องขออนุมัติจาก ครม. ซึ่งกระทรวงกลาโหม มีความจำเป็นต้องมีตำแหน่งนี้ เพื่อหาคนมาปฎิบัติหน้าที่ต่อไป
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.ส.ส.และ ผบ.เหล่าทัพ ได้หารือกัน และมีความเห็นว่าควรจะมีการเปิดตำแหน่งดังกล่าวขึ้นมาอีกเพื่อรองรับ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผอ.สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม และ อดีต หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. หลังจากที่ฝ่ายการเมืองได้ขอให้มีย้าย พล.อ.สมเจตน์ มาประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เนื่องจากที่ผ่านมากระทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับพรรคพลังประชาชนโดยถูกมองว่ามีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูลในคดีทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย และ จ.บุรีรัมย์
“เดิม ผบ.เหล่าทัพ เห็นว่าไม่ควรจะเปิดตำแหน่งดังกล่าว เพราะมีข่าวทำนองว่า ฝ่ายการเมืองต้องการเปิดไว้ให้ใครบางคน แต่เมื่อมีใบสั่งให้ย้าย พล.อ.สมเจตน์ ออกไป ทั้งหมดจึงได้หารือกันว่าเปิดตำแหน่งดังกล่าวซึ่งเป็นอัตราจอมพลรองรับไว้เลย เพราะพล.อ.สมเจตน์ ไมได้กระทำความผิดอะไร และก็จะเกษียณอายุราชการ ในปลายปีนี้แล้วด้วย”