15 ตุลาคม 2552….
จดหมายเหตุการณ์เมืองไทยคงต้องบันทึกเอาไว้ว่า เป็นวันที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษให้สัมภาษณ์แสดงความรู้สึกต่อการไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลูกป๋าคนโต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจครั้งรุนแรงครั้งหนึ่งในรอบทศวรรษอย่างตรงไปตรงมาและมีนัยสำคัญยิ่ง
เพราะน้อยครั้งนักที่ พล.อ.เปรมจะพูดจาในลักษณะนี้
ก่อนหน้านี้แม้เหตุการณ์ทางการเมืองจะรุนแรงและจะถูกโจมตีอย่างหนักหนาสาหัสขนาดไหน พล.อ.เปรมจะใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหวประหนึ่ง “เตมีย์ใบ้” ไม่ออกมาชี้แจงหรือตอบโต้ใดๆ
แต่คราวนี้ไม่ใช่เช่นนั้น
ในระหว่างเปิดโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 13 พล.อ.เปรมตั้งใจที่จะพูดถึง พล.อ.ชวลิต โดยกล่าวก่อนที่สื่อมวลชนจะซักถามว่า “ผมจะไม่ให้สื่อตั้งคำถาม แต่ผมจะพูดเรื่องจิ๋วเอง”
จากนั้นถ้อยคำต่างๆ ก็หลุดออกมาอย่างไม่ขาดสาย โดยประโยคหนึ่งที่สำคัญยิ่งของพล.อ.เปรมอยู่ตรงที่ “วันนั้นก่อนที่จิ๋วจะไปสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผมให้คนไปบอกเขาว่าจะทำอะไรขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ผมใช้คำว่าไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ นี่เป็นข้อความที่ผมขอให้เขาสื่อไปถึงจิ๋วในตอนเช้าวันนั้น”
คำพูดของ พล.อ.เปรมที่สื่อสารถึงลูกป๋าคนโตอย่างบิ๊กจิ๋วมีความหมายชัดเจนโดยที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ในวันนั้น พล.อ.เปรมจะยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบิ๊กจิ๋วจะยังคงอยู่ต่อไป เป็นเพื่อนกันต่อไป แต่เมื่อผู้สื่อข่าวยิงคำถามว่า การเข้าสู่การเมืองของ พล.อ.ชวลิต จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิม พล.อ.เปรมหยุดคิดและกล่าวว่า “คุณเชื่อในพระสยามเทวาธิราชหรือไม่ ซึ่งพระสยามเทวาธิราชจะคอยดูว่าพวกเราทำอะไรกัน ถ้าใครทำไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองจะถูกท่านลงโทษ”
นัยที่ต้องติดตามกันต่อไปก็คือ พระสยามเทวาธิราช รวมทั้งนักฆ่าแห่งลุ่มเจ้าพระยาจะลงโทษคนที่ทำไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองหรือคนที่ทรยศชาติเมื่อไหร่และด้วยวิธีใด
ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ การเปิดใจของ พล.อ.เปรมครั้งนี้ มีนายทหาร “ลูกป๋า” ยืนอยู่ข้างหลังเพื่อให้กำลังใจเสมือนต้องการให้บิ๊กจิ๋วและสังคมรับรู้ว่า พล.อ.เปรมยังคงเป็นขุนเขาที่ใครก็มิอาจโยกคลอนได้ อาทิ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ, พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้งพล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด
แน่นอนว่า ขณะนี้เป็นที่รับรู้กันแล้วว่า บิ๊กจิ๋วไม่น้อมรับคำเตือนของป๋าเปรม พร้อมตัดสินใจเลือกที่จะรับใช้และเป็นหมากตัวสำคัญให้กับ “นายใหญ่แห่งดูไบ” ซึ่งต้องการกลับมาเป็นใหญ่ในสยามประเทศอีกครั้ง
พล.อ.ชวลิตกล่าวหลังคำเตือนของป๋าเปรมว่า “ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อชาติเพราะไม่ได้ทำอะไรเลย พล.อ.เปรมเป็นคนเสียสละทำงานให้กับบ้านเมืองมาเป็นระยะเวลานาน จนถึงวันนี้อายุจวนจะ 90 ปีแล้วยังไม่ทิ้ง แล้วผมยังไม่ถึง 80 ปี จะทิ้งได้อย่างไร เมื่อท่านพูดหนักๆ พูดแรงๆ แสดงว่าท่านห่วงเรามาก แต่ยอมรับไม่ค่อยสัมพันธ์กันนานแล้ว เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าไป…”
แต่ไล่เรี่ยจากคำให้สัมภาษณ์ครั้งแรกไม่นานหนัก พล.อ.ชวลิตก็ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นว่า “การตัดสินใจมาอยู่พรรคเพื่อไทย เพราะเป็นความต้องการของประชาชนทั้งแผ่นดิน ที่ชี้ให้ตนเข้ามาอยู่ที่นี่ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ทำมาเพื่อประชาชนรากหญ้าและคนจนอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นจะไปอยู่ในใจของประชาชนได้อย่างไร นี่คือ สิ่งที่ใครปฏิเสธไม่ได้ มีพรรคการเมืองพรรคไหนบ้างที่ตั้งพรรคมาจนถึงขณะนี้แล้ว อยู่ในใจประชาชนคนยากจนได้เหมือนพรรคนี้ เพราะฉะนั้นนี่คือสาเหตุ ท่าน (พล.อ.เปรม) รู้ และทราบดี แต่ยังไม่ได้มีโอกาสคุยกัน ส่วนเรื่องที่มาถามกันคือคำว่า ทรยศชาติ ต้องถามว่านี่หรือที่เรียกว่าการทรยศชาติ ผมโดนคำกล่าวหาที่ค่อนข้างรุนแรงมาหลายครั้ง เมื่อ 20 กว่าปี ก่อนก็เคยถูกชี้หน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และไม่กี่ปีก่อนก็ถูกชี้หน้าว่าเป็นกบฏ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่คนเราเวลาทำอะไรที่ทุ่มเทซักอย่างก็จะต้องเกี่ยวพันกับหลายสิ่ง แต่เมื่อจิตใจเรามั่นคงทำสิ่งที่ถูกต้องก็จะประสบผลสำเร็จเอง”
คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ชวลิตในครั้งนี้แม้จะเรียบๆ นิ่มๆ ตามสไตล์ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” แต่กลับตอกย้ำชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เขาเลือกยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับป๋าเปรมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการ พล.อ.เปรมวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ที่ป๋าออกมาพูดแสดงให้เห็นเลยว่า ป๋ายังมีความเมตตาต่อ พล.อ.ชวลิตจอยู่นะ แล้วก็เตือนสติ พล.อ.ชวลิตให้คิดให้ดี ก็คือว่า จิ๋วอยู่อย่างเก่าก็ดีอยู่แล้ว หาเรื่อง หาเหาใส่หัวทำไม”
การวิเคราะห์ที่เฉียบคมของ น.ต.ประสงค์ที่มีเจตนาฝากไปถึงบิ๊กจิ๋วก็คือ “พล.อ.ชวลิตก็รู้ดีอยู่ว่า พรรคเพื่อไทยพฤติกรรมเป็นยังไงบ้าง พวกเสื้อแดงก็ของพรรคเพื่อไทย โจมตีจาบจ้วงสถาบันสูงสุด ด่าว่าประธานองคมนตรีสาดเสียเทเสีย ถ้า พล.อ.ชวลิตอยู่เฉยๆ ไม่เข้าไป พล.อ.ชวลิตจะรักษาตัวได้ดีกว่า”
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ พล.อ.ชวลิตตัดสินใจ
ถามว่า พล.อ.ชวลิตรู้หรือไม่ว่า พล.อ.เปรมคิดอย่างไรกับ นช.ทักษิณ
ตอบได้ทันทีว่ารู้ และรู้ด้วยว่านับจากนี้เป็นต้นไปจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
หากวิเคราะห์กันถึงเบื้องหลังการเข้าร่วมพรรคเพื่อไทยของบิ๊กจิ๋วก็จะพบว่า นี่น่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของเจ้าของพรรคตัวจริงที่ดูไบ ซึ่งต้องการ “คน” ที่ได้รับการยอมรับและมีบารมีเพียงพอที่จะเปิดหน้าชกด้วยหมัดลุ่นๆ กับป๋าอย่างสมน้ำสมเนื้อ และบิ๊กจิ๋วน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่นายใหญ่เลือกเนื่องเพราะที่ผ่านมาบิ๊กจิ๋วแม้จะถือเป็นหนึ่งในลูกป๋า แต่ก็มีความโลเลและมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่าจะเข้ามาช่วยกอบกู้พรรคและดูแลลูกน้องแทนนายใหญ่แห่งดูไป
ที่สำคัญเขามีเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งทหาร ตำรวจ รวมทั้งมวลชนที่พร้อมจะทำตามความต้องการของบิ๊กจิ๋ว
แน่นอน พล.อ.ชวลิตรู้ดีว่าตัวเองเป็น “หมาก” ของนายใหญ่ที่ดูไบ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า งานนี้เขาต้องได้รับ “อะไรๆ” ที่คุ้มค่าเพียงพอกับการประกาศชน พล.อ.เปรม
ส่วนจะอยู่นานแค่ไหน หรือเพียงเข้ามาเพื่อสร้างภาพหรือไม่นั้น อีกไม่นานคงรู้กัน
ขณะเดียวกัน ต้องบอกว่า ลึกไปกว่านั้นคำพูดของ พล.อ.เปรมไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ชวลิตแต่เพียงคนเดียว หากยังหมายรวมถึงคนอื่นๆ ที่พร้อมจะทยอยออกมาซบพรรคเพื่อไทยหลังการเปิดตัวของ พล.อ.ชวลิต
ขณะเดียวกันก็สามารถตีความโดยตรงถึงพรรคเพื่อไทยว่า ใครก็ตามที่เข้าร่วมพรรคเพื่อไทยอาจกลายเป็นคนทรยศชาติได้ ซึ่งนั่นทำให้ทางพรรคเพื่อไทยเองก็ดูเหมือนจะเป็นเดือดเป็นแค้นและดิ้นพล่านกับคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.เปรมเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุดังกล่าว บรรดา “ไข่แม้ว” ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ย่อมอดรนทนไม่ได้กับคำพูดพล.อ.เปรม และพร้อมใจกันดาหน้ากันออกมาตอบโต้ไม่เว้นแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเป็น พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี พท. เพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ที่กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.เปรม พูดเช่นนี้ตนมองว่า พล.อ.เปรมได้ปิดทางเจรจาแล้ว ขนาด พล.อ.ชวลิตไปขอขมาก่อนบวชยังไม่ให้เข้าพบ พร้อมตั้งคำถามอย่างเสียดสีด้วยว่า ทุกวันนี้คำว่า "รัฐบุรุษ" มีคนเชื่อถือแค่ไหน
ตามติดมาด้วย “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ท้าชนอย่างไม่เกรงกลัวบารมีของป๋าว่า กล่าวว่า “ที่คนบางคนกล่าวว่าพรรคเพื่อไทยทรยศต่อประเทศชาติถูกพิสูจน์ยืนยันว่าเป็นคำพูดที่ไม่จริง พี่น้องทหารที่มาวันนี้ ทุกคนรับใช้ชาติมาตลอดชีวิตราชการ ทุกคนเสี่ยงชีวิตเพื่อชาติ ราชบัลลังก์มาตลอด ฉะนั้นการที่ทุกคนเลือกมาอยู่พรรคเพื่อไทย ดังที่หลายคนพูดแล้วว่าเป็นพรรคที่ทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข ทุกคนจึงสมัครใจเข้ามา ผมอยากฝากไปยังพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษในฐานะที่เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นพี่ และเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา ว่าการผูกขาดความรักชาตินั้นอย่าผูกขาดไว้แต่ผู้เดียว และแม้นว่าใครมีความคิดไม่ตรงกับท่าน ผู้นั้นทรยศชาติ ไม่ใช่เพราะวันนี้มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด”
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พท. แกนนำคนเสื้อแดงกล่าวว่า การที่ พล.อ.เปรมออกมาพูดแบบนี้แสดงว่าหาก พล.อ.ชวลิตไปสังกัดพรรคการเมืองอื่นๆ พล.อ.เปรมจะไม่ออกมาพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่ ซึ่งวันนี้ พล.อ.เปรม คงคิดว่าชาติคือ พล.อ.เปรม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามได้ ถ้าอย่างนี้ พท.จะบอกบ้าง คนที่จะเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์นั้นจะต้องพิจารณาให้ดีเช่นกัน พล.อ.เปรมควรเคารพประชาชนที่เลือกพท.มา และพรรคก็เป็นพรรคใหญ่ที่มีประชาชนเลือกเข้ามามากที่สุดในขณะนี้ การที่ พล.อ.เปรมพูดอย่างนี้เท่ากับเป็นการกระทำที่เกินหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด การออกมาเคลื่อนไหวของ พล.อ.เปรม เพราะการออกมาเคลื่อนไหวโดยมีขุนทหารล้อมรอบ ทำตัวเหมือนเป็นจอมทัพเสียเอง
ตามต่อด้วย การที่ “นายคารม พลทะกลาง” ซึ่งเป็น 1 ในสมาชิกพรรคเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี สาขารัตนาธิเบศร์ เพื่อให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.เปรมในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
และปิดท้ายการสำแดงบารมีด้วยการระดมเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 ตบเท้าเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นทิวแถวถึง 52 คน เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่สนใจต่อคำขู่เรื่องการทรยศชาติของพล.อ.เปรมและตัดสินใจเป็นฝ่ายตรงข้ามหรืออาจคำว่า “เป็นศัตรู”กับ พล.อ.เปรมอย่างเต็มตัวเสียด้วยซ้ำไป
แต่คำถามก็คือว่า ขณะที่บรรดาตท.10 อยู่ในอำนาจยังไม่สามารถช่วยเพื่อนรักไทย เมื่อแปรสภาพเป็น “ทหารแก่” แล้วจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน หรือทำได้แค่เพียงการสร้างภาพเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประโยคเด็ดที่ พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาพที่ 3 หนึ่ง ใน ตท.10 หลุดออกมาจากปากและกลายเป็นประเด็นสำคัญยิ่งก็คือ...
“วันนี้เมื่อนายทหารและตำรวจระดับสูง ตท.10 เข้าพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะเผชิญกับแรงบีบคั้นทุกรูปแบบที่คิดจะทำลายเพื่อไทยและทักษิณ โดยเฉพาะอำนาจนอกระบบหรือแม้แต่ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ ฝ่ายตรงข้ามเรา พวกอำนาจนอกระบบ ผู้มีบารมีทั้งหลายกำลังมีปัญหาเรื่องอายุขัย ถามวันนี้อายุเท่าไหร่แล้ว จะอยู่ได้นานแค่ไหน ผู้มีบารมีและอำนาจนอกระบบที่จะมาทำอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย วันนี้จะอยู่ได้อีกไม่นาน บิ๊กป๊อกก็กำลังหาทางลง ทุกอย่างมันใกล้จบแล้ว”
สิ่งที่ต้องขบคิดก็คือ พล.ท.มนัสเจตนาจะกล่าวถึงและหยุดอยู่แค่ พล.อ.เปรม หรือตั้งใจที่จะให้ไปไกลกว่านั้น
....ถึงตรงนี้ หากประมวลสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ก็จะพบว่า ขณะนี้บรรดา “อีแอบ” ที่เคยทำตัวเป็นกลางได้ตัดสินใจ “เลือกข้าง” เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะการเปิดหน้าเลือกข้างของบรรดา “ขุนทหาร” ฉะนั้น นับจากนี้เป็นต้นไป ปี่กลองทางการเมืองคงจะดุเดือดและเข้มข้นมากเป็นลำดับ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพ่ายแพ้ โดยมีทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีและ “ชีวิต” ทั้งชีวิตเป็นเดิมพัน