โดย...วิทยา วชิระอังกูร
อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ นักเขียนเรื่องสั้นสำนวนนักเลงเหมืองแร่ เจ้าของคำคม “สงคราม คือ บาป สันติภาพ คือ บุญ” ที่ชนะเลิศการประกวดรับรางวัลจากองค์การสหประชาชาติ เมื่อกว่าสี่สิบปีมาแล้ว นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ถูกรีไทร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยท่านนี้ เคยเขียนรำลึกถึงตนเองในวันที่ประสบความสำเร็จเป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัวไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ฆาตกรรมวิศวกรไปหนึ่งคน แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชดเชยโดยสร้างนักเขียนประดับบรรณพิภพไว้ทดแทน”
ผมหวนรำลึกถึงข้อเขียนที่ประทับใจซึ่งกาลเวลาได้ล่วงเลยมานานนักแล้ว จนอาจจะจดจำได้ไม่ครบถ้วนทุกตัวอักษร แต่เนื้อหาใจความไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน
เหตุที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเกิดความรู้สึกเสียดายที่กำลังสูญเสียสื่อมวลชนในดวงใจไปหมาดๆ อีกหนึ่งคน เมื่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตัดสินใจไปรับบทบาทนักการเมือง และได้รับเลือกจากมวลสมาชิกให้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยส่วนตัวในฐานะนักอ่าน นักฟัง ที่เสพสื่อเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิต ผมติดตามบทบาทในด้านสื่อมวลชนของคุณสนธิมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร ชื่นชมและชื่นชอบความรอบรู้แบบรู้ลึกรู้กว้างและสื่อสารบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างน่าฟัง ชวนติดตาม ลุ่มลึก ทรงภูมิ และมักจะคาดเดาเหตุการณ์บ้านเมืองได้ล่วงหน้า สมกับที่เล่าเรียนศึกษามาในทางประวัติศาสตร์
ในช่วงที่คุณสนธิ จัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” โดยมีคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นพิธีกรร่วมรายการนั้น ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามรายการตั้งแต่ต้นจนรายการถูกถอดในช่วงแรกๆ แม้ผมและผองเพื่อนคอเดียวกัน จะแอบเห็นเป็นพิรุธบางประการว่าคุณสนธิ ดูจะเอียงข้างเชียร์นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มากเกินสมควร จนเพื่อนหลายคนเริ่มรับไม่ได้และหลายคนบอกศาลาเลิกดูรายการไปเลยก็มี
ผมเองอาจจะโดยความชื่นชอบฝังใจส่วนตัว ทำให้พยายามมองข้ามความไม่ปกติเหล่านั้นไป โดยปลอบตนเองว่า เอาน่า มันยังมีความรู้ และข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์อีกหลากหลายที่หาดูหาฟังจากที่อื่นไม่ได้ แล้วผมก็ติดตามคุณสนธิ แบบแฟนพันธุ์แท้ อีกต่อมา แม้จนกระทั่งที่หอประชุมธรรมศาสตร์ ที่สวนลุมพินี หรือแม้แต่ที่สนามหลวง โดยมาร่วมฟังสดๆ หรือรับชมจากเอเอสทีวี แล้วแต่สถานการณ์จะอำนวย
เมื่อคุณสนธิเปลี่ยนบทบาทไปเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายครั้งที่ยอมรับว่า ผมรู้สึกผิดหวัง และไม่เห็นด้วยกับวิธีการปราศรัยบนเวทีแบบเหมือนจะเอามันของคุณสนธิโดยตะเบงเสียงด่ากราดผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่ก้าวร้าว รุนแรง หลายคนที่เอียงข้างบอกผมว่า การไฮปาร์กก็ต้องใช้ลีลาดุเด็ดเผ็ดมันเอาใจผู้ชุมนุม เป็นการปลุกระดมให้ฮึกเหิมอย่างนี้แหละ
ซึ่งผมก็อธิบายโต้กลับไปว่า มันไม่จำเป็นเสมอไปหรอก เพราะนักปราศรัยเก่งๆ อย่างคุณชวน หลีกภัย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอีกหลายๆ คน รวมทั้งคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณสนธิเอง อย่างคุณสุริยะใส กตะศิลา ที่มีแม่ยกพ่อยกชื่นชอบมากมาย ก็ปราศรัยตามบุคลิกส่วนตัวที่สุภาพนุ่มนวล แต่หนักแน่น ตรึงผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
โดยส่วนตัวผมจึงเสียดายภาพบุคลิกนักวิชาการ และวิธีการพูดแบบเดิมๆ ของคุณสนธิ ที่มีน้ำเสียงทุ้มกังวาน เรียบเรียงบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างชวนฟัง และน่าเชื่อถือ ซึ่งในช่วงดังกล่าวผมเองก็พยายามสื่อสารทางเอสเอ็มเอสไปยังเวที และทางเอเอสทีวี ท้วงติงว่า การปราศรัยแบบดุดันและใช้อารมณ์ของคุณสนธิ เปรียบเทียบกับการพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทำให้เสียบุคลิก และลดทอนความน่าเชื่อถือลงไปมาก แต่ก็คงเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา เพราะต่อๆ มา ผมก็ยังพบเห็นลีลาการปราศรัยแบบก้าวร้าวรุนแรงของคุณสนธิ ที่กลายเป็นจุดอ่อนและช่องทางให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท และศาลชั้นต้นสั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญาหลายต่อหลายคดี
บัดนี้ คุณสนธิเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว จากที่เคยตรวจสอบเปิดโปงความทุจริต ไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองต่างๆ ในฐานะหมาเฝ้าบ้าน หรือยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ตั้งตำแหน่งเองในหน้าที่สื่อมวลชน คุณสนธิ ก็จะต้องอยู่ในฐานะถูกตรวจสอบ และต้องพร้อมที่จะรับการตรวจสอบในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะที่อาสาเข้ามาทำงานทางการเมือง
ผมเองอยู่ในฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองมาแต่ต้น เพราะเห็นว่าการเมืองภาคประชาชนในรูปแบบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังสำแดงอานุภาพในการปลุกสังคมให้ตื่นรู้ด้วยการให้ปัญญาแก่ประชาชน แต่กระบวนการยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ซึ่งยังต้องการขั้นตอนการพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ชัดเจนสมบูรณ์มากกว่านี้ การรีบร้อนตั้งพรรคการเมืองอาจจะทำให้พลังของภาคประชาชนอ่อนกำลังลง เพราะต้องถูกตัดทอนกำลังแยกส่วนไปทำภารกิจพรรคการเมือง ซึ่งน่าจะเป็นภารกิจที่ต้องแยกส่วนต่างหากออกจากกัน
ยอมรับตามตรงว่า แรกๆ ผมเองยังค่อนข้างสับสนกับคำอธิบายที่บอกว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และจะยังคงขับเคลื่อนคู่ขนานกันไป แต่ในฐานะนักประชาธิปไตย ผมก็พร้อมจะยอมรับมติมหาชนแห่งพันธมิตรฯ และยอมรับเป็นเสียงข้างน้อยที่จะคอยเฝ้าดูและสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจของเสียงส่วนใหญ่ ตามกำลังศรัทธาต่อเป้าหมายที่ถูกต้องดีงามเพื่อบ้านเพื่อเมืองในอนาคตต่อไป
ได้อ่านบทความคุณสุรวิชช์ วีรวรรณ หลายวันก่อนเป็นความรู้สึกที่ตรงกัน ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่คุณสนธิจะเปลี่ยนบทบาทจากสื่อมวลชนไปเป็นนักการเมือง ลึกๆ คุณสุรวิชช์ อาจจะมีเหตุผลเชิงตรรกะลึกซึ้งกว่าผม เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสทำงานใกล้ชิดกับคุณสนธิ โดยตรง
ในฐานะคนนอก ความรู้สึกแรกคือวิตกกังวลเช่นเดียวกันกับหลายคน ในประเด็นที่คุณสนธิจะกลายเป็นคนเสียสัตย์ไหม? เมื่อเคยประกาศหนักแน่นหลายครั้งต่อสาธารณะว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองโดยเด็ดขาด บรรดากองเชียร์ทั้งหลายจะอธิบายลบล้างคำประกาศที่เป็นเหมือนสัญญาสาธารณะในระหว่างการนำพาการต่อสู้ของมวลชนได้อย่างไร?
ประการต่อมา คือความรู้สึกเสียดาย เพราะเคยเชื่อมั่นว่า คุณสนธิ เป็นสื่อมวลชนที่มีคุณภาพและมีศักยภาพมาก มีสื่อในมือทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี และสื่อออนไลน์ที่ประกาศเป็นสื่อทางเลือก สวนกระแสกับสื่อกระแสหลักอย่างกล้าหาญชาญชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องยอมรับว่า คุณสนธิได้เสียสละเสี่ยงใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการผลักดันสร้างการเมืองภาคประชาชนในรูปแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก่อให้เกิดการตื่นตัวของประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า จากปรากฏการณ์สนธิ ที่ต่อเนื่องกันมา คุณสนธิ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์และจิตวิญญาณของการเมืองภาคประชาชนไปแล้ว ซึ่งทรงคุณค่ากว่าตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
แรกๆ เมื่อได้สดับตรับฟังว่า คุณสนธิจะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ตามแรงเชียร์ของคนรอบข้าง ผมยังเคยปรารภกับตนเองและคนคอเดียวกันว่า จะคิดสั้นลดตัวลงไปเป็นทำไม
มาถึงตอนนี้ คงไม่มีใครจะสามารถทัดทานการปรากฏขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ และการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเป็นทางการเรียบร้อยโรงเรียนพันธมิตรฯ ไปแล้ว
ในท่ามกลางวิกฤตการณ์การเมืองไทยที่แบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย แตกแยกถึงขั้นเกลียดชังกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็ได้แต่ขอให้คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินทุกคน ได้ร่วมกันประคับประคองให้พรรคการเมืองใหม่เป็นความหวังทางการเมือง ที่จะจรรโลงความถูกต้องเป็นธรรม สร้างการเมืองใหม่ ที่เป็นการเมืองมุ่งสร้างประโยชน์สุขแก่ชาติและประชาชน นำพาความรักความเอื้ออาทรแบบไทยแท้ และรอยยิ้มสยามกลับคืนมาสู่คนไทยทุกคนให้เป็นจริงให้จงได้
ในท่ามกลางนักเลือกตั้งเส็งเครงที่เป็นหนอนบ่อนไส้ชอนไชการเมืองไทยจนเน่าเฟะอยู่เยี่ยงทุกวันนี้ โดยมีเพียงคนกลุ่มเดียวที่วนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาครองอำนาจ แสวงประโยชน์ ปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติ โดยแอบอ้างคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งที่ล้วนฉ้อฉล ปล้นมาจากประชาชนอย่างหน้าด้านๆ
และหนักข้อถึงขั้นนักการเมืองชั่วหลายคนย่ามใจผูกขาดการเป็นผู้แทน ด้วยการส่งลูกเมีย วงศาคณาญาติมาสืบทอดให้รับการเลือกตั้งเหมือนส่งมอบมรดกส่วนตัว ซึ่งโดยระบบวิธีการเลือกตั้งแบบเดิมๆ เอื้ออำนวยให้บรรดานักเลือกตั้งเส็งเครงเหล่านั้น กระทำการย่ำยีอำนาจอธิปไตยของปวงชนได้อย่างคึกคะนองไร้ยางอาย
นักเลือกตั้งเส็งเคร็งเหล่านี้ไม่เคยนิยมชมชอบระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่เคยและไม่คิดที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยที่แท้จริงแก่สังคมและประชาชน แต่ชอบอ้างเพียงรูปแบบและเปลือกหุ้มประชาธิปไตยเพื่อสนองประโยชน์ของฝ่ายตนเท่านั้น ลึกๆ คนเหล่านี้จึงล้วนมีใจเผด็จการที่น่ากลัว
ก็ได้แต่หวังว่า พรรคการเมืองใหม่จะมีอุดมการณ์และแนวทางใหม่จริงๆ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยคัดกรองผลิตนักการเมืองรุ่นใหม่เพื่อเปรียบเทียบกับนักเลือกตั้งรุ่นเก่า ให้สังคมได้เห็นชัดเจนแบบขาวกับดำไปเลย อย่างน้อยที่สุด นักการเมืองในสังกัดพรรคการเมืองใหม่ก็ต้องไม่ใช้วิธีการรับการเลือกตั้งแบบเก่าๆ เพียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งในทุกรูปแบบ และอย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงทั้งต่อหน้าและลับหลัง และต้องเป็นผู้นำทางความคิดเพื่อเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องเป็นจริงสู่สังคมไทย เป็นแบบอย่างของนักประชาธิปไตยทั้งในและนอกรัฐสภา
และสุดท้ายขออนุญาตเลียนแบบคำคมของศิลปินแห่งชาติ อาจินต์ ปัญจพรรค์ มาบอกต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุลว่า
“คุณได้ฆาตกรรมสื่อมวลชนที่ดีของประเทศไทยไปหนึ่งคน หวังว่าคุณจะชดเชยโดยสร้างนักการเมืองที่ดีเพื่อทดแทนให้ประเทศไทยอีกหนึ่งคน”
อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ นักเขียนเรื่องสั้นสำนวนนักเลงเหมืองแร่ เจ้าของคำคม “สงคราม คือ บาป สันติภาพ คือ บุญ” ที่ชนะเลิศการประกวดรับรางวัลจากองค์การสหประชาชาติ เมื่อกว่าสี่สิบปีมาแล้ว นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ถูกรีไทร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยท่านนี้ เคยเขียนรำลึกถึงตนเองในวันที่ประสบความสำเร็จเป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัวไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ฆาตกรรมวิศวกรไปหนึ่งคน แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชดเชยโดยสร้างนักเขียนประดับบรรณพิภพไว้ทดแทน”
ผมหวนรำลึกถึงข้อเขียนที่ประทับใจซึ่งกาลเวลาได้ล่วงเลยมานานนักแล้ว จนอาจจะจดจำได้ไม่ครบถ้วนทุกตัวอักษร แต่เนื้อหาใจความไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน
เหตุที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเกิดความรู้สึกเสียดายที่กำลังสูญเสียสื่อมวลชนในดวงใจไปหมาดๆ อีกหนึ่งคน เมื่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตัดสินใจไปรับบทบาทนักการเมือง และได้รับเลือกจากมวลสมาชิกให้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยส่วนตัวในฐานะนักอ่าน นักฟัง ที่เสพสื่อเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิต ผมติดตามบทบาทในด้านสื่อมวลชนของคุณสนธิมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร ชื่นชมและชื่นชอบความรอบรู้แบบรู้ลึกรู้กว้างและสื่อสารบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างน่าฟัง ชวนติดตาม ลุ่มลึก ทรงภูมิ และมักจะคาดเดาเหตุการณ์บ้านเมืองได้ล่วงหน้า สมกับที่เล่าเรียนศึกษามาในทางประวัติศาสตร์
ในช่วงที่คุณสนธิ จัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” โดยมีคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นพิธีกรร่วมรายการนั้น ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามรายการตั้งแต่ต้นจนรายการถูกถอดในช่วงแรกๆ แม้ผมและผองเพื่อนคอเดียวกัน จะแอบเห็นเป็นพิรุธบางประการว่าคุณสนธิ ดูจะเอียงข้างเชียร์นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มากเกินสมควร จนเพื่อนหลายคนเริ่มรับไม่ได้และหลายคนบอกศาลาเลิกดูรายการไปเลยก็มี
ผมเองอาจจะโดยความชื่นชอบฝังใจส่วนตัว ทำให้พยายามมองข้ามความไม่ปกติเหล่านั้นไป โดยปลอบตนเองว่า เอาน่า มันยังมีความรู้ และข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์อีกหลากหลายที่หาดูหาฟังจากที่อื่นไม่ได้ แล้วผมก็ติดตามคุณสนธิ แบบแฟนพันธุ์แท้ อีกต่อมา แม้จนกระทั่งที่หอประชุมธรรมศาสตร์ ที่สวนลุมพินี หรือแม้แต่ที่สนามหลวง โดยมาร่วมฟังสดๆ หรือรับชมจากเอเอสทีวี แล้วแต่สถานการณ์จะอำนวย
เมื่อคุณสนธิเปลี่ยนบทบาทไปเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายครั้งที่ยอมรับว่า ผมรู้สึกผิดหวัง และไม่เห็นด้วยกับวิธีการปราศรัยบนเวทีแบบเหมือนจะเอามันของคุณสนธิโดยตะเบงเสียงด่ากราดผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่ก้าวร้าว รุนแรง หลายคนที่เอียงข้างบอกผมว่า การไฮปาร์กก็ต้องใช้ลีลาดุเด็ดเผ็ดมันเอาใจผู้ชุมนุม เป็นการปลุกระดมให้ฮึกเหิมอย่างนี้แหละ
ซึ่งผมก็อธิบายโต้กลับไปว่า มันไม่จำเป็นเสมอไปหรอก เพราะนักปราศรัยเก่งๆ อย่างคุณชวน หลีกภัย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอีกหลายๆ คน รวมทั้งคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณสนธิเอง อย่างคุณสุริยะใส กตะศิลา ที่มีแม่ยกพ่อยกชื่นชอบมากมาย ก็ปราศรัยตามบุคลิกส่วนตัวที่สุภาพนุ่มนวล แต่หนักแน่น ตรึงผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
โดยส่วนตัวผมจึงเสียดายภาพบุคลิกนักวิชาการ และวิธีการพูดแบบเดิมๆ ของคุณสนธิ ที่มีน้ำเสียงทุ้มกังวาน เรียบเรียงบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างชวนฟัง และน่าเชื่อถือ ซึ่งในช่วงดังกล่าวผมเองก็พยายามสื่อสารทางเอสเอ็มเอสไปยังเวที และทางเอเอสทีวี ท้วงติงว่า การปราศรัยแบบดุดันและใช้อารมณ์ของคุณสนธิ เปรียบเทียบกับการพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทำให้เสียบุคลิก และลดทอนความน่าเชื่อถือลงไปมาก แต่ก็คงเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา เพราะต่อๆ มา ผมก็ยังพบเห็นลีลาการปราศรัยแบบก้าวร้าวรุนแรงของคุณสนธิ ที่กลายเป็นจุดอ่อนและช่องทางให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท และศาลชั้นต้นสั่งจำคุกโดยไม่รอลงอาญาหลายต่อหลายคดี
บัดนี้ คุณสนธิเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว จากที่เคยตรวจสอบเปิดโปงความทุจริต ไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองต่างๆ ในฐานะหมาเฝ้าบ้าน หรือยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ตั้งตำแหน่งเองในหน้าที่สื่อมวลชน คุณสนธิ ก็จะต้องอยู่ในฐานะถูกตรวจสอบ และต้องพร้อมที่จะรับการตรวจสอบในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะที่อาสาเข้ามาทำงานทางการเมือง
ผมเองอยู่ในฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองมาแต่ต้น เพราะเห็นว่าการเมืองภาคประชาชนในรูปแบบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังสำแดงอานุภาพในการปลุกสังคมให้ตื่นรู้ด้วยการให้ปัญญาแก่ประชาชน แต่กระบวนการยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ซึ่งยังต้องการขั้นตอนการพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ชัดเจนสมบูรณ์มากกว่านี้ การรีบร้อนตั้งพรรคการเมืองอาจจะทำให้พลังของภาคประชาชนอ่อนกำลังลง เพราะต้องถูกตัดทอนกำลังแยกส่วนไปทำภารกิจพรรคการเมือง ซึ่งน่าจะเป็นภารกิจที่ต้องแยกส่วนต่างหากออกจากกัน
ยอมรับตามตรงว่า แรกๆ ผมเองยังค่อนข้างสับสนกับคำอธิบายที่บอกว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และจะยังคงขับเคลื่อนคู่ขนานกันไป แต่ในฐานะนักประชาธิปไตย ผมก็พร้อมจะยอมรับมติมหาชนแห่งพันธมิตรฯ และยอมรับเป็นเสียงข้างน้อยที่จะคอยเฝ้าดูและสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจของเสียงส่วนใหญ่ ตามกำลังศรัทธาต่อเป้าหมายที่ถูกต้องดีงามเพื่อบ้านเพื่อเมืองในอนาคตต่อไป
ได้อ่านบทความคุณสุรวิชช์ วีรวรรณ หลายวันก่อนเป็นความรู้สึกที่ตรงกัน ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่คุณสนธิจะเปลี่ยนบทบาทจากสื่อมวลชนไปเป็นนักการเมือง ลึกๆ คุณสุรวิชช์ อาจจะมีเหตุผลเชิงตรรกะลึกซึ้งกว่าผม เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสทำงานใกล้ชิดกับคุณสนธิ โดยตรง
ในฐานะคนนอก ความรู้สึกแรกคือวิตกกังวลเช่นเดียวกันกับหลายคน ในประเด็นที่คุณสนธิจะกลายเป็นคนเสียสัตย์ไหม? เมื่อเคยประกาศหนักแน่นหลายครั้งต่อสาธารณะว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองโดยเด็ดขาด บรรดากองเชียร์ทั้งหลายจะอธิบายลบล้างคำประกาศที่เป็นเหมือนสัญญาสาธารณะในระหว่างการนำพาการต่อสู้ของมวลชนได้อย่างไร?
ประการต่อมา คือความรู้สึกเสียดาย เพราะเคยเชื่อมั่นว่า คุณสนธิ เป็นสื่อมวลชนที่มีคุณภาพและมีศักยภาพมาก มีสื่อในมือทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี และสื่อออนไลน์ที่ประกาศเป็นสื่อทางเลือก สวนกระแสกับสื่อกระแสหลักอย่างกล้าหาญชาญชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องยอมรับว่า คุณสนธิได้เสียสละเสี่ยงใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการผลักดันสร้างการเมืองภาคประชาชนในรูปแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก่อให้เกิดการตื่นตัวของประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า จากปรากฏการณ์สนธิ ที่ต่อเนื่องกันมา คุณสนธิ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์และจิตวิญญาณของการเมืองภาคประชาชนไปแล้ว ซึ่งทรงคุณค่ากว่าตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
แรกๆ เมื่อได้สดับตรับฟังว่า คุณสนธิจะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ตามแรงเชียร์ของคนรอบข้าง ผมยังเคยปรารภกับตนเองและคนคอเดียวกันว่า จะคิดสั้นลดตัวลงไปเป็นทำไม
มาถึงตอนนี้ คงไม่มีใครจะสามารถทัดทานการปรากฏขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ และการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเป็นทางการเรียบร้อยโรงเรียนพันธมิตรฯ ไปแล้ว
ในท่ามกลางวิกฤตการณ์การเมืองไทยที่แบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย แตกแยกถึงขั้นเกลียดชังกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็ได้แต่ขอให้คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินทุกคน ได้ร่วมกันประคับประคองให้พรรคการเมืองใหม่เป็นความหวังทางการเมือง ที่จะจรรโลงความถูกต้องเป็นธรรม สร้างการเมืองใหม่ ที่เป็นการเมืองมุ่งสร้างประโยชน์สุขแก่ชาติและประชาชน นำพาความรักความเอื้ออาทรแบบไทยแท้ และรอยยิ้มสยามกลับคืนมาสู่คนไทยทุกคนให้เป็นจริงให้จงได้
ในท่ามกลางนักเลือกตั้งเส็งเครงที่เป็นหนอนบ่อนไส้ชอนไชการเมืองไทยจนเน่าเฟะอยู่เยี่ยงทุกวันนี้ โดยมีเพียงคนกลุ่มเดียวที่วนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาครองอำนาจ แสวงประโยชน์ ปู้ยี่ปู้ยำประเทศชาติ โดยแอบอ้างคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งที่ล้วนฉ้อฉล ปล้นมาจากประชาชนอย่างหน้าด้านๆ
และหนักข้อถึงขั้นนักการเมืองชั่วหลายคนย่ามใจผูกขาดการเป็นผู้แทน ด้วยการส่งลูกเมีย วงศาคณาญาติมาสืบทอดให้รับการเลือกตั้งเหมือนส่งมอบมรดกส่วนตัว ซึ่งโดยระบบวิธีการเลือกตั้งแบบเดิมๆ เอื้ออำนวยให้บรรดานักเลือกตั้งเส็งเครงเหล่านั้น กระทำการย่ำยีอำนาจอธิปไตยของปวงชนได้อย่างคึกคะนองไร้ยางอาย
นักเลือกตั้งเส็งเคร็งเหล่านี้ไม่เคยนิยมชมชอบระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่เคยและไม่คิดที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยที่แท้จริงแก่สังคมและประชาชน แต่ชอบอ้างเพียงรูปแบบและเปลือกหุ้มประชาธิปไตยเพื่อสนองประโยชน์ของฝ่ายตนเท่านั้น ลึกๆ คนเหล่านี้จึงล้วนมีใจเผด็จการที่น่ากลัว
ก็ได้แต่หวังว่า พรรคการเมืองใหม่จะมีอุดมการณ์และแนวทางใหม่จริงๆ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยคัดกรองผลิตนักการเมืองรุ่นใหม่เพื่อเปรียบเทียบกับนักเลือกตั้งรุ่นเก่า ให้สังคมได้เห็นชัดเจนแบบขาวกับดำไปเลย อย่างน้อยที่สุด นักการเมืองในสังกัดพรรคการเมืองใหม่ก็ต้องไม่ใช้วิธีการรับการเลือกตั้งแบบเก่าๆ เพียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งในทุกรูปแบบ และอย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงทั้งต่อหน้าและลับหลัง และต้องเป็นผู้นำทางความคิดเพื่อเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องเป็นจริงสู่สังคมไทย เป็นแบบอย่างของนักประชาธิปไตยทั้งในและนอกรัฐสภา
และสุดท้ายขออนุญาตเลียนแบบคำคมของศิลปินแห่งชาติ อาจินต์ ปัญจพรรค์ มาบอกต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุลว่า
“คุณได้ฆาตกรรมสื่อมวลชนที่ดีของประเทศไทยไปหนึ่งคน หวังว่าคุณจะชดเชยโดยสร้างนักการเมืองที่ดีเพื่อทดแทนให้ประเทศไทยอีกหนึ่งคน”