โดยปกติพรรคการเมืองใหม่มักจะเกิดเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป ส.ส. และสาเหตุแห่งการเกิดจะเริ่มจากการรวมตัวของอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองที่มีอยู่ก่อน โดยร่วมมือกับบรรดานายทุนที่ต้องการเป็นนักธุรกิจการเมือง เพื่อหวังจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วแสวงหาโอกาสเข้าไปมีอำนาจรัฐด้วยการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในกรณีที่ได้รับเลือกตั้งมากกว่าพรรคอื่น หรือแม้ไม่มีโอกาสเป็นแกนนำก็ขอเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ครั้นเข้าไปมีอำนาจรัฐแล้ว ก็จะใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง และพรรคพวกในทางมิชอบ พฤติกรรมการเมืองเยี่ยงนี้ได้เกิดขึ้นและมีอยู่ในวงการเมืองไทยเรื่อยมานับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนเป็นแกนนำ และผู้นำของพรรคนั้นมีจริยธรรมและมีความเด็ดขาดในการบริหารมากน้อยแค่ไหน ถ้าในยุคใดผู้นำโปร่งใสและมีบารมีทางการเมืองสูง เช่น ในยุคของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ การแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบก็เกิดได้ยาก
ในทางกลับกัน ถ้าผู้นำไม่โปร่งใส หรือถึงแม้จะมีความโปร่งใสแต่ขาดความเด็ดขาดในการควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความไม่โปร่งใส การแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบก็จะเกิดให้เห็นอย่างดาษดื่น
จริงอยู่ จะมีนักการเมืองส่วนหนึ่งที่มีจริยธรรมและคุณธรรม ไม่มีพฤติกรรมในทำนองเดียวกันกับนักธุรกิจการเมือง แต่ก็มีอยู่ส่วนน้อยไม่มากพอที่จะถ่วงดุลกับนักการเมืองประเภทนักธุรกิจการเมือง จึงไม่สามารถทำให้พฤติกรรมขององค์กรของพรรคการเมืองมีความโปร่งใส และมีศักยภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพของนักการเมืองโดยรวมให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ยิ่งกว่านี้ นอกจากจะไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแล้ว พฤติกรรมการแสวงหาของนักธุรกิจการเมืองยังกลายเป็นเหตุให้กองทัพนำไปอ้างเพื่อการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าในอดีตที่ผ่านมา
พฤติกรรมการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบโดยอาศัยอำนาจรัฐ ปรากฏเด่นชัดให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคของรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในช่วง พ.ศ. 2544-2549 ก่อนที่จะถูกกองทัพโค่นล้มเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลในยุคนั้นมีโอกาสในการแสวงหาประโยชน์ได้มากที่สุด น่าจะด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้
1. เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีรัฐบาลพรรคเดียว และเสียงสนับสนุนในสภาฯ อย่างท่วมท้นถึง 277 เสียงจากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 400 เสียง คงเหลือเป็นฝ่ายค้านไม่ถึงครึ่ง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านไม่มีเสียงพอที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะได้ จึงทำให้ผู้นำรัฐบาลเหลิงและหลงในอำนาจบริหารประเทศ ในทำนองเดียวกับเผด็จการในรูปของประชาธิปไตย หรือเรียกได้ว่าเผด็จการรัฐสภาก็ว่าได้
2. ด้วยเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีเครือข่ายธุรกิจในหลายรูปแบบ ทั้งโทรคมนาคม เรียลเอสเตท รวมไปถึงธุรกิจปลีกย่อยอื่นๆ เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น จึงง่ายที่จะแสวงหาประโยชน์ด้วยการออกนโยบายเกื้อหนุนธุรกิจตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่มในรูปของราคาหุ้น และการทำกำไรต่อหน่วยผลิตหน่วยขาย ทำให้มีเงินมากพอที่จะนำมาเป็นเครื่องมือในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งปลายปี 2550 ที่มีรัฐบาลนอมินีเข้ามาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแทน และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาคัดค้านจนกลายเป็นความแตกแยกจากปัจจัย 2 ประการดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้กระทั่งรัฐบาลนอมินี จึงเป็นที่เกลียดชังของประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และจากการต่อต้านของคนกลุ่มนี้ โดยการนำข้อมูลพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส และมีการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบในหลายๆ รูปแบบ ทำให้ประชาชนได้รับรู้และออกมาร่วมคัดค้านขับไล่รัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเกลียด และต่อมาเมื่อรัฐบาลที่ว่านี้จากไปแล้ว ก็เกิดความกลัวว่ารัฐบาลที่ว่านี้จะกลับมาอีก โดยอาศัยการเลือกตั้ง จึงได้ตั้งป้อมต่อสู้โดยใช้ความกล้าหาญต่อสู้กับอำนาจรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงมองเห็นในความจำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ขึ้นมา
อีกประการหนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุให้ต้องตั้งพรรคการเมือง ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชนซึ่งต่อต้านอำนาจเก่าฝากความหวังไว้ว่าจะเป็นที่พึ่งทางการเมืองได้ กลับทำให้ผิดหวังเมื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับส่วนหนึ่งของการเมืองจากฝ่ายรัฐบาลเก่า และปล่อยให้ฝ่ายที่เข้ามาร่วมมีบทบาทชี้นำการเมืองจนทำให้ภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทบจะไม่เหลือให้หวังว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ทั้งนี้จะเห็นได้จากการอ่อนข้อเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน และเรื่องแต่งตั้ง ผบ.ตร. เป็นต้น
ด้วยเหตุหลายๆ ประการที่ว่ามานี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศโดยรวม
แต่อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า พันธมิตรฯ ตั้งพรรคแล้วทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ตามที่คาดหวัง เพียงแค่เป็นการเริ่มต้นของการเมืองในทิศทางที่ควรมีควรเป็นเท่านั้น
ส่วนว่าจะมีอะไรใหม่เหมือนชื่อพรรคหรือไม่ ก็จะคอยดูและคอยช่วยกันประคับประคองให้พรรคนี้ก้าวเดินต่อไปให้ได้ เพราะจะต้องไม่ลืมว่า องค์กรทุกประเภทรวมทั้งพรรคการเมืองจะต้องเป็นไปตามกฎแห่งการจัดการที่ว่า “องค์กรเป็นสิ่งมีชีวิต” นั่นคือ เมื่อตั้งขึ้นแล้วจะต้องอยู่รอด และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป จะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ พันธมิตรฯ หรือผู้ที่มิได้เป็นพันธมิตรฯ แต่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคการเมืองใหม่ จะต้องลุกขึ้นมาช่วยกันผลักดันให้พรรคนี้อยู่รอดและเติบโต มิใช่เพื่อผู้ก่อตั้งพรรค แต่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศโดยรวม โดยยึดหลักที่ว่า
“เกลียด และกลัวสิ่งเดียวกันเป็นเพื่อนกันได้ และเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ควรจะเป็นศัตรูกัน ด้วยเหตุเพียงรักหรืออยากได้สิ่งเดียวกันแล้วไม่ได้”
ครั้นเข้าไปมีอำนาจรัฐแล้ว ก็จะใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง และพรรคพวกในทางมิชอบ พฤติกรรมการเมืองเยี่ยงนี้ได้เกิดขึ้นและมีอยู่ในวงการเมืองไทยเรื่อยมานับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนเป็นแกนนำ และผู้นำของพรรคนั้นมีจริยธรรมและมีความเด็ดขาดในการบริหารมากน้อยแค่ไหน ถ้าในยุคใดผู้นำโปร่งใสและมีบารมีทางการเมืองสูง เช่น ในยุคของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ การแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบก็เกิดได้ยาก
ในทางกลับกัน ถ้าผู้นำไม่โปร่งใส หรือถึงแม้จะมีความโปร่งใสแต่ขาดความเด็ดขาดในการควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความไม่โปร่งใส การแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบก็จะเกิดให้เห็นอย่างดาษดื่น
จริงอยู่ จะมีนักการเมืองส่วนหนึ่งที่มีจริยธรรมและคุณธรรม ไม่มีพฤติกรรมในทำนองเดียวกันกับนักธุรกิจการเมือง แต่ก็มีอยู่ส่วนน้อยไม่มากพอที่จะถ่วงดุลกับนักการเมืองประเภทนักธุรกิจการเมือง จึงไม่สามารถทำให้พฤติกรรมขององค์กรของพรรคการเมืองมีความโปร่งใส และมีศักยภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงคุณภาพของนักการเมืองโดยรวมให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ยิ่งกว่านี้ นอกจากจะไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแล้ว พฤติกรรมการแสวงหาของนักธุรกิจการเมืองยังกลายเป็นเหตุให้กองทัพนำไปอ้างเพื่อการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าในอดีตที่ผ่านมา
พฤติกรรมการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบโดยอาศัยอำนาจรัฐ ปรากฏเด่นชัดให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคของรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในช่วง พ.ศ. 2544-2549 ก่อนที่จะถูกกองทัพโค่นล้มเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลในยุคนั้นมีโอกาสในการแสวงหาประโยชน์ได้มากที่สุด น่าจะด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้
1. เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีรัฐบาลพรรคเดียว และเสียงสนับสนุนในสภาฯ อย่างท่วมท้นถึง 277 เสียงจากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 400 เสียง คงเหลือเป็นฝ่ายค้านไม่ถึงครึ่ง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านไม่มีเสียงพอที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะได้ จึงทำให้ผู้นำรัฐบาลเหลิงและหลงในอำนาจบริหารประเทศ ในทำนองเดียวกับเผด็จการในรูปของประชาธิปไตย หรือเรียกได้ว่าเผด็จการรัฐสภาก็ว่าได้
2. ด้วยเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีเครือข่ายธุรกิจในหลายรูปแบบ ทั้งโทรคมนาคม เรียลเอสเตท รวมไปถึงธุรกิจปลีกย่อยอื่นๆ เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น จึงง่ายที่จะแสวงหาประโยชน์ด้วยการออกนโยบายเกื้อหนุนธุรกิจตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่มในรูปของราคาหุ้น และการทำกำไรต่อหน่วยผลิตหน่วยขาย ทำให้มีเงินมากพอที่จะนำมาเป็นเครื่องมือในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งปลายปี 2550 ที่มีรัฐบาลนอมินีเข้ามาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแทน และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาคัดค้านจนกลายเป็นความแตกแยกจากปัจจัย 2 ประการดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้กระทั่งรัฐบาลนอมินี จึงเป็นที่เกลียดชังของประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และจากการต่อต้านของคนกลุ่มนี้ โดยการนำข้อมูลพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส และมีการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบในหลายๆ รูปแบบ ทำให้ประชาชนได้รับรู้และออกมาร่วมคัดค้านขับไล่รัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเกลียด และต่อมาเมื่อรัฐบาลที่ว่านี้จากไปแล้ว ก็เกิดความกลัวว่ารัฐบาลที่ว่านี้จะกลับมาอีก โดยอาศัยการเลือกตั้ง จึงได้ตั้งป้อมต่อสู้โดยใช้ความกล้าหาญต่อสู้กับอำนาจรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงมองเห็นในความจำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ขึ้นมา
อีกประการหนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุให้ต้องตั้งพรรคการเมือง ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชนซึ่งต่อต้านอำนาจเก่าฝากความหวังไว้ว่าจะเป็นที่พึ่งทางการเมืองได้ กลับทำให้ผิดหวังเมื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับส่วนหนึ่งของการเมืองจากฝ่ายรัฐบาลเก่า และปล่อยให้ฝ่ายที่เข้ามาร่วมมีบทบาทชี้นำการเมืองจนทำให้ภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แทบจะไม่เหลือให้หวังว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ทั้งนี้จะเห็นได้จากการอ่อนข้อเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน และเรื่องแต่งตั้ง ผบ.ตร. เป็นต้น
ด้วยเหตุหลายๆ ประการที่ว่ามานี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศโดยรวม
แต่อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า พันธมิตรฯ ตั้งพรรคแล้วทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ตามที่คาดหวัง เพียงแค่เป็นการเริ่มต้นของการเมืองในทิศทางที่ควรมีควรเป็นเท่านั้น
ส่วนว่าจะมีอะไรใหม่เหมือนชื่อพรรคหรือไม่ ก็จะคอยดูและคอยช่วยกันประคับประคองให้พรรคนี้ก้าวเดินต่อไปให้ได้ เพราะจะต้องไม่ลืมว่า องค์กรทุกประเภทรวมทั้งพรรคการเมืองจะต้องเป็นไปตามกฎแห่งการจัดการที่ว่า “องค์กรเป็นสิ่งมีชีวิต” นั่นคือ เมื่อตั้งขึ้นแล้วจะต้องอยู่รอด และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป จะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ พันธมิตรฯ หรือผู้ที่มิได้เป็นพันธมิตรฯ แต่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคการเมืองใหม่ จะต้องลุกขึ้นมาช่วยกันผลักดันให้พรรคนี้อยู่รอดและเติบโต มิใช่เพื่อผู้ก่อตั้งพรรค แต่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศโดยรวม โดยยึดหลักที่ว่า
“เกลียด และกลัวสิ่งเดียวกันเป็นเพื่อนกันได้ และเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ควรจะเป็นศัตรูกัน ด้วยเหตุเพียงรักหรืออยากได้สิ่งเดียวกันแล้วไม่ได้”