xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยดีดกลับ2วัน40จุด จี้ลากคอคนผิดมาลงโทษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 14.49 จุด รวม 2 วันเพิ่มแล้วเกือบ 40 จุด เทียบกับช่วงวิกฤตข่าวลือร่วงไปรวม 53 จุด นักวิเคราะห์ เผยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่แนวโน้มยังต้องลุ้น ผลการแก้ปัญหาโครงการมาบตาพุด พร้อมจี้ ก.ล.ต. เร่งเอาต้นตอปล่อยข่าวลือมาลงโทษ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน-ตลาดหุ้นไทย

บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (19 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากต้องเจอกับกระแสข่าวลือจนส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีปริมาณการซื้อขายเข้ามาค่อนข้างหนาแน่นและต่อเนื่อง

โดยดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวอยู่เหนือระดับปิดของวันก่อนเกือบตลอดทั้งวัน แม้ในช่วงเช้าได้ปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยแตะระดับต่ำสุดที่ 714.05 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขาย ณ ระดับสูงสุดที่ 731.61 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 14.49 จุด หรือคิดเป็น 2.02% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 25,532.36 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิ 116.94 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,316.05 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,199.12 ล้านบาท โดยดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 วัน (16 และ 19 ต.ค.) รวม 38.89 จุด เทียบกับช่วงโดนข่าวลือ 2 วัน ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงถึง 53.67 จุด (14 และ 15 ต.ค.)

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 162.50 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 8.50 บาท หรือ 5.52% มูลค่าการซื้อขายรวม 3,205.90 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 265 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 1.15% มูลค่าการซื้อขาย 1,880.55 ล้านบาท และบมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาปิด 86.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 3.28% มูลค่าการซื้อขาย 1,248.64 ล้านบาท

ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในภูมิภาคมีทิศทางที่แตกต่างกันทั้งปรับตัวเพิ่มขึ้น-ลดลง ประกอบด้วย ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดตลาดที่ระดับ 10,236.51 จุด ลดลง 21.05 จุด ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,711.70 จุด เพิ่มขึ้น 3.58 จุด ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,751.32 จุด เพิ่มขึ้น 36.22 จุด และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 22,200.46 จุด เพิ่มขึ้น 270.56 จุด

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกขึ้นหนุนโดยหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะ PTTEP เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้นไปยืนเหนือ 78 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยเฉพาะราคาหุ้นและมูลค่าการซื้อขายหุ้นหลักๆ 3 บริษัท คือ PTTEP , PTT และบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) สามารถทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5 จุดแร้ว

ขณะเดียวกัน กระแสข่าวลือที่นักลงทุนต่างกังวลได้เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับนักลงทุนต่างประเทศหยุดขายและหวนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ส่งผลให้เริ่มมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (20 ต.ค.) หลังจากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงใน 2 วันที่ผ่านมารวมๆ แล้วประมาณ 40 จุด จะส่งผลให้ระยะสั้นๆ ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 735 จุด แต่อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง รวมทั้ง ปัจจัยหลักอีกประการหนึ่งที่นักลงทุนยังต้องติดตามคือ คำสั่งศาลเรื่องการระงับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งทุกฝ่ายหวังว่าจะเป็นข่าวดีและส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติม ขณะนี้กระแสข่าวลือได้คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มมีความมั่นใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี บวกกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“แม้ว่ากระแสข่าว เริ่มคลี่คลาย และมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะการกระทำดังกล่าวได้ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างรุนแรง และนักลงทุนส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ขณะที่นักลงทุนบางส่วนที่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำในครั้งนี้ ดังนั้นทางการจะเร่งดำเนินการเอาตัวผู้กระทำผิดออกมารับโทษ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและตลาดทุนไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น