ต้องบอกว่าปีนี้ ถือเป็นปีทองของธุรกิจกองทุนรวมก็ว่าได้ เพราะ 3 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาพรวมอุตสาหกรรมสามารถขยายตัวชนิดที่ว่าสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เคยกล่าวเอาไว้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ของกองทุนรวมทั้งระบบมีอัตราการเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตด้วยซ้ำ
โดยสาเหตุของการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะดังกล่าว ประเมินกันว่า น่าจะเป็นผลจากการโยกเงินของนักลงทุนเพื่อหนีความเสี่ยง รวมถึงการโยกเงินจากเงินฝากเพื่อหาผลตอบแทนที่มากขึ้นและไม่เสี่ยงมากนัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างของระบบสถาบันการเงินในฝั่งของผู้ออมและผู้ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยมีโครงสร้างขององทุนรวมเข้ามาทำหน้าที่แทนธนาคารพาณิชย์มากขึ้น
ที่สำคัญ แม้ว่าในช่วงแรก เงินลงทุนในธุรกิจกองทุนรวมจะหายไปบ้าง ตลาดการปรับลดลงของตลาดหุ้น แต่ขณะนี้พบว่า ผลกระทบของอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ สามารถกู้คืนกลับมาได้หมดแล้ว แถมยังกลับมาสูงขึ้นกว่าช่วงวิกฤตถึงเท่าตัว ซึ่งตัวเลขนี้บอกได้ว่าโครงสร้างทางการเงินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยกองทุนรวมกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนต่อเงินฝากเพิ่มสูงขึ้นเป็น 27.80% แล้ว
ล่าสุด มูลค่าเงินลงทุนของกองทุนรวมทั้งระบบซึ่งรายงานโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) พบว่า มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,769,986.67 ล้านบาท หากเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 1,526,811.54 ล้านบาท ถือว่ามีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงในภาวะเช่นนี้ โดยคำนวณออกมาแล้ว มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 243,175.12 ล้านบาท หรือขยายตัวแล้วกล่าว 16%
ในขณะที่การแข่งขันเอง ยังดุเดือด โดยเฉพาะกลุ่ม บลจ.เครือแบงก์ใหญ่ ที่ได้เปรียบด้านสาขาในการขายหน่วยลงทุน โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ กลับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยสินทรัพย์รวม 378,148.60 ล้านบาท แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง บลจ.กสิกรไทย ที่มีสินทรัพย์รวม 354,475 ล้านบาท...เรียกได้ว่า ค่ายสีเขียวและสีม่วง แข่งกันชนิดไม่มีใครยอมใคร เพราะก่อนหน้านี้ บลจ.กสิกรไทยเองเบียดแทรก บลจ.ไทยพาณิชย์ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ก่อนที่จะถูกค่ายสีม่วงทวงแชมป์กลับไป
แนะใช้สิทธิภาษีกับ"LTF-RMF"
เห็นภาพรวมในช่วงที่ผ่านมาแล้ว หลายคนคงอยากรู้ว่า แล้วช่วงไม่กี่เดือนที่เหลือของปีจะเป็นยังไง การลงทุนจะปรับพอร์ตอย่างไรบ้าง เรามีคำตอบมาฝากกัน...
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวแนะนำว่า ถึงแม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นมาเยอะแล้ว แต่ก็เชื่อว่าจะยังไปได้ต่อ โดยมีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้า เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก ยังอยู่ในระดับต่ำนั่นเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวเงินลงทุนเหล่านี้ จึงแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ดังนั้น การลงทุนในหุ้น จึงน่าจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งขณะนี้เงินที่ยังอยู่ในกองทุนมันนี่มาร์เกตเองยังเหลือค่อนข้างมาก โอกาสจะไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นเพิ่มก็มีอยู่เช่นกัน ซึ่งในช่วงปลายปีแบบนี้ แน่นอนว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) จะเป็นกองทุนได้รับความสนใจจากมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
"ประภาส" แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่จะลงทุนในแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ อยากให้ใช้สิทธิการลงทุนให้เต็มที่ เนื่องจากนักลงทุนบางคนอาจจะกังวลว่า ราคาหุ้นขณะนี้อาจจะแพงจนเกินไป แต่หากพูดถึงการลงทุนระยะยาวแล้ว ต้องบอกว่าหายห่วง เพราะโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีมีสูง ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว
นอกเหนือจากนั้น กองทุนรวมต่างประเทศที่ออกไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้เอง ก็ยังจะเป็นทางเลือกของนักลงทุนในช่วงที่เหลือของปี เพราะปัจจุบัน ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรในประเทศ ดังนั้น เงินที่อยู่ในระบบเงินฝาก รวมถึงกองทุนมันนี่มาร์เกตเอง ก็มีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนเช่นกัน
กองทุนอสังหาฯ สู้เงินเฟ้อ
การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของออสเตรเลีย เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เศรษฐกิจของประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ซึ่งสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนี้เอง กำลังถูกจับตามองว่า อีกไม่นานนี้ เรื่องเงินของเงินเฟ้อจะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้น การจับจังหวะหาโอกาสลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อในอนาคต จึงเริ่มได้รับความสนใจ และหนึ่งในการลงทุนที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้คือ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ผู้จัดการกองทุนประเมินว่า ในปีหน้าจะมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ออกมาเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากบรรยากาศทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ดังนั้น โอกาสที่ค่าเช่าซึ่งเป็นรายได้หลักของกองทุนส่วนใหญ่ ก็น่าจะฟื้นตามไปด้วย
...เอาเป็นว่า ใครจะเลือกลงทุนแบบไหน ก็ขอให้พิจารณาที่ความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองเป็นหลัก ถ้าไม่มั่นใจ แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากบริษัทจัดการกองทุนที่ท่านลงทุนอยู่ ซึ่งปัจจุบันมีโปรแกรมคำนวณความเสี่ยงให้ลูกค้าแทบจะทุก บลจ.อยู่แล้ว...ขอให้แฮปปี้กับการลงทุนนะครับ