ASTVผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนแห่ร่วมงาน "ตลาดนัดกองทุนรวม" ล้นหลาม จบ 4 วันทุบสถิติเก่า ยอดเข้าชมร่วมหมื่น แถมควักกระเป๋าลงทุนรวม 500 ล้านบาท นายกสมาคมฯ เผย ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ จูงใจนักลงทุน หาช่องลงทุนใหม่ ส่วนมนุษย์เงินเดือน ดักซื้อ "แอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ" รอกำไรระยะยาว ส่งสัญญาณ กล้าลุยสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะที่กองทุนบอนด์กิมจิ ยังขายดีต่อเนื่อง
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า มหกรรมตลาดนัดกองทุนรวมหรือ Mutual Fund Fair ที่จัดขึ้น ณ สยามพารากอนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงเวลา 4 วันของการจัดงาน มีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาชมงานประมาณ 9,000 คน และมีจำนวนเงินลงทุนถึง 499 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากทั้งจำนวนผู้ชมงานและจำนวนเงินลงทุนสูงกว่าทุกครั้งที่เคยจัดมา
ทั้งนี้ เป้าหมายนักลงทุนที่เข้ามาส่วนใหญ่อยู่ที่ 3 เป้าหมายหลัก คือ ต้องการหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก รวมถึงต้องการทราบว่าจะวางแผนจัดการและบริหารเงินอย่างไร นอกเหนือจากนั้น ก็เป็นการลงทุนที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีอย่างกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ)
"การจัดงานครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งจำนวนคนและจำนวนเงินลงทุน เพราะสูงกว่าทุกครั้งที่จัดมา โดยเฉพาะจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาชมงาน ซึ่งเราพอใจมาก เพราะตรงตามเป้าหมายของเราที่อยากให้นักลงทุนเข้าดู และเข้ามาคุยกับเราก่อน ว่าจะบริหารเงินของตัวเองได้อย่างไร"นางวรวรรณกล่าว
สำหรับตัวเลขนักลงทุนที่เข้ามาชมงานและจำนวนเงินลงทุนในแต่ละวัน พบว่า วันแรก (20 ส.ค.) มีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาชมงาน 370 ราย มูลค่าเงินลงทุน 102 ล้านบาท วันที่สอง จำนวนนักลงทุนเข้าชมงาน 615 ราย มีจำนวนธุรกรรม 170 ล้านบาท วันที่สามจำนวนนักลงทุนที่เข้าชมทั้งหมด 853 ราย จำนวนเงินลงทุน 76 ล้านบาท และวันสุดท้าย 1,093 ราย จำนวเงินลงทุน 150 ล้านบาท
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับบูธบลจ.ไทยพาณิชย์เอง ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาทำธุรกรรมประมาณ 480 ราย ในวงเงินลงทุนรวม 70 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนที่เข้ามาส่วนใหญ่ มีเป้าหมายหลักในการหาช่องทางลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าหากมีการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูง นักลงทุนก็จะแห่ไปลงทุน อย่างเช่น พันธบัตรไทยเข้มแข็ง เป็นต้น
"กองทุนที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด เป็นกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ รวมถึงกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ด้วย โดยความสนใจในแอลทีเอฟเอง เป็นสัญญาณบอกให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เพราะกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ซึ่งความสนใจดังกล่าว ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีว่านักลงทุนเริ่มเข้าใจการลงทุนมากขึ้น"นางโชติกากล่าว
นางเอื้อพันธุ์ เพ็ชราภรณ์ ผู้บริหารฝ่ายบริการผู้ลงทุนและทะเบียนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงานตลาดนัดกองทุนรวมในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีลูกค้าเข้าซื้อหน่วยลงทุนรวมกว่า 800 รายเป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ถึงกว่า 90% ส่วนที่เหลือจะเป็นกองทุนประเภทต่างๆ เฉลี่ยกันไป ทั้งกองทุนเปิด K-Oil กองทุนเปิด K-Treasury และกองทุนเปิด K-Money
"จำนวนเงินก็ยังถือว่าไม่มากนักแต่ที่น่าสนใจคือจำนวนนักลงทุนที่มีเข้ามามากถึง 800 ราย โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากโปโมชันที่เราจัดเตรียมเป็นพิเศษให้ลูกค้าที่ตรงกับความต้องการพอดี ส่วนที่เหลือก็น่าจะเป็นเรื่องของภาษีที่เขาสนใจ และก็มีในส่วนของการลงทุนผ่านบัตรเครดิตที่ของเราก็น่าจะมีสัดส่วนเป็น 1 อยู่"นางเอื้อพันธุ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนกับบริษัทแล้ว สิ่งที่นักลงทุนสนใจอีกอย่างคือการวางแผนด้านการเงิน โดยมีลูกค้าเข้ามาสมัครร่วมโครงการ Saving plan เป็นจำนวนถึงกว่า 250 ราย ทำให้การส่งเสริมด้านการลงทุนอย่างสม่ำเสมอของบริษัทมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากเดิมในช่วงต้นปี 2552 ประมาณ 4 พันราย มาอยู่ที่ประมาณ 5-6 พันราย และในอนาคตบริษัทเชื่อว่าน่าจะทำให้ลูกค้าในส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้ถึงหลักหมื่นราย
นางเอื้อพันธุ์ กล่าวอีกว่า พฤติกรรมการลงทุนเมื่อประเมินดูแล้วขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยส่วนใหญ่มักจะรอตัวเลขเงินที่จะได้ให้แน่นอนก่อน และก็มักจะเป็นช่วงปลายปีจึงค่อยเข้าลงทุนเพื่อใช้สิทธิทางภาษี แต่ก็ยังเป็นเรื่องดีที่ในส่วนของการวางแผนการลงทุนกับบริษัทเรามีลูกค้าเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
"ส่วนใหญ่ก็ยังรอปลายปีแล้วค่อยเข้าลงทุน แต่หลังจากนี้เราก็จะจัดโปโมชัน และรวมงานเพื่อกระตุ้นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีก็จะมีงาน Set in The City และประมาณเดือนธันวาก็จะมี ลดภาษีนาทีสุดท้าย ส่วนบริษัทเองก็มีการเดินสายออกบูธในการเยี่ยมบริษัทต่างๆ ซึ่งทำมาเป็นเวลานานอยู่แล้วเพื่อกระตุ้นการลงทุนอีกทางหนึ่ง และในส่วนของการวางแผนการเงินหากนักลงทุนสนใจก็สามารถสมัครได้ทุกสาขาของธนาคารอยู่แล้ว"นางเอื้อพันธุ์กล่าว
ด้านรายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ตลอดช่วง 4 วันของการจัดงานดังกล่าว มีเงินลงทุนเข้ามาประมาณ 150 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ ให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลัก
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า มหกรรมตลาดนัดกองทุนรวมหรือ Mutual Fund Fair ที่จัดขึ้น ณ สยามพารากอนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงเวลา 4 วันของการจัดงาน มีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาชมงานประมาณ 9,000 คน และมีจำนวนเงินลงทุนถึง 499 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจากทั้งจำนวนผู้ชมงานและจำนวนเงินลงทุนสูงกว่าทุกครั้งที่เคยจัดมา
ทั้งนี้ เป้าหมายนักลงทุนที่เข้ามาส่วนใหญ่อยู่ที่ 3 เป้าหมายหลัก คือ ต้องการหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก รวมถึงต้องการทราบว่าจะวางแผนจัดการและบริหารเงินอย่างไร นอกเหนือจากนั้น ก็เป็นการลงทุนที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีอย่างกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ)
"การจัดงานครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งจำนวนคนและจำนวนเงินลงทุน เพราะสูงกว่าทุกครั้งที่จัดมา โดยเฉพาะจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาชมงาน ซึ่งเราพอใจมาก เพราะตรงตามเป้าหมายของเราที่อยากให้นักลงทุนเข้าดู และเข้ามาคุยกับเราก่อน ว่าจะบริหารเงินของตัวเองได้อย่างไร"นางวรวรรณกล่าว
สำหรับตัวเลขนักลงทุนที่เข้ามาชมงานและจำนวนเงินลงทุนในแต่ละวัน พบว่า วันแรก (20 ส.ค.) มีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาชมงาน 370 ราย มูลค่าเงินลงทุน 102 ล้านบาท วันที่สอง จำนวนนักลงทุนเข้าชมงาน 615 ราย มีจำนวนธุรกรรม 170 ล้านบาท วันที่สามจำนวนนักลงทุนที่เข้าชมทั้งหมด 853 ราย จำนวนเงินลงทุน 76 ล้านบาท และวันสุดท้าย 1,093 ราย จำนวเงินลงทุน 150 ล้านบาท
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับบูธบลจ.ไทยพาณิชย์เอง ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาทำธุรกรรมประมาณ 480 ราย ในวงเงินลงทุนรวม 70 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนที่เข้ามาส่วนใหญ่ มีเป้าหมายหลักในการหาช่องทางลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าหากมีการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูง นักลงทุนก็จะแห่ไปลงทุน อย่างเช่น พันธบัตรไทยเข้มแข็ง เป็นต้น
"กองทุนที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด เป็นกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ รวมถึงกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ด้วย โดยความสนใจในแอลทีเอฟเอง เป็นสัญญาณบอกให้เห็นว่า นักลงทุนเริ่มกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เพราะกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ซึ่งความสนใจดังกล่าว ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีว่านักลงทุนเริ่มเข้าใจการลงทุนมากขึ้น"นางโชติกากล่าว
นางเอื้อพันธุ์ เพ็ชราภรณ์ ผู้บริหารฝ่ายบริการผู้ลงทุนและทะเบียนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงานตลาดนัดกองทุนรวมในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีลูกค้าเข้าซื้อหน่วยลงทุนรวมกว่า 800 รายเป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ถึงกว่า 90% ส่วนที่เหลือจะเป็นกองทุนประเภทต่างๆ เฉลี่ยกันไป ทั้งกองทุนเปิด K-Oil กองทุนเปิด K-Treasury และกองทุนเปิด K-Money
"จำนวนเงินก็ยังถือว่าไม่มากนักแต่ที่น่าสนใจคือจำนวนนักลงทุนที่มีเข้ามามากถึง 800 ราย โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากโปโมชันที่เราจัดเตรียมเป็นพิเศษให้ลูกค้าที่ตรงกับความต้องการพอดี ส่วนที่เหลือก็น่าจะเป็นเรื่องของภาษีที่เขาสนใจ และก็มีในส่วนของการลงทุนผ่านบัตรเครดิตที่ของเราก็น่าจะมีสัดส่วนเป็น 1 อยู่"นางเอื้อพันธุ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนกับบริษัทแล้ว สิ่งที่นักลงทุนสนใจอีกอย่างคือการวางแผนด้านการเงิน โดยมีลูกค้าเข้ามาสมัครร่วมโครงการ Saving plan เป็นจำนวนถึงกว่า 250 ราย ทำให้การส่งเสริมด้านการลงทุนอย่างสม่ำเสมอของบริษัทมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากเดิมในช่วงต้นปี 2552 ประมาณ 4 พันราย มาอยู่ที่ประมาณ 5-6 พันราย และในอนาคตบริษัทเชื่อว่าน่าจะทำให้ลูกค้าในส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้ถึงหลักหมื่นราย
นางเอื้อพันธุ์ กล่าวอีกว่า พฤติกรรมการลงทุนเมื่อประเมินดูแล้วขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยส่วนใหญ่มักจะรอตัวเลขเงินที่จะได้ให้แน่นอนก่อน และก็มักจะเป็นช่วงปลายปีจึงค่อยเข้าลงทุนเพื่อใช้สิทธิทางภาษี แต่ก็ยังเป็นเรื่องดีที่ในส่วนของการวางแผนการลงทุนกับบริษัทเรามีลูกค้าเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
"ส่วนใหญ่ก็ยังรอปลายปีแล้วค่อยเข้าลงทุน แต่หลังจากนี้เราก็จะจัดโปโมชัน และรวมงานเพื่อกระตุ้นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีก็จะมีงาน Set in The City และประมาณเดือนธันวาก็จะมี ลดภาษีนาทีสุดท้าย ส่วนบริษัทเองก็มีการเดินสายออกบูธในการเยี่ยมบริษัทต่างๆ ซึ่งทำมาเป็นเวลานานอยู่แล้วเพื่อกระตุ้นการลงทุนอีกทางหนึ่ง และในส่วนของการวางแผนการเงินหากนักลงทุนสนใจก็สามารถสมัครได้ทุกสาขาของธนาคารอยู่แล้ว"นางเอื้อพันธุ์กล่าว
ด้านรายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ตลอดช่วง 4 วันของการจัดงานดังกล่าว มีเงินลงทุนเข้ามาประมาณ 150 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ ให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลัก