ลำพังแค่เส้นลวดธรรมดาๆ คงไม่มีความพิเศษให้ต้องสนใจ แต่เมื่อเติมไอเดียสร้างสรรค์ลงไป กลายเป็นสินค้าแฮนด์เมดแสนสวยงาม มีรูปแบบมากมายให้เลือกหา ถูกใจกลุ่มลูกค้าตั้งแต่เด็กเล็ก วัยรุ่น ไปจนถึงผู้ใหญ่
โดยสินค้าลวดดัดที่กล่าวถึงข้างต้น อยู่ภายใต้ชื่อ “100 ไอเดีย Wire Works” ผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจ ได้แก่ “พัชรินทร์ หวังสมบูรณ์ดี” อดีตคนโฆษณาที่เบื่อหน่ายกับชีวิตมนุษย์เงินเดือน ก้าวเดินออกมาทำธุรกิจของตัวเองเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว
“หลังลาออกจากงานประจำ ดิฉันก็ลองทำหลายธุรกิจ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสินค้าของตกแต่งบ้าน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนวันหนึ่งไปได้หนังสือต่างประเทศ สอนวิธีดัดลวดเป็นสินค้าต่างๆ เลยลองหันทำตาม ก็สามารถทำได้ทุกแบบ แต่รู้สึกว่า แบบตามหนังสือ มันเป็นลวดอย่างเดียว ไม่มีสีสันเลย ดิฉันจึงลองดีไซน์แบบของตัวเอง นำอุปกรณ์อื่นๆมาตกแต่งร่วมกับลวดดัด ทำให้ได้ผลงานที่มีความแตกต่างออกไป”
พัชรินทร์ นำลวดดัดจากฝีมือตัวเอง วางขายที่หน้าร้านในตลาดจตุจักร 2 ได้การตอบรับอย่างสูง เนื่องจากเป็นสินค้าแปลกใหม่ในตลาด อีกทั้ง ความละเอียดสูง จึงเป็นที่ถูกตาต้องใจของลูกค้าอย่างยิ่ง และไม่นานต่อจากนั้น ก้าวกระโดดได้โอกาสไปวางขายในแผนกกิฟท์ชอปห้างสรรพสินค้าชื่อดัง อย่างเดอะมอลล์
จุดเด่นของลวดดัด “100 ไอเดีย Wire Works” คือ ฝืมือการดัดลวดอะลูมิเนียมด้วยมือล้วนๆ ออกมาแล้วดูอ่อนช้อย ซึ่งเครื่องจักรไม่สามารถทำลอกเลียนแบบได้ ผู้ดัดต้องมีความเชี่ยวชาญสูง นอกจากนั้น หาวัสดุอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกปัด ไม้ และผ้า ฯลฯ มาเสริมเติมแต่งกับเส้นลวดได้อย่างลงตัว นอกจากนั้น ยังดีไซน์ออกมาเป็นอุปกรณ์ใช้งานได้จริง เช่น โคมไฟ กล่องดนตรี กรอบรูป ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ ที่เสียบนามบัตร เครื่องประดับ ฯลฯ
เจ้าของไอเดีย เผยว่า ปัจจุบัน มีสินค้านับร้อยแบบ ราคาตั้งแต่หลักสิบถึงหลักพันบาท ดีไซน์ทั้งหมดคิดขึ้นเอง โดยพยายามให้ตรงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งเป็นสุภาพสตรี ประกอบกับพยายามคิดแบบให้เกาะกระแสแฟชั่นโลกไปด้วย เพื่อให้สินค้าดูทันสมัยอยู่เสมอ
ด้านการผลิต พัชรินทร์ได้ไปฝึกสอนวิธีการทำแก่กลุ่มแม่บ้านใน จ.นครนายก เพื่อเป็นฐานการผลิต โดยปัจจุบัน มีสมาชิกกลุ่มประมาณ 25 คน แต่ละคนมีรายได้เสริมจากอาชีพนี้ประมาณ 5 พันบาทต่อเดือน
สำหรับการทำตลาด หลังเข้าขายในห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยออกงานแฟร์สินค้าของขวัญของชำร่วยประจำปี ทำให้ได้คำสั่งซื้อจากต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
พัชรินทร์ ระบุว่า ที่ผ่านมา สัดส่วนการตลาดจะทำเพื่อส่งลูกค้าต่างประเทศประมาณ 70% ส่วนขายในประเทศ มีช่องทางตลาด เช่น แผนกกิฟท์ชอบในห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ และงามวงค์วาน สยามพารากอน ห้างอิเซตันและร้าน Loft เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นเหมือนกันทั่วโลก ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าตกลงอย่างมาก โดยเฉพาะยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศ ลดน้อยจากเดิมกว่า 50% ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ การปรับตัวของธุรกิจ จะมุ่งมาเจาะตลาดภายในเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการหาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน
“หลังจากตลาดส่งออกลดน้อยลง ดิฉันจึงพยายามหาลูกค้าใหม่ๆ ผ่านตลาดอี-คอมเมิร์ส (e-commerce) โดยเปิดเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าได้เข้ามาเห็นสินค้า รวมถึง ยังเป็นเหมือนแคตตาล็อกสินค้าที่ให้ลูกค้าขาประจำเข้ามาเลือกสินค้าใหม่ได้ นอกจากนั้น จะทำตลาดในประเทศมากยิ่งขึ้น ผ่านการออกงานแสดงสินค้า เสริมตัวแทนจำหน่าย อีกทั้ง ลดราคาสินค้า ยอมตัดส่วนกำไรที่ได้ลง 50-60% กระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้น เพื่อที่แรงงานจะได้มีงานทำต่อเนื่อง”
*********************************
โทร.08-1808-4991 , www.patcharina.com