xs
xsm
sm
md
lg

จีน-ไทย : ห่างไกลกันลิบลับ!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

ขอควันหลงเกี่ยวกับ “วันฉลองวันชาติจีน” ที่เพิ่งจะเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่การเฉลิมฉลองและการเดินสวนสนามโชว์ความยิ่งใหญ่ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (The Republic People of China) ด้วยริ้วขบวนของฝ่ายทหาร (ความมั่นคง) และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ตลอดจนการโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างมากเช่นเดียวกัน

บังเอิญช่วงปลายเดือนกันยายน ก่อนที่จะมีการเฉลิมฉลอง “วันชาติจีน” “แสงแดด” และคณะบังเอิญมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มตั้งแต่กรุงปักกิ่ง เลยขึ้นไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เมืองเซินหยาง (Shenyang) และก็วกกลับลงมาที่มหานครเซียงไฮ้ แล้วก็กลับสู่กรุงเทพมหานคร

การไปเยือนประเทศจีนในครั้งนี้ หลังจากที่เดินทางไปเยือนจีนครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณต้นปี 2549 ช่วงเดือนมีนาคม อากาศเย็นสบาย สวมเสื้อโค๊ตหรือแจ็กเก็ตบางๆ ก็สามารถเดินเหินได้อย่างสบาย

หลังจากประมาณ 4 ปีกว่าๆ ผ่านไป ต้องยอมรับว่า จีนเปลี่ยนแปลงประเทศไปอย่างมาก ในกรณีของสภาพแวดล้อม ความเจริญเติบโตของเมือง ความทันสมัย และที่สำคัญที่สุด “ความร่ำรวย-มั่งคั่ง” ของบรรดารถยนต์ ยานพาหนะ ตลอดจนถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง ที่ผิดแผกแปลกตาไปอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความเจริญทางด้านวัตถุจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาด้าน “สภาพแวดล้อม มลพิษ (Pollution)” เป็นปัญหาสำคัญของเมืองใหญ่ในประเทศจีน ที่บรรยากาศจะออกไปทาง “ขมุกขมัว-สีเทา” ไม่ค่อยเห็นแสงแดดซักเท่าไหร่ เนื่องด้วยหมอกเยอะ ถึงแม้ว่าตามถนนหาทางจะมีการปลูกต้นไม้ สร้างสวนหย่อมทุกที่ที่มีที่ว่าง

แต่ก็แปลก ที่เมื่อเดินอยู่ภายนอกอาคารหรือในที่แจ้ง กลับไม่มีกลิ่นเหม็นของมลพิษที่กลิ่นออกไปทางวัตถุไหม้หรือแห้งหืนอะไรทำนองนั้น ที่เรียกว่า “สม็อก (Smog)” เป็นคำผสมระหว่าง “Smoke-Fog”

ในประเทศต่างๆ นับวันปัญหาด้าน “Smog” จะไม่ค่อยมีให้ได้เห็นได้กลิ่นกันเหมือนในอดีต โดยเฉพาะนครนิวยอร์ก และ/หรือนครลอสแองเจลิส

ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก มีปัญหารถติดเพราะชาวจีนส่วนใหญ่มีสถานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดิม พูดง่ายๆ หมายความว่า ประชาชนมีรายได้ดีกว่าเดิมหลายร้อยเท่า ชาวจีนที่อยู่ในระดับฐานะยากจนจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำประมาณปีละหนึ่งแสนกว่าบาท (ประมาณ 20,000 กว่าหยวน) เรียกว่า อย่างต่ำเดือนละ 1 หมื่นกว่าบาท

ทั้งนี้ ทราบมาว่า “การค้าขายใต้ดิน” นั้นมีเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนมากมายเช่นเดียวกัน อย่างต่ำก็ประมาณนับสูงถึงหลัก 100,000 หยวนต่อปีเลยทีเดียว หรืออาจจะมากกว่านั้น

เท่าที่ได้สดับตรับฟังข้อมูลจากนักธุรกิจชาวจีน ตลอดจนนักธุรกิจต่างชาติต่างเล่าให้ฟังว่า “ธุรกิจใต้ดิน” ของ “ธุรกิจผิดกฎหมาย” นั้น มีจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์หรือ “สินค้าปลอม” ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง ทั้งนี้รัฐบาลตั้งแต่ระดับเมือง ระดับมณฑล และระดับรัฐบาลกลาง พยายามปราบปรามอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะเอาจริงเอาจังขนาดไหนนั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่า “ไม่ถึงขั้นสะเด็ดน้ำ!”

อย่างไรก็ตาม “ชาวจีนยุคใหม่” ปัจจุบันไม่นิยมใช้สินค้าปลอมจากสินค้าแบรนด์เนมอีกต่อไปแล้ว ถ้าใครใช้ “สินค้ายี่ห้อปลอม” มักจะถูกดูถูกดูแคลน หรือ “รสนิยมต่ำ (Poor Taste)” ชาวจีนยุคใหม่จึงนิยมที่จะใช้ “สินค้าแท้” และ “อวดกัน!”

แต่ก็แปลกที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ยังคงนิยมชมชอบที่จะไปซื้อสินค้าปลอม เนื่องด้วยราคาถูก ตามสถานที่ศูนย์การค้าเดิมๆ ไม่ว่าที่กรุงปักกิ่ง หรือมหานครเซียงไฮ้ แต่ที่เซียงไฮ้นั้น ได้ถูกจัดให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่เอิกเกริกเหมือนอย่างในอดีต แต่สินค้าปลอมนั้น ไม่สามารถนำมาวางโชว์อย่างโจ๋งครึ่มเหมือนในอดีต แต่ปัจจุบันจะแอบๆ ขายกัน โดยซุกอยู่ใต้ตู้พร้อมมีรูปภาพแคตตาล็อกให้เลือกกันได้ และขอย้ำว่า “ชาวต่างชาตินิยม” มากกว่าชาวจีนกันเอง!

การเป็น “ซูเปอร์มหาอำนาจ” ทางด้านเศรษฐกิจของจีนนั้น ต้องยอมรับว่า “ฉุดไม่อยู่!” เสียแล้ว ถึงแม้ว่า “อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ-ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ” หรือมักเรียกติดปากกันว่า “จีดีพี (GDP)” ของจีนปี 2009 นี้ ตกมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 8 เท่านั้น ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว จีดีพีร้อนแรงมากไปแตะที่ระดับร้อยละ 11-12 ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนับว่าสูงสุด นำหน้าประเทศมหาอำนาจทั้งหมดทั่วโลก เหตุผลสำคัญที่ทำให้สภาวะเศรษฐกิจของจีนถดถอยลงไปนั้นเกิดจาก “ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก” โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญ อย่างสหรัฐอเมริกาที่พลอยฉุดให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกพลอย “ดิ่งลงเหว!” ไปด้วย

ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งและอภิมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น “ด้านความมั่นคงของแสนยานุภาพ” ทางอาวุธยุทโธปกรณ์ของจีนก็ไม่ได้น้อยหน้าอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาแม้แต่น้อย ประกอบกับกำลังพลกองทัพมหึมาของจีนนับหลายสิบล้านคน ตลอดจนขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ หรือแม้กระทั่ง “การพัฒนาด้านอวกาศ” ปัจจุบันจีนล้ำยุคไปมากพอสมควร

พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็หมายความว่า กลุ่มประเทศมหาอำนาจของโลก ไม่ว่าสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เป็นต้น ยังต้องให้ความสำคัญ พร้อมพินอบพิเทาต่อจีนอย่างมากก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น จีนจึงติดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าระดับ “G7-G8-G20” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่ต้องดูอื่นไกล “การเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ” ที่มีเพียง 5 ประเทศเท่านั้น จีนยังเกาะติดกลุ่มมาอย่างยาวนาน

ในฐานะที่เราเป็นชาวเอเชียด้วยกัน และประเทศจีนเปรียบเสมือนประเทศพี่ใหญ่ของไทยเรา ตลอดจนกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนต้อง “ภาคภูมิใจ” และ “อบอุ่นใจ” ที่มีจีนคอยโอบอุ้มป้องกันดูแล

เพียงระยะเวลา 60 ปี ของการสถาปนาเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยท่านประธานเหมาเจ๋อตุงเป็น “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติได้เพียง 4 ปี (ค.ศ. 1945) ประเทศจีนเจริญรุดหน้ามากมายเพียงนี้ จนมายืนอยู่แถวหน้าของประชาคมโลกได้อย่างสง่างามและน่าเกรงขาม

ระบอบการเมืองการปกครองของจีนเป็น “สังคมนิยม” และระบบเศรษฐกิจเป็น “ทุนนิยม” ที่ต้องยอมรับว่า “ความต่อเนื่อง-ความแข็งแกร่ง” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินและบริหารนโยบายอย่างต่อเนื่อง

“เสถียรภาพทางการเมือง” ต้องยอมรับว่า มีความสัมพันธ์และสำคัญต่อ “เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” ในกรณีนี้จึงทำให้จีนมีเสถียรภาพในการพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งมาตราบเท่าทุกวันนี้

ทั้งนี้ เราจะมากล่าวว่า ประเทศจีนเป็น “ประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ” ก็ไม่น่าจะกล่าวได้เช่นนั้น เนื่องด้วยมีการพัฒนาในการมอบอำนาจสูงสุดขึ้นอยู่กับ “ประชาชน (People)” โดยกำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า “จะไม่มีการกดขี่ขูดรีด ไม่แบ่งชนชั้น และให้ประชาชนมีความร่ำรวยเสมอภาคเท่าเทียมกัน”

และที่สำคัญที่สุดคือ ในปีที่ 5 หลังจากสถาปนาจีนใหม่แล้ว ได้ประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งได้มีการให้ประชาชนจีนนำไปศึกษาและพิจารณาอภิปรายทั่วประเทศเป็นเวลา 3 เดือน และได้รับความเห็นจากประชาชนจำนวน 1 ล้านกว่าข้อ จึงได้มีการปรับปรุงและประกาศใช้ในที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งหมายความได้ว่ามี “การทำประชามติ”

รัฐธรรมนูญของจีนเป็นฉบับแรกที่กำหนดขึ้นใช้เมื่อปี 1954 โดยยึดมั่นหลักการสำคัญสองประการ “หนึ่ง กระบวนการยุติธรรมเป็นอิสระ และสองให้การบัญญัติกฎหมายมีประชาธิปไตย”

“ประชาธิปไตยของจีนเน้นความยุติธรรมและการมีส่วนร่วมจากประชาชนชาวจีนและเป็นประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ มิใช่ประชาธิปไตยที่เน้นธุรกิจเหมือนบ้านเรา!”

มิน่า การพัฒนาประเทศของเขาจึงได้เจริญรุดหน้ามาได้เพียง 60 ปี แต่ของบ้านเรา 76 ปีผ่านไป ยังลุ่มๆ ดอนๆ มีแต่ “เกมการเมือง-ต่อรอง-แก่งแย่งอำนาจ” จนชาติบ้านเมืองเป๋ไปเป๋มาอย่างเช่นทุกวันนี้!

กำลังโหลดความคิดเห็น