ตลาดเตาอบไมโครเวฟพลิกเกมรุก ชี้กลุ่มพรีเมียมเริ่มมีแนวโน้มเติบโตสูง ขณะที่สินค้าราคาต่ำกว่า 2,000 บาท-กลยุทธ์ดั๊มราคาเริ่มน้อยลง แอลจีลั่น เพิ่มส่วนแบ่งกลุ่มพรีเมียมเป็น 20% ในปีหน้า
นายรพี ศรีสุนทร ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (โฮมแอพพลายแอนซ์) บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดเตาอบไมโครเวฟในไทยมีแนวโน้มที่จะแข่งขันในสินค้าระดับราคาพรีเมียมที่มีคุณสมบัติพิเศษมากขึ้น โดยมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกมาจากผู้ประกอบการมากขึ้น ขณะที่สินค้าราคาระดับต่ำกว่า 2,000 บาทลงมาจะน้อยลงและแนวโน้มการดั๊มราคาก็จะน้อยลงเช่นกันในกลุ่มแบรนด์หลักๆ
อีกทั้งตลาดเตาอบไมไครเวฟในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอัตราการครอบครองต่อครัวเรือนของคนไทยยังต่ำมากแค่ 10% จากประชากรที่มีมากกว่า 60 ล้านคน ขณะที่ตลาดยุโรปหรืออเมริกาก็ยังมีการครอบครองอยู่ที่ 50% จึงมีช่องว่างที่ยังทำตลาดได้อีกมาก
โดยตลาดรวมเตาอบไมโครเวฟในไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 430,000 เครื่องต่อปี หรือมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 5% และคาดว่าปีหน้าตลาดรวมจะเติบโต 10%
ทั้งนี้ตลาดรวมไมโครเวฟปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1.เวฟอย่างเดียว สัดส่วนตลาดอยู่ที่ 90% 2. กริลล์ และ 3. คอมบิ (นึ่ง อบ ย่าง) ซึ่งสองกลุ่มหลังนี้เป็นกลุ่มพรีเมียมมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 10% เช่นเดียวกับสัดส่วนรายได้ของแอลจี ที่มีกลุ่มพรีเมียม 10% และกลุ่มทั่วไป 90% จากรายได้รวมขณะที่ส่วนแบ่งของแอลจีในตลาดเตาอบไมโครเวฟล่าสุดจากตัวเลขของเจเอฟเค ระบุว่า ในรอบเดือนมิถุนายน-กรกฏาคม 2552 แอลจีมีส่วนแบ่งตลาดเตาอบไมโครเวฟในขณะนี้อยู่ที่ 25% เป็นอันดับที่ 3 ในแง่ของมูลค่า และอันดับที่สองมีแชร์ 29% ในแง่ปริมาณ ขณะที่สิ้นปีที่แล้วแอลจีอยู่ในอันดับที่สาม ของตลาดรวม
สำหรับตลาดไมโครเวฟนี้จะมีการผลัดเปลี่ยนการขึ้นเป็นผุ้นำตลอดเวลา เพราะส่วนแบ่งไม่ทิ้งห่างกันมากเหมือนเช่นผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเป็นต้น ซึ่งสามแบรนด์หลักที่ผลัดกันเป็นผู้นำและมีแชร์ใกล้เคียงกันในขณะนี้คือ แอลจี ซัมซุง และชาร์ป
นายรพี กล่าวว่า บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนตลาดกลุ่มพรีเมียมมากขึ้นให้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 15% และเป็น 20% ภายในปีหน้า ด้วยการออกสินค้าใหม่และการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง
ล่าสุดได้เปิดตัวสินค้าใหม่ รุ่นโซลาร์โดม ที่มีเทคโนโลยีการใช้ความร้อนจากหลอดฮาโลเจน ซึ่งมีระดับราคาประมาณ 29,900 บาท มีรุ่นเดียว เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายระดับพรีเมียม ซึ่งตั้งเป้าหมายยอดขายรุ่นนี้ภายในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 500-600 เครื่อง เติบโตเท่าตัวจากปีที่แล้วในกลุ่มพรีเมียม โดยจะมีการจัดกิจกรรมใหญ่ “Life Tastes Good Championship 2009”
การแข่งขันทำอาหารด้วยเตาอบไมโครเวฟระดับโลกครั้งที่ 2 ของแอลจีในประเทศไทย ปลุกกระแสไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่รักการทำอาหารภายในบ้าน รอบชิงชนะเลิศในวันที่ 10-11 พฤศจิกายน ศกนี้ที่ประเทศไทย ซึ่งครั้งแรกจัดที่ดูไบ
นายเอียน วู ฮาวเวิร์ด กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 บริษัทฯมียอดขายรวมในกลุ่มเฮชเอ คือ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่น เติบโต 14% คาดว่าทั้งปีจะเติบโต 10% โดยมียอดขายรวม 15,000 ล้านบาท
นายรพี ศรีสุนทร ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (โฮมแอพพลายแอนซ์) บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดเตาอบไมโครเวฟในไทยมีแนวโน้มที่จะแข่งขันในสินค้าระดับราคาพรีเมียมที่มีคุณสมบัติพิเศษมากขึ้น โดยมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกมาจากผู้ประกอบการมากขึ้น ขณะที่สินค้าราคาระดับต่ำกว่า 2,000 บาทลงมาจะน้อยลงและแนวโน้มการดั๊มราคาก็จะน้อยลงเช่นกันในกลุ่มแบรนด์หลักๆ
อีกทั้งตลาดเตาอบไมไครเวฟในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอัตราการครอบครองต่อครัวเรือนของคนไทยยังต่ำมากแค่ 10% จากประชากรที่มีมากกว่า 60 ล้านคน ขณะที่ตลาดยุโรปหรืออเมริกาก็ยังมีการครอบครองอยู่ที่ 50% จึงมีช่องว่างที่ยังทำตลาดได้อีกมาก
โดยตลาดรวมเตาอบไมโครเวฟในไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 430,000 เครื่องต่อปี หรือมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 5% และคาดว่าปีหน้าตลาดรวมจะเติบโต 10%
ทั้งนี้ตลาดรวมไมโครเวฟปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 1.เวฟอย่างเดียว สัดส่วนตลาดอยู่ที่ 90% 2. กริลล์ และ 3. คอมบิ (นึ่ง อบ ย่าง) ซึ่งสองกลุ่มหลังนี้เป็นกลุ่มพรีเมียมมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 10% เช่นเดียวกับสัดส่วนรายได้ของแอลจี ที่มีกลุ่มพรีเมียม 10% และกลุ่มทั่วไป 90% จากรายได้รวมขณะที่ส่วนแบ่งของแอลจีในตลาดเตาอบไมโครเวฟล่าสุดจากตัวเลขของเจเอฟเค ระบุว่า ในรอบเดือนมิถุนายน-กรกฏาคม 2552 แอลจีมีส่วนแบ่งตลาดเตาอบไมโครเวฟในขณะนี้อยู่ที่ 25% เป็นอันดับที่ 3 ในแง่ของมูลค่า และอันดับที่สองมีแชร์ 29% ในแง่ปริมาณ ขณะที่สิ้นปีที่แล้วแอลจีอยู่ในอันดับที่สาม ของตลาดรวม
สำหรับตลาดไมโครเวฟนี้จะมีการผลัดเปลี่ยนการขึ้นเป็นผุ้นำตลอดเวลา เพราะส่วนแบ่งไม่ทิ้งห่างกันมากเหมือนเช่นผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเป็นต้น ซึ่งสามแบรนด์หลักที่ผลัดกันเป็นผู้นำและมีแชร์ใกล้เคียงกันในขณะนี้คือ แอลจี ซัมซุง และชาร์ป
นายรพี กล่าวว่า บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนตลาดกลุ่มพรีเมียมมากขึ้นให้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 15% และเป็น 20% ภายในปีหน้า ด้วยการออกสินค้าใหม่และการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง
ล่าสุดได้เปิดตัวสินค้าใหม่ รุ่นโซลาร์โดม ที่มีเทคโนโลยีการใช้ความร้อนจากหลอดฮาโลเจน ซึ่งมีระดับราคาประมาณ 29,900 บาท มีรุ่นเดียว เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายระดับพรีเมียม ซึ่งตั้งเป้าหมายยอดขายรุ่นนี้ภายในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 500-600 เครื่อง เติบโตเท่าตัวจากปีที่แล้วในกลุ่มพรีเมียม โดยจะมีการจัดกิจกรรมใหญ่ “Life Tastes Good Championship 2009”
การแข่งขันทำอาหารด้วยเตาอบไมโครเวฟระดับโลกครั้งที่ 2 ของแอลจีในประเทศไทย ปลุกกระแสไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่รักการทำอาหารภายในบ้าน รอบชิงชนะเลิศในวันที่ 10-11 พฤศจิกายน ศกนี้ที่ประเทศไทย ซึ่งครั้งแรกจัดที่ดูไบ
นายเอียน วู ฮาวเวิร์ด กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2552 บริษัทฯมียอดขายรวมในกลุ่มเฮชเอ คือ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่น เติบโต 14% คาดว่าทั้งปีจะเติบโต 10% โดยมียอดขายรวม 15,000 ล้านบาท