ASTVผู้จัดการายวัน - ค่าย ‘ไทยรุ่ง’ฮึด หลังโดนพิษเศรษฐกิจรุม และเจ้าของแบรนด์บีบหนัก ล่าสุดสบช่องเมื่อกระทรวงการคลังแก้กฎรถปิกอัพดัดแปลง ให้ยืดหยุ่นความยาวแชสซีส์ และจำนวนที่นั่งได้ เดินหน้าลุยผลิตรถหลากหลายรูปแบบ ประเดิมด้วย “ทีอาร์ เอ็กซ์คลูชีฟ ลีมูซีน”ตัวถังยาวหรูหรา เล็งกลุ่มเป้าหมายนักการเมืองและผู้ประกอบการโรงแรม ทั้งยังเสริมทัพ“รถภาคสนามของทหาร” ที่พัฒนามาจากปิกอัพเช่นกัน โดยทั้งสองรุ่นเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนพฤศจิกายนนี้
นายสมพงษ์ เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังกฎกระทรวงการคลัง แก้คุณลักษณะของปิกอัพดัดแปลง หรือ พีพีวี (เก็บภาษีสรรพสามิตหน้าโรงงาน 20%) โดยจากนี้ไปผู้ผลิตสามารถปรับระยะฐานล้อ หรือขยายความยาวแชสซีส์ได้ รวมถึงเปลี่ยนกฎเดิมที่บังคับให้รถประเภทนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่า 7 ที่นั่ง แต่ล่าสุดยืดหยุ่นให้ทำกี่ที่นั่งก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ของบริษัท นั่นคือ “ทีอาร์ เอ็กซ์คลูชีฟ ลีมูซีน”
โดย ทีอาร์ เอ็กซ์คลูชีฟ ลีมูซีน ใช้พื้นฐานแชสซีส์ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง มาจากปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ และ เชฟโรเลต โคโรลาโด ซึ่งในส่วนของแชสซีส์นั้นบริษัทได้นำมาปรับเพิ่มความยาวอีก 600 มิลลิเมตร พร้อมการตกแต่งภายในหรูหรานั่งสบาย เน้นเบาะนั่งแถวสอง ที่ลูกค้าสามารถเลือกลาย รวมถึงออปชันสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆได้ตามใจชอบ สนนราคา 1.2 – 1.3 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนพฤศจิกายนนี้
“เราพัฒนารถยนต์รุ่นดังกล่าวมาเกือบ 2 ปี ซึ่งจริงๆรถก็พร้อมตั้งนานแล้วแต่ไม่สามารถผลิตออกขายได้เพราะติดกฎหมายกระทรวง แต่เมื่อมีการแก้ไขแล้วเราจึงรีบดำเนินการทำตลาดทันที คาดว่า 6-8 เดือนแรกจะมียอดขายประมาณ 400-500 คัน ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย เรามองไปที่ คนชอบความแตกต่าง ชอบความสบายที่ไม่จำแจอยู่แค่รถตู้ รวมถึงพวกนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มโรงแรมระดับ 3-4 ดาว”
ในส่วนของช่องทางจำหน่าย นอกจากจะผ่านทางดีลเลอร์ค่ายรถยนต์ทั่วไป รวมถึงโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ 3 แห่งของบริษัทแล้ว (เพชรเกษม,บางนา,ไทยอัลติเมต วิภาวดี) บริษัทยังมีแผนตั้งดีลเลอร์และขยายโชว์รูม อย่างเป็นทางการในอนาคต แต่คงต้องดูความพร้อมของโปรดักต์ และสภาพตลาดรถยนต์ เพื่อประกอบการตัดสินต่อไป
นอกจากนี้การแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว บริษัทยังเตรียมพัฒนารถยนต์แบบใหม่อีกหลายรุ่น อย่างเช่น รถภาคสนามใช้ในกิจการทหาร ที่ดัดแปลงมาจากพื้นฐานของปิกอัพ ซึ่งราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรถนำเข้าจากต่างประเทศโดยบริษัทเตรียมเปิดตัวเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน
นายสมพงษ์ กล่าวว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมามีผลกระทบโดยตรงกับบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจการผลิตชิ้นส่วน และการดัดแปลงปิกอัพพื้นเรียบ (Flat Deck) เพราะออร์เดอร์การสั่งซื้อตั้งแต่ปลายปี 2551 มาถึงช่วงกลางปี 2552 ไม่มีเลย ขณะเดียวกันการส่งออกชิ้นส่วนไปจีน จากเดิมทำยอดขายประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปี แต่มาปีนี้ลดเหลือเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น
“เศรษฐกิจแย่ สภาพตลาดรถยนต์ซบเซา ทำให้ค่ายรถยนต์ชะลอแผนการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ออกไปหมด จึงมีผลโดยตรงกับธุรกิจการทำชิ้นส่วนของบริษัท ซึ่งเราพยายามปรับตัว ทั้งลดคนงาน ลดกะ ปรับกำลังผลิต รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง”
อย่างไรก็ตามเชื่อว่านับจากไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งธุรกิจผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานประกอบรถยนต์ ธุรกิจการทำแม่พิมพ์และ จิ๊กส์ รวมถึงธุรกิจผลิตรถดัดแปลงที่แม้จะทำยอดขายในปีนี้จะทำได้เพียง 400-500 คัน แต่ถ้าปีหน้าสภาพตลาดกลับมาฟื้นตัว ตลอดจนความหลากหลายของโปรดักต์ บริษัทน่าจะปิดยอดขายได้ถึง 600 คัน
สำหรับการขยายธุรกิจด้านอื่นๆ นายสมพงษ์ เปิดเผยว่า มีความสนใจจะเข้าร่วมโครงการรถเมล์ เอ็นจีวี 4,000 คัน เช่นกัน แต่คงไม่ใช่ในฐานะผู้ดำเนินกิจการโดยตรง แต่น่าจะเป็นรูปแบบการสนับสนุนรถ ซึ่งบริษัทมีพันธมิตรอย่าง“หยู่ทง” (Yutong) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตรถเพื่อการพาณิชย์รายใหญ่จากประเทศจีน และเมื่อดูตามเงื่อนไข ทีโออาร์ ที่ประกาศมาแล้ว จึงเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความพร้อมจัดสรรรถให้ตรงความต้องการได้แน่นอน
นอกจากนี้โครงการปรับระบบการเดินรถตู้โดยสารของกระทรวงคมนาคม บริษัทกำลังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด จากนั้นถ้ามีการประกาศเงื่อนไขชัดเจน บริษัทมีแผนนำเข้ารถตู้เอ็นจีวี แบรนด์ “จินเป่ย” (Jinbei) จากประเทศจีนเข้ามาทำตลาดเช่นกัน ซึ่งเป็นรถตู้ 13 ที่นั่ง ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท สามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดได้แน่นอน โดยช่วงแรกจะมาในรูปแบบนำเข้าทั้งคัน และหากยอดขายเติบโตก็มีแผนขึ้นไลน์ผลิตในประเทศต่อไป
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ค่อยสนับสนุนแบรนด์รถยนต์ของคนไทยเท่าที่ควร และอยากเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์ ดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถเฉพาะทาง ทั้งรถหุ้มเกราะ รถใช้ในกิจการทหาร รถพยาบาล หรือรถดัดแปลงที่มีความอเนกประสงค์หลากหลาย
“ความต้องการรถยนต์ในตลาดโลกอาจไม่ขยายตัวในเร็วๆนี้ แต่จะมีการย้ายฐานผลิตแน่นนอน เนื่องจากประเทศผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ประสบปัญหาค่าแรงสูง ส่งผลโดยตรงกับต้นทุน หรืออย่างญี่ปุ่นค่าเงินเยนแข็งมาก ดังนั้นจำเป็นต้องย้ายฐานหาแหล่งผลิตใหม่ ซึ่งไทยมีระบบสาธารณูปโภค ทักษะแรงงาน ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่พร้อมมาก และพวกรถเฉพาะทางหรือรถดัดแปลงต่างๆนั้น ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพการผลิตแน่นอน ขาดเพียงแต่โอกาสในการสนับสนุนจากรัฐบาล”นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังกฎกระทรวงการคลัง แก้คุณลักษณะของปิกอัพดัดแปลง หรือ พีพีวี (เก็บภาษีสรรพสามิตหน้าโรงงาน 20%) โดยจากนี้ไปผู้ผลิตสามารถปรับระยะฐานล้อ หรือขยายความยาวแชสซีส์ได้ รวมถึงเปลี่ยนกฎเดิมที่บังคับให้รถประเภทนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่า 7 ที่นั่ง แต่ล่าสุดยืดหยุ่นให้ทำกี่ที่นั่งก็ได้ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ของบริษัท นั่นคือ “ทีอาร์ เอ็กซ์คลูชีฟ ลีมูซีน”
โดย ทีอาร์ เอ็กซ์คลูชีฟ ลีมูซีน ใช้พื้นฐานแชสซีส์ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง มาจากปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ และ เชฟโรเลต โคโรลาโด ซึ่งในส่วนของแชสซีส์นั้นบริษัทได้นำมาปรับเพิ่มความยาวอีก 600 มิลลิเมตร พร้อมการตกแต่งภายในหรูหรานั่งสบาย เน้นเบาะนั่งแถวสอง ที่ลูกค้าสามารถเลือกลาย รวมถึงออปชันสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆได้ตามใจชอบ สนนราคา 1.2 – 1.3 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนพฤศจิกายนนี้
“เราพัฒนารถยนต์รุ่นดังกล่าวมาเกือบ 2 ปี ซึ่งจริงๆรถก็พร้อมตั้งนานแล้วแต่ไม่สามารถผลิตออกขายได้เพราะติดกฎหมายกระทรวง แต่เมื่อมีการแก้ไขแล้วเราจึงรีบดำเนินการทำตลาดทันที คาดว่า 6-8 เดือนแรกจะมียอดขายประมาณ 400-500 คัน ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย เรามองไปที่ คนชอบความแตกต่าง ชอบความสบายที่ไม่จำแจอยู่แค่รถตู้ รวมถึงพวกนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มโรงแรมระดับ 3-4 ดาว”
ในส่วนของช่องทางจำหน่าย นอกจากจะผ่านทางดีลเลอร์ค่ายรถยนต์ทั่วไป รวมถึงโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ 3 แห่งของบริษัทแล้ว (เพชรเกษม,บางนา,ไทยอัลติเมต วิภาวดี) บริษัทยังมีแผนตั้งดีลเลอร์และขยายโชว์รูม อย่างเป็นทางการในอนาคต แต่คงต้องดูความพร้อมของโปรดักต์ และสภาพตลาดรถยนต์ เพื่อประกอบการตัดสินต่อไป
นอกจากนี้การแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว บริษัทยังเตรียมพัฒนารถยนต์แบบใหม่อีกหลายรุ่น อย่างเช่น รถภาคสนามใช้ในกิจการทหาร ที่ดัดแปลงมาจากพื้นฐานของปิกอัพ ซึ่งราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรถนำเข้าจากต่างประเทศโดยบริษัทเตรียมเปิดตัวเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน
นายสมพงษ์ กล่าวว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมามีผลกระทบโดยตรงกับบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจการผลิตชิ้นส่วน และการดัดแปลงปิกอัพพื้นเรียบ (Flat Deck) เพราะออร์เดอร์การสั่งซื้อตั้งแต่ปลายปี 2551 มาถึงช่วงกลางปี 2552 ไม่มีเลย ขณะเดียวกันการส่งออกชิ้นส่วนไปจีน จากเดิมทำยอดขายประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปี แต่มาปีนี้ลดเหลือเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น
“เศรษฐกิจแย่ สภาพตลาดรถยนต์ซบเซา ทำให้ค่ายรถยนต์ชะลอแผนการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ออกไปหมด จึงมีผลโดยตรงกับธุรกิจการทำชิ้นส่วนของบริษัท ซึ่งเราพยายามปรับตัว ทั้งลดคนงาน ลดกะ ปรับกำลังผลิต รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง”
อย่างไรก็ตามเชื่อว่านับจากไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งธุรกิจผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานประกอบรถยนต์ ธุรกิจการทำแม่พิมพ์และ จิ๊กส์ รวมถึงธุรกิจผลิตรถดัดแปลงที่แม้จะทำยอดขายในปีนี้จะทำได้เพียง 400-500 คัน แต่ถ้าปีหน้าสภาพตลาดกลับมาฟื้นตัว ตลอดจนความหลากหลายของโปรดักต์ บริษัทน่าจะปิดยอดขายได้ถึง 600 คัน
สำหรับการขยายธุรกิจด้านอื่นๆ นายสมพงษ์ เปิดเผยว่า มีความสนใจจะเข้าร่วมโครงการรถเมล์ เอ็นจีวี 4,000 คัน เช่นกัน แต่คงไม่ใช่ในฐานะผู้ดำเนินกิจการโดยตรง แต่น่าจะเป็นรูปแบบการสนับสนุนรถ ซึ่งบริษัทมีพันธมิตรอย่าง“หยู่ทง” (Yutong) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตรถเพื่อการพาณิชย์รายใหญ่จากประเทศจีน และเมื่อดูตามเงื่อนไข ทีโออาร์ ที่ประกาศมาแล้ว จึงเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความพร้อมจัดสรรรถให้ตรงความต้องการได้แน่นอน
นอกจากนี้โครงการปรับระบบการเดินรถตู้โดยสารของกระทรวงคมนาคม บริษัทกำลังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด จากนั้นถ้ามีการประกาศเงื่อนไขชัดเจน บริษัทมีแผนนำเข้ารถตู้เอ็นจีวี แบรนด์ “จินเป่ย” (Jinbei) จากประเทศจีนเข้ามาทำตลาดเช่นกัน ซึ่งเป็นรถตู้ 13 ที่นั่ง ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท สามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดได้แน่นอน โดยช่วงแรกจะมาในรูปแบบนำเข้าทั้งคัน และหากยอดขายเติบโตก็มีแผนขึ้นไลน์ผลิตในประเทศต่อไป
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ค่อยสนับสนุนแบรนด์รถยนต์ของคนไทยเท่าที่ควร และอยากเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์ ดันไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถเฉพาะทาง ทั้งรถหุ้มเกราะ รถใช้ในกิจการทหาร รถพยาบาล หรือรถดัดแปลงที่มีความอเนกประสงค์หลากหลาย
“ความต้องการรถยนต์ในตลาดโลกอาจไม่ขยายตัวในเร็วๆนี้ แต่จะมีการย้ายฐานผลิตแน่นนอน เนื่องจากประเทศผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ประสบปัญหาค่าแรงสูง ส่งผลโดยตรงกับต้นทุน หรืออย่างญี่ปุ่นค่าเงินเยนแข็งมาก ดังนั้นจำเป็นต้องย้ายฐานหาแหล่งผลิตใหม่ ซึ่งไทยมีระบบสาธารณูปโภค ทักษะแรงงาน ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่พร้อมมาก และพวกรถเฉพาะทางหรือรถดัดแปลงต่างๆนั้น ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพการผลิตแน่นอน ขาดเพียงแต่โอกาสในการสนับสนุนจากรัฐบาล”นายสมพงษ์ กล่าว