ASTVผู้จัดการรายวัน - บอร์ดกสท ส่ง ‘จิรายุทธ’บี้ทรูมูฟหลังผิดสัญญาประจำไม่ว่าเป็นเรื่องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ไม่ครบ ไม่โอนทรัพย์สิน ขู่หากดื้อแพ่งมีสิทธิเลิกสัญญา หวั่นถูกครหาเอื้อประโยชน์เอกชน ด้าน ‘ระนองรักษ์’ เตรียมยกทัพหลวงทีโอที/กสท บุกประชาพิจารณ์ 3G
นายกฤษดา กวีญาณ กรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมว่าบอร์ดได้มอบหมายให้นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสทไปดำเนินการเจรจากับ บริษัท ทรูมูฟ เนื่องจากที่ผ่านมาทรูมูฟไม่ปฏิบัติตามสัญญาร่วมการงานที่ทำไว้กับกสทหลายประการ เช่น การจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กสทไม่ครบตามสัญญา รวมทั้งทรูมูฟได้ประกาศไม่จ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่ายหรือ แอ็คเซ็สชาร์จ (เอซี) ให้กสทแต่พอถึงกำหนดชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ทรูมูฟกลับหักค่าใช้จ่ายเอซีออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายประมาณ 25% ของรายได้
นอกจากนี้ทรูมูฟยังไม่ทำการโอนเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ตามสัญญาร่วมการงานซึ่งเป็นสัญญาการสร้างโอนและให้บริการ ( BTO) ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท ทั้งนี้หากยังไม่ได้รับข้อยุติในเรื่องดังกล่าว กสทอาจจะดำเนินการยกเลิกสัญญาร่วมการงานที่ทำกับทรูมูฟ
อย่างไรก็ตามกสทต้องการให้ข้อพิพาทกับทรูมูฟเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เนื่องจากในระหว่างการเจรจา กสทก็จำเป็นต้องทบทวนเรื่องการต่ออายุสัญญาทรูมูฟออกไปอีก 5 ปี รวมถึงข้อตกลงให้ทรูมูฟทดลองบริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 5 เมกะเฮิรตซ์ และการใช้วงจรเชื่อมต่อต่างประเทศ (เกตเวย์) ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้กสทถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน
นายกฤษดา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากสทได้ดำเนินการฟ้องร้อง ทรูมูฟ 6 คดี ได้แก่ 1.เรื่องการโอนเสาสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 2.การเรียกให้ทรูมูฟจ่ายเงินภาษีสรรพสามิตคืนหลังจากที่ครม.ได้ยกเลิกเมื่อปี 2550 3.กรณีที่ทรูมูฟ ลดค่าเอซี 22 บาท จาก 200 บาทเหลือเลขหมายละ 178 บาท โดยยังไม่ผ่านการเจรจา กับ บริษัท ทีโอที 4.ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมเลขหมายละ 1 บาท ให้กับกสทรวมเป็นเงิน 104 ล้านบาท 5.ไม่จ่ายค่าเลขหมายพิเศษ 1331 มูลค่า 3.6 ล้านบาทและ6.การฟ้องเรียกเบี้ยปรับจากการชำระส่วนแบ่งรายได้ล่าช้า 45 ล้านบาทโดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
ขณะเดียวกันทรูมูฟได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งกรณีกสทไม่คืนหนังสือประกันรายได้ขั้นต่ำ เพราะกสท อ้างว่าทรูมูฟไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้ครบตามสัญญา ซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลแพ่ง
****ไอซีทีกลับลำไม่พบกทช.*****
ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีทีกล่าวว่าจะไม่เข้าพบคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องขอให้ชะลอการประมูลไลเซ่นส์ 3G แล้วเนื่องจากติดภารกิจเข้าร่วมประชุมอาเซียนที่ประเทศลาวแต่ไอซีทีก็จะยื่นข้อเสนอเป็นหนังสือไปให้กทช.พิจารณาเพิ่มเติมแทนในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความมั่นคง เศรษฐกิจ และกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจไทย
อย่างไรก็ตามการที่กทช.จะเปิดประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 ในปลายเดือนนี้ ไอซีทีจะนำทีโอที และกสท เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยและคาดว่ากทช.จะสามารถตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำประชาพิจารณ์ 3G ครั้งแรกรวมถึงข้อสงสัยของไอซีทีโดยเฉพาะเรื่องผลกระทบในด้านต่างๆรวมถึงการใช้วิธีการประมูลคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรของประเทศว่ามีความเหมาะสมหรือไม่และหากสามารถประมูลได้ กทช.ต้องสามารถตอบได้ว่าราคาเริ่มต้นการประมูลคำนวณจากอะไร
**** กมธ.จวก ‘ระนองรักษ์’ ชอบแต่งานสังคม****
เมื่อเวลา 11.00 น.ที่รัฐสภา นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสารโทรคมนาคม วุฒิสภา กล่าวว่า อนุกรรมาธิการฯได้หยิบยกกรณีการบริหารงานของทีโอทีและกสท ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐ เพราะมีความเป็นห่วงว่าอนาคตอันใกล้นี้หากทั้งสองหน่วยงานไม่มีการปรับตัว ในที่สุดก็จะต้องปิดตัวลงเพราะล่าสุดกระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะเปิดบริษัทขึ้นแห่งหนึ่งเพื่อดึงรายได้จากทั้งสองบริษัทดังกล่าวมารวมกันหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ทั้งทีโอทีและกสท ต้องประสบภาวะขาดทุน
นายอนันต์ กล่าวด้วยว่า กรรมาธิการฯจะจัดทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลให้ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลัง และกระทรวงไอซีทีต้องกำหนดบทบาทให้กับสองบริษัทใหม่ว่าจะให้ดำเนินกิจการเพื่อความมั่นคงของชาติหรือจะให้ทำธุรกิจเพื่อแข่งขันกับเอกชน หากจะดำเนินกิจการเพื่อความมั่นคงรัฐจะต้องเพิ่มสิทธิพิเศษในการทำงานให้กับทั้งสองบริษัท แต่ถ้าต้องการให้ทำการแข่งขันก็จะต้องทำให้ทั้งสองบริษัทบริหารงานได้อย่างคล่องตัว
นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาด้วยว่าการจะให้ดำเนินกิจการแข่งขันกับเอกชนนั้นจะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 48 (1) หรือไม่ รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้สองบริษัทดำเนินธุรกิจในลักษณะที่แข่งขันกันเอง เพราะทำให้มีการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ต้องวางแผนก่อนที่จะหมดอายุสัมปทานในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ถึงเวลาแล้วที่ต้องรวมสององค์กรนี้ให้เป็นองค์กรเดียวกัน และเพิ่มความสะดวกความคล่องตัวในการทำงาน โดยไม่ควรให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของบอร์ดทีโอทีและบอร์ดของกสท
เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อมีการเปลี่ยนตัวรมว.ไอซีทีทุกครั้งก็จะต้องมีการเปลี่ยนตัวบอร์ดของทั้งสองหน่วยงานตามมาทั้งนี้กรรมาธิการฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์คก่อนจัดทำข้อเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อเร่งดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่าหากจะให้ประเมินผลงานของรมว.ไอซีที นายอนันต์กล่าวว่าการทำงานค่อนข้างล่าช้า ไม่เน้นการพัฒนาโครงสร้างหรือการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติทั้งที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ แต่กลับไปเน้นงานด้านสังคมมากเกินไป
นายกฤษดา กวีญาณ กรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมว่าบอร์ดได้มอบหมายให้นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสทไปดำเนินการเจรจากับ บริษัท ทรูมูฟ เนื่องจากที่ผ่านมาทรูมูฟไม่ปฏิบัติตามสัญญาร่วมการงานที่ทำไว้กับกสทหลายประการ เช่น การจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กสทไม่ครบตามสัญญา รวมทั้งทรูมูฟได้ประกาศไม่จ่ายค่าเชื่อมโยงโครงข่ายหรือ แอ็คเซ็สชาร์จ (เอซี) ให้กสทแต่พอถึงกำหนดชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ทรูมูฟกลับหักค่าใช้จ่ายเอซีออกจากส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายประมาณ 25% ของรายได้
นอกจากนี้ทรูมูฟยังไม่ทำการโอนเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ตามสัญญาร่วมการงานซึ่งเป็นสัญญาการสร้างโอนและให้บริการ ( BTO) ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท ทั้งนี้หากยังไม่ได้รับข้อยุติในเรื่องดังกล่าว กสทอาจจะดำเนินการยกเลิกสัญญาร่วมการงานที่ทำกับทรูมูฟ
อย่างไรก็ตามกสทต้องการให้ข้อพิพาทกับทรูมูฟเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เนื่องจากในระหว่างการเจรจา กสทก็จำเป็นต้องทบทวนเรื่องการต่ออายุสัญญาทรูมูฟออกไปอีก 5 ปี รวมถึงข้อตกลงให้ทรูมูฟทดลองบริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 5 เมกะเฮิรตซ์ และการใช้วงจรเชื่อมต่อต่างประเทศ (เกตเวย์) ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้กสทถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน
นายกฤษดา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากสทได้ดำเนินการฟ้องร้อง ทรูมูฟ 6 คดี ได้แก่ 1.เรื่องการโอนเสาสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ 2.การเรียกให้ทรูมูฟจ่ายเงินภาษีสรรพสามิตคืนหลังจากที่ครม.ได้ยกเลิกเมื่อปี 2550 3.กรณีที่ทรูมูฟ ลดค่าเอซี 22 บาท จาก 200 บาทเหลือเลขหมายละ 178 บาท โดยยังไม่ผ่านการเจรจา กับ บริษัท ทีโอที 4.ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมเลขหมายละ 1 บาท ให้กับกสทรวมเป็นเงิน 104 ล้านบาท 5.ไม่จ่ายค่าเลขหมายพิเศษ 1331 มูลค่า 3.6 ล้านบาทและ6.การฟ้องเรียกเบี้ยปรับจากการชำระส่วนแบ่งรายได้ล่าช้า 45 ล้านบาทโดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
ขณะเดียวกันทรูมูฟได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งกรณีกสทไม่คืนหนังสือประกันรายได้ขั้นต่ำ เพราะกสท อ้างว่าทรูมูฟไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้ครบตามสัญญา ซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลแพ่ง
****ไอซีทีกลับลำไม่พบกทช.*****
ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีทีกล่าวว่าจะไม่เข้าพบคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องขอให้ชะลอการประมูลไลเซ่นส์ 3G แล้วเนื่องจากติดภารกิจเข้าร่วมประชุมอาเซียนที่ประเทศลาวแต่ไอซีทีก็จะยื่นข้อเสนอเป็นหนังสือไปให้กทช.พิจารณาเพิ่มเติมแทนในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความมั่นคง เศรษฐกิจ และกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจไทย
อย่างไรก็ตามการที่กทช.จะเปิดประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 ในปลายเดือนนี้ ไอซีทีจะนำทีโอที และกสท เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยและคาดว่ากทช.จะสามารถตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำประชาพิจารณ์ 3G ครั้งแรกรวมถึงข้อสงสัยของไอซีทีโดยเฉพาะเรื่องผลกระทบในด้านต่างๆรวมถึงการใช้วิธีการประมูลคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรของประเทศว่ามีความเหมาะสมหรือไม่และหากสามารถประมูลได้ กทช.ต้องสามารถตอบได้ว่าราคาเริ่มต้นการประมูลคำนวณจากอะไร
**** กมธ.จวก ‘ระนองรักษ์’ ชอบแต่งานสังคม****
เมื่อเวลา 11.00 น.ที่รัฐสภา นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสารโทรคมนาคม วุฒิสภา กล่าวว่า อนุกรรมาธิการฯได้หยิบยกกรณีการบริหารงานของทีโอทีและกสท ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐ เพราะมีความเป็นห่วงว่าอนาคตอันใกล้นี้หากทั้งสองหน่วยงานไม่มีการปรับตัว ในที่สุดก็จะต้องปิดตัวลงเพราะล่าสุดกระทรวงการคลังมีแนวคิดที่จะเปิดบริษัทขึ้นแห่งหนึ่งเพื่อดึงรายได้จากทั้งสองบริษัทดังกล่าวมารวมกันหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ทั้งทีโอทีและกสท ต้องประสบภาวะขาดทุน
นายอนันต์ กล่าวด้วยว่า กรรมาธิการฯจะจัดทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลให้ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลัง และกระทรวงไอซีทีต้องกำหนดบทบาทให้กับสองบริษัทใหม่ว่าจะให้ดำเนินกิจการเพื่อความมั่นคงของชาติหรือจะให้ทำธุรกิจเพื่อแข่งขันกับเอกชน หากจะดำเนินกิจการเพื่อความมั่นคงรัฐจะต้องเพิ่มสิทธิพิเศษในการทำงานให้กับทั้งสองบริษัท แต่ถ้าต้องการให้ทำการแข่งขันก็จะต้องทำให้ทั้งสองบริษัทบริหารงานได้อย่างคล่องตัว
นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาด้วยว่าการจะให้ดำเนินกิจการแข่งขันกับเอกชนนั้นจะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 48 (1) หรือไม่ รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้สองบริษัทดำเนินธุรกิจในลักษณะที่แข่งขันกันเอง เพราะทำให้มีการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ต้องวางแผนก่อนที่จะหมดอายุสัมปทานในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ถึงเวลาแล้วที่ต้องรวมสององค์กรนี้ให้เป็นองค์กรเดียวกัน และเพิ่มความสะดวกความคล่องตัวในการทำงาน โดยไม่ควรให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของบอร์ดทีโอทีและบอร์ดของกสท
เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อมีการเปลี่ยนตัวรมว.ไอซีทีทุกครั้งก็จะต้องมีการเปลี่ยนตัวบอร์ดของทั้งสองหน่วยงานตามมาทั้งนี้กรรมาธิการฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์คก่อนจัดทำข้อเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อเร่งดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่าหากจะให้ประเมินผลงานของรมว.ไอซีที นายอนันต์กล่าวว่าการทำงานค่อนข้างล่าช้า ไม่เน้นการพัฒนาโครงสร้างหรือการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติทั้งที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ แต่กลับไปเน้นงานด้านสังคมมากเกินไป