แจ้งจับกราวรูดตัวการรุกป่า "กิ่วทัพยั้ง-แม่สลอง" ทั้ง "ป่าไม้-เสี่ยเอี้ยง-พนักงานที่ดิน-หน.สวนป่า" ทวงคืนป่าสงวนฯ 5,000 ไร่ หลังหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ยอมเข้าแจ้งความใดๆ ทำให้คดีค้างเติ่งมานานหลายปี แถมใช้ชื่อคนตายสวมเป็นเจ้าของที่ดิน ตัดตอนคดี ขณะที่ ตร.ภาค 5 สั่งตั้ง พนง.สอบสวนทำคดีใหม่ ให้ ผบก.เชียงราย นำทีมยึดคืนผืนป่าคืนแผ่นดิน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายพิสิษฐ์ เอี่ยมสอาด อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 399/17 หมู่ 2 ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษการกระทำผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการป่าไม้จากต่อหน่วยงานและบุคคลหลากหลาย ต่อ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผบก.ภ.เชียงราย ในฐานะหัวหน้าพนักงาน ภ.เชียงราย กรณีตรวจสอบพบการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ท้องที่ อ.เมือง และ อ.แม่จัน โดยมีบุคคลสำคัญที่ถูกแจ้งความให้ดำเนินคดี คือ นายดำรงค์ พิเดช อดีตป่าไม้ จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าราชการกรมป่าไม้ ข้าราชการกรมที่ดิน ฯลฯ
นายพิสิษฐ์ ให้เหตุผลว่า ต้องการให้มีการคืนผืนป่าประมาณ 6,000 ไร่จากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของสวนป่ากิ่วทัพยั้ง อ.เมือง และป่าสงวนแห่งชาติเขตหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง อ.แม่จัน กลับคืนมาเป็นของรัฐ หลังจากที่ผืนป่าทั้งหมดถูกตรวจสอบมาตั้งแต่ปี 47 ว่ามีการออกโฉนดทับพื้นที่ป่าสงวนโดยผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่าทั้งที่ระยะเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่มีการยึดคืนผืนป่ามาเป็นของชาติและไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าไปบุกรุกถือโฉนดทับที่ป่าสงวนดังกล่าว
พล.ต.ต.ทรงธรรม กล่าวว่า คดีบุกรุกผืนป่าทั้ง 2 แห่งได้มีการจัดทำสำนวนสอบสวนแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปี 47 แต่ไม่สามารถหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายและไม่สามารถยึดคืนผืนป่าสงวนจำนวนมากกลับมาเป็นของรัฐได้ เนื่องจากยังไม่จบ ขบวนการในส่วนของหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ทั้งไม่ยอมยึดคืนผืนป่าและไม่ยอมเข้าแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ ภ.ภาค 5 ได้ให้ทาง ภ.เชียงราย ตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาตรวจสอบใหม่และเมื่อมีผู้แจ้งความร้องทุกข์ครั้งนี้ทางตำรวจจึงรายงานไปยัง ภ.ภาค 5 และผู้ว่าฯเชียงรายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือฝ่ายปกครองจะเข้าไปดูแลการสอบสวนร่วมกับตำรวจ เพื่อนำข้อมูลเดิมมาตรวจสอบร่วมกับพยานหลักฐานใหม่ เบื้องต้นทราบว่า เกี่ยวข้องกับคนหลายกลุ่มหลายพวกที่เข้าไปบุกรุกป่าสงวนทั้ง 2 ผืน
"หลังมีการพบความผิดตั้งแต่ปี 47 คือมีการโยนความรับผิดชอบกันไปมาหลายหน่วยงาน เพราะมีการออกโฉนดทับที่ป่าสงวน ทำให้เกี่ยวข้องกับกรมป่าไม้และกรมที่ดิน ส่วนตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินคดีได้เต็มที่ เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่แจ้งความหรือเมื่อมีการร้องทุกข์ก็มีการนำเอาชื่อคนที่เสียชีวิตไปนานแล้วมาสวมเป็นผู้ถูกกล่าวหาอีก ดังนั้น ครั้งนี้ต้องดำเนินการใหม่หมด คาดว่าจะต้องใช้เวลานาน แต่ผมได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอย่างตรงไปตรงมาเพื่อยึดคืนผืนป่าสงวนกลับคืนมาให้ได้"
รายงานข่าวจากชุดสอบสวนฯแจ้งว่า ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกบุกรุกดังกล่าวมีอยู่ 2 แห่งคือ ป่าสงวนแห่งชาติเขตหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง เนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่เป็นผืนป่าไม้สัก เมื่อครั้งที่นายดำรงค์ พิเดช ดำรงตำแหน่งอยู่ที่เชียงราย ได้โอนไปให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) และเริ่มมีผู้เข้าไปบุกรุกผืนป่าที่ อ.อ.ป.ดูแลเป็นผืนเล็กๆ โดยใช้เอกสารปลอมจากสำนักงานป่าไม้เขตเชียงราย ในการขอออกโฉนดกับพนักงานที่ดินฯ สาขาแม่จัน กระทั่งปี 2536 จึงได้แจ้งความที่ สภ.แม่จันว่า มีผู้เข้าไปบุกรุก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็พบว่าผู้ที่ถูกแจ้งความเป็นคนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว
ดังนั้น ตำรวจจึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องตาม ป.วิอาญา มาตรา 39 ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เริ่มทำให้เกิดปัญหาเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทวงคืนผืนป่าที่ถูกบุกรุกที่เป็นคดีความดังกล่าวกลับคืนมา ทำให้มีนายทุนรายอื่นสบช่องเห็นว่า คดีนี้มีการสั่งไม่ฟ้อง พากันอ้างเอกสารดังกล่าวในการขอออกโฉนดกับกรมที่ดิน จนทำให้ผืนป่าทั้ง 5,000 ไร่ถูกยึดครองเป็นโฉนดรวมกันไม่ต่ำกว่า 100 โฉนด และกลายเป็นที่มาของโฉนดทับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในที่สุด
จากนั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน ทำให้ อ.อ.ป.ไม่สามารถเข้าไปดูแลและตัดไม้สักของรัฐได้ ส่วนหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง ก็ทราบอยู่แล้วว่าเป็นป่าสงวนฯ แต่มีการออกโฉนดทับซ้อนก็ไม่เข้าไปตรวจยึดคืนมา ทำให้มีการซื้อขาย ถ่ายโอนโฉนดกันหลายต่อ รวมไปถึงการนำไปค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารติดต่อกันมานานหลายปี
กรณีหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลองนี้ นายพิสิษฐ์ ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงานที่ดินที่เกี่ยวข้องกับการออกโฉนดทั้ง 100 กว่าแปลงดังกล่าว รวมถึงข้าราชการกรมป่าไม้ในฐานะที่ปล่อยปะละเลยและไม่กระทำการใดๆ ข้าราชการผู้รับผิดชอบในการรับขึ้นทะเบียนสวนป่าคือนายดำรงค์ พิเดช ซึ่งเป็นป่าไม้เชียงรายในขณะนั้นที่เป็นผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนและทำไม้สวนป่าและหัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลองด้วย
ส่วนอีกกรณีคือ สวนป่ากิ่วทัพยั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ข้าวต้มและป่าห้วยลึก ตั้งอยู่ในเขต อ.เมืองเชียงราย โดยมี "เสี่ยเอี้ยง" เข้าไปบุกรุกเป็นเนื้อที่ประมาณ 60 ไร่และสร้างบ้านพักเอาไว้ 3 หลัง ต่อมาปี 47 หัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้ง ได้เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อ สภ.เมืองเชียงรายว่าผืนป่าถูกบุกรุกโดยได้นำระวางแผนที่ที่ใช้กำหนดแนวเขตทั้ง 60 ไร่ มาประกอบด้วย
ต่อมาได้ขอเปลี่ยนแผนที่ใหม่มาใช้ระวางแผนที่เหลือเพียง 3 ไร่ และมีลักษณะคล้ายกับป่าที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง คือ มีการกล่าวหาผู้ที่บุกรุกว่าคือนายคำรณ คำมูล ซึ่งเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 40 แล้ว ขณะที่ผืนป่าถูกบุกรุกหลังจากที่นายคำรณ เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ทำให้พนักงานสอบสวนไม่สามารถสั่งฟ้องได้อีกตามเคย และทำให้ป่าสงวนแห่งชาติผืนใหญ่ถูกบุกรุกเหมือนเดิม
ปัจจุบันชุดสอบสวนฯได้สอบปากคำหัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้งใหม่อีกรอบ ปรากฏว่าครั้งนี้ได้กลับลำยืนยันว่าระวางแผนที่ที่ถูกต้องคือมีเนื้อที่ 60 ไร่ แต่น่าแปลกใจว่าหลังจากนั้นกลับไม่มีการแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกและไม่นำเจ้าหน้าที่เข้าไปยึดคืนผืนป่า ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ให้ข้อมูลเองว่าระวางแผนที่ที่มีการบุกรุกที่ถูกต้องคือ 60 ไร่ และหนังสือจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ระบุว่า มีการใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อเข้าครอบครองผืนป่าสงวนแห่งชาติ
กรณีนี้นายพิสิษฐ์ ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายเป็ง คำวัง ซึ่งเป็นผู้ที่แสดงตนเป็นเจ้าของที่ดินโดยใช้เอกสารที่ดินปลอมในผืนป่าดังกล่าว หัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้ง เพราะปล่อยปะละเลยให้มีการบุกรุกยึดครอง จนทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและระเบียบวินัยของทางราชการ และพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่ไม่ดำเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อเร็วๆ นี้ นายพิสิษฐ์ เอี่ยมสอาด อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 399/17 หมู่ 2 ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษการกระทำผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการป่าไม้จากต่อหน่วยงานและบุคคลหลากหลาย ต่อ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผบก.ภ.เชียงราย ในฐานะหัวหน้าพนักงาน ภ.เชียงราย กรณีตรวจสอบพบการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ท้องที่ อ.เมือง และ อ.แม่จัน โดยมีบุคคลสำคัญที่ถูกแจ้งความให้ดำเนินคดี คือ นายดำรงค์ พิเดช อดีตป่าไม้ จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าราชการกรมป่าไม้ ข้าราชการกรมที่ดิน ฯลฯ
นายพิสิษฐ์ ให้เหตุผลว่า ต้องการให้มีการคืนผืนป่าประมาณ 6,000 ไร่จากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของสวนป่ากิ่วทัพยั้ง อ.เมือง และป่าสงวนแห่งชาติเขตหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง อ.แม่จัน กลับคืนมาเป็นของรัฐ หลังจากที่ผืนป่าทั้งหมดถูกตรวจสอบมาตั้งแต่ปี 47 ว่ามีการออกโฉนดทับพื้นที่ป่าสงวนโดยผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่าทั้งที่ระยะเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่มีการยึดคืนผืนป่ามาเป็นของชาติและไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เข้าไปบุกรุกถือโฉนดทับที่ป่าสงวนดังกล่าว
พล.ต.ต.ทรงธรรม กล่าวว่า คดีบุกรุกผืนป่าทั้ง 2 แห่งได้มีการจัดทำสำนวนสอบสวนแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปี 47 แต่ไม่สามารถหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายและไม่สามารถยึดคืนผืนป่าสงวนจำนวนมากกลับมาเป็นของรัฐได้ เนื่องจากยังไม่จบ ขบวนการในส่วนของหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ทั้งไม่ยอมยึดคืนผืนป่าและไม่ยอมเข้าแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ ภ.ภาค 5 ได้ให้ทาง ภ.เชียงราย ตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาตรวจสอบใหม่และเมื่อมีผู้แจ้งความร้องทุกข์ครั้งนี้ทางตำรวจจึงรายงานไปยัง ภ.ภาค 5 และผู้ว่าฯเชียงรายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือฝ่ายปกครองจะเข้าไปดูแลการสอบสวนร่วมกับตำรวจ เพื่อนำข้อมูลเดิมมาตรวจสอบร่วมกับพยานหลักฐานใหม่ เบื้องต้นทราบว่า เกี่ยวข้องกับคนหลายกลุ่มหลายพวกที่เข้าไปบุกรุกป่าสงวนทั้ง 2 ผืน
"หลังมีการพบความผิดตั้งแต่ปี 47 คือมีการโยนความรับผิดชอบกันไปมาหลายหน่วยงาน เพราะมีการออกโฉนดทับที่ป่าสงวน ทำให้เกี่ยวข้องกับกรมป่าไม้และกรมที่ดิน ส่วนตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินคดีได้เต็มที่ เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่แจ้งความหรือเมื่อมีการร้องทุกข์ก็มีการนำเอาชื่อคนที่เสียชีวิตไปนานแล้วมาสวมเป็นผู้ถูกกล่าวหาอีก ดังนั้น ครั้งนี้ต้องดำเนินการใหม่หมด คาดว่าจะต้องใช้เวลานาน แต่ผมได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอย่างตรงไปตรงมาเพื่อยึดคืนผืนป่าสงวนกลับคืนมาให้ได้"
รายงานข่าวจากชุดสอบสวนฯแจ้งว่า ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกบุกรุกดังกล่าวมีอยู่ 2 แห่งคือ ป่าสงวนแห่งชาติเขตหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง เนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่เป็นผืนป่าไม้สัก เมื่อครั้งที่นายดำรงค์ พิเดช ดำรงตำแหน่งอยู่ที่เชียงราย ได้โอนไปให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) และเริ่มมีผู้เข้าไปบุกรุกผืนป่าที่ อ.อ.ป.ดูแลเป็นผืนเล็กๆ โดยใช้เอกสารปลอมจากสำนักงานป่าไม้เขตเชียงราย ในการขอออกโฉนดกับพนักงานที่ดินฯ สาขาแม่จัน กระทั่งปี 2536 จึงได้แจ้งความที่ สภ.แม่จันว่า มีผู้เข้าไปบุกรุก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็พบว่าผู้ที่ถูกแจ้งความเป็นคนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว
ดังนั้น ตำรวจจึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องตาม ป.วิอาญา มาตรา 39 ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เริ่มทำให้เกิดปัญหาเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทวงคืนผืนป่าที่ถูกบุกรุกที่เป็นคดีความดังกล่าวกลับคืนมา ทำให้มีนายทุนรายอื่นสบช่องเห็นว่า คดีนี้มีการสั่งไม่ฟ้อง พากันอ้างเอกสารดังกล่าวในการขอออกโฉนดกับกรมที่ดิน จนทำให้ผืนป่าทั้ง 5,000 ไร่ถูกยึดครองเป็นโฉนดรวมกันไม่ต่ำกว่า 100 โฉนด และกลายเป็นที่มาของโฉนดทับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในที่สุด
จากนั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน ทำให้ อ.อ.ป.ไม่สามารถเข้าไปดูแลและตัดไม้สักของรัฐได้ ส่วนหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง ก็ทราบอยู่แล้วว่าเป็นป่าสงวนฯ แต่มีการออกโฉนดทับซ้อนก็ไม่เข้าไปตรวจยึดคืนมา ทำให้มีการซื้อขาย ถ่ายโอนโฉนดกันหลายต่อ รวมไปถึงการนำไปค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารติดต่อกันมานานหลายปี
กรณีหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลองนี้ นายพิสิษฐ์ ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงานที่ดินที่เกี่ยวข้องกับการออกโฉนดทั้ง 100 กว่าแปลงดังกล่าว รวมถึงข้าราชการกรมป่าไม้ในฐานะที่ปล่อยปะละเลยและไม่กระทำการใดๆ ข้าราชการผู้รับผิดชอบในการรับขึ้นทะเบียนสวนป่าคือนายดำรงค์ พิเดช ซึ่งเป็นป่าไม้เชียงรายในขณะนั้นที่เป็นผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนและทำไม้สวนป่าและหัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลองด้วย
ส่วนอีกกรณีคือ สวนป่ากิ่วทัพยั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ข้าวต้มและป่าห้วยลึก ตั้งอยู่ในเขต อ.เมืองเชียงราย โดยมี "เสี่ยเอี้ยง" เข้าไปบุกรุกเป็นเนื้อที่ประมาณ 60 ไร่และสร้างบ้านพักเอาไว้ 3 หลัง ต่อมาปี 47 หัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้ง ได้เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อ สภ.เมืองเชียงรายว่าผืนป่าถูกบุกรุกโดยได้นำระวางแผนที่ที่ใช้กำหนดแนวเขตทั้ง 60 ไร่ มาประกอบด้วย
ต่อมาได้ขอเปลี่ยนแผนที่ใหม่มาใช้ระวางแผนที่เหลือเพียง 3 ไร่ และมีลักษณะคล้ายกับป่าที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลอง คือ มีการกล่าวหาผู้ที่บุกรุกว่าคือนายคำรณ คำมูล ซึ่งเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 40 แล้ว ขณะที่ผืนป่าถูกบุกรุกหลังจากที่นายคำรณ เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ทำให้พนักงานสอบสวนไม่สามารถสั่งฟ้องได้อีกตามเคย และทำให้ป่าสงวนแห่งชาติผืนใหญ่ถูกบุกรุกเหมือนเดิม
ปัจจุบันชุดสอบสวนฯได้สอบปากคำหัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้งใหม่อีกรอบ ปรากฏว่าครั้งนี้ได้กลับลำยืนยันว่าระวางแผนที่ที่ถูกต้องคือมีเนื้อที่ 60 ไร่ แต่น่าแปลกใจว่าหลังจากนั้นกลับไม่มีการแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกและไม่นำเจ้าหน้าที่เข้าไปยึดคืนผืนป่า ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ให้ข้อมูลเองว่าระวางแผนที่ที่มีการบุกรุกที่ถูกต้องคือ 60 ไร่ และหนังสือจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ระบุว่า มีการใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อเข้าครอบครองผืนป่าสงวนแห่งชาติ
กรณีนี้นายพิสิษฐ์ ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีต่อนายเป็ง คำวัง ซึ่งเป็นผู้ที่แสดงตนเป็นเจ้าของที่ดินโดยใช้เอกสารที่ดินปลอมในผืนป่าดังกล่าว หัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้ง เพราะปล่อยปะละเลยให้มีการบุกรุกยึดครอง จนทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและระเบียบวินัยของทางราชการ และพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่ไม่ดำเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา