xs
xsm
sm
md
lg

เปิดกลโกงขบวนการฮุบป่าเชียงราย (1)สวนหัวหน้าเอี้ยง ใช้เล่ห์สวมคนตายเป่าคดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดำรงค์ พิเดช
คดีรุกป่าเชียงรายทั้งกรณีบุกรุกพื้นที่สวนป่าแม่สลอง และบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติที่กิ่วทัพยั้งที่ทำกันเป็นขบวนการ เคยฮือฮามาก่อนแล้วก็เงียบหายเป็นระยะไปตามยุคของผู้มีอำนาจได้กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยรอบนี้คณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ลงพื้นที่รื้อและพลิกคดีขึ้นใหม่ มีความคืบหน้าถึงขั้นใกล้จะแจ้งความเอาผิดกับขบวนการที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง รายงานเรื่อง “เปิดกลโกงขบวนการฮุบป่าเชียงราย” จะนำเสนอถึงเล่ห์กลนานัปการของการใช้อำนาจเพื่อฮุบทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายผู้ทำคดีระหว่างที่ตนมีอำนาจ การร่วมมือกันปลอมเอกสารราชการ การใช้อำนาจอนุมัติเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เอกชน รวมไปถึงกรณีเอาคนตายมาสวมเพื่อทำให้คดีตกไป ฯลฯ (รายงานชิ้นนี้มีความยาว 3 ตอนจบ)


คณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กรณีบุกรุกพื้นที่สวนป่าต้นน้ำแม่สลอง และป่าสงวนแห่งชาติที่กิ่วทัพยั้ง อันเป็นคดีครึกโครมที่เคยมีการสอบสวนเพื่อเอาผิดมายาวนานก่อนหน้านี้ แต่ทว่ามักมีเหตุทำให้เรื่องราวหยุดชะงักไป ในรอบนี้คณะทำงานมีความคืบหน้าถึงขั้นเตรียมจะกล่าวโทษดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมอยู่ด้วยหลายราย

สำหรับกรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก (สวนป่ากิ่วทัพยั้ง) อ.เมือง จ.เชียงราย มีการเสนอให้ดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้อง 3 รายที่น่าสนใจมากเพราะหนึ่งในนั้นยังรับราชการในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นามว่า นายดำรงค์ พิเดช

นายดำรงค์ พิเดช เคยโด่งดังมากในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่เป็นมือไม้ใกล้ชิดกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นข่าวใหญ่เนื่องจากทันทีที่รับตำแหน่งก็ใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกรมแบบล้างบาง ดึงคนใกล้ชิดตัวเองเข้ารับตำแหน่งสำคัญแบบเติบโตก้าวกระโดด

พื้นที่ตรวจสอบที่คณะกรรมการสืบสวน เชื่อว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติแปลงหนึ่ง มีขนาด49-2-64.88 ไร่ซึ่งเดิมที่ตรวจพบรอบแรกแปลงสภาพเป็นสวนลิ้นจี่ เป็นที่ดินซึ่งชาวบ้านหมู่บ้านแม่ข้าวต้มเรียกขานว่า “สวนหัวหน้าเอี้ยง” ซึ่งช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจที่ นายดำรงค์ พิเดช รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ก็มีชื่อเล่นว่า “เอี้ยง” พ้องกัน

นายดำรงค์ พิเดช เคยเป็นป่าไม้จังหวัดเชียงราย และ ป่าไม้เขตเชียงราย รับราชการในพื้นที่มายาวนานก่อนจะกระโดดขึ้นเติบโตในกรุงเทพฯ ในยุคที่ ส.ส.จากเชียงรายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ช่างน่าประหลาดใจที่ระหว่าง นายดำรงค์ พิเดช ดำรงตำแหน่งใหญ่นั้นคดีนี้เงียบหายไประยะหนึ่ง

เจ้าหน้าที่เชื่อว่า “สวนนายเอี้ยง” ที่รุกป่าสงวนแห่งชาติน่าจะเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจในกรมป่าไม้(เดิม) และในกรมอุทยานฯ เพราะจากการลงพื้นที่สอบปากคำชาวบ้านหลายปาก สอดคล้องกันเช่น นาง ค. (สงวนนามจริง) บอกว่าเพื่อนบ้านชื่อ ส.(ขอสงวนนามจริง) เคยชักชวนให้รับจ้างในที่ดินของนายเอี้ยงที่กำลังปลูกสวนลิ้นจี่ ชาวบ้านคนนี้บอกว่าแปลกใจที่นายเอี้ยงครอบครองที่ในเขตป่าได้แต่ชาวบ้านครอบครองไม่ได้

ขณะที่ นาย ก. (ขอสงวนนาม) ให้การว่า ทราบว่าที่ตรงนี้เป็นป่าสงวนแห่งชาติมีป้ายปักไว้ชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ปลูกไม้พะยูงไว้จำนวนมาก ต่อจากนั้นที่ป่าสงวนก็กลายเป็นสวนลิ้นจี่ของนายเอี้ยง และยังปลูกบ้านพักขึ้น 3 หลัง ชาวบ้านอีกคนหนึ่งยังเล่าว่า ตนเคยขุดสระในไถเกรดที่ดินปรากฏมีหัวหน้าป่าไม้ชื่อนายเอี้ยง มาห้ามบอกว่าเป็นเขตป่าสงวน บางคนยืนยันว่า พบเห็นรถกระบะติดตราป่าไม้เข้าออกในที่ดินดังกล่าวเสมอ

ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก ถูกกันออกมาเป็นสวนป่าเมื่อ พ.ศ. 2547

เรื่องราวของแฟ้มคดีนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2547 เมื่อมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชื่อ ทนงศักดิ์ ธรรมโม หัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้งออกตรวจสอบแนวเขตป่าและพบว่ามีการบุกรุกที่ป่าสงวน มีการก่อสร้างบ้านพัก 4 หลัง สระน้ำขนาดใหญ่ 1 ลูก จึงเข้าไปตรวจยึดและร้องทุกข์ดำเนินคดีนี้ที่ สภ.เมือง จ.เชียงราย ในเวลานั้นนายดำรงค์ พิเดช พ้นจากตำแหน่งป่าไม้เขตในพื้นที่เป็นผู้อำนวยการอยู่ที่กรมป่าไม้ในกรุงเทพฯ

เรื่องราวยอกย้อนซ่อนเงื่อน ใช้ทั้งอำนาจและเล่ห์กลก็เริ่มจากตอนนั้น โดยทันทีที่ นายดำรงค์ พิเดช ขึ้นเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ เมื่อปี 2548 ก็มีการโยกย้ายข้าราชการแผงใหญ่โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและคดีนี้ก็เงียบหายไป

จนกระทั่งเมื่อปี 2550 อำนาจเปลี่ยนอีกครั้งกรมป่าไม้รื้อคดีนี้ขึ้นมา โดยตั้งให้ นายสุนทร วัชรกุลดิลก เจ้าหน้าที่บริหารงานป่า 8 (ในขณะนั้น) เป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

แต่ก็นั่นเองรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับการขนานนามว่าขิงแก่ เป็นยุคที่ถูกวิจารณ์ว่าข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือและใส่เกียร์ว่างเพื่อรออำนาจที่แท้จริงกลับคืนมา จึงดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการอย่างจริงจังมากนัก

นายสุนทร วัชรกุลดิลก ที่ได้รับแต่งตั้งมีบทบาทสูงมากในช่วงปี 2548-2549 เช่น เคยนำกำลังป่าไม้เข้าตรวจสอบไร่และศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ ต.นางแล อ.เมือง เชียงราย นำผู้สื่อข่าวไปตรวจอ้างว่าเป็นที่ดินของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และอาจจะมีไม้สักจากที่ข้างเคียงไปปลูกสร้าง แต่ปรากฏว่าแท้จริงเป็นที่ดิน ส.ป.ก.ซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นเจ้าของ แต่ในเวลานั้นข่าวที่ออกมาเหมือนกับว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ลักลอบตัดไม้สักและรุกล้ำที่ป่าไปแล้ว

ผลการสอบของนายสุนทร วัชรกุลดิลก กลับออกมาเป็นหน้ามือ-หลังมือจากที่หัวหน้าสวนป่ากิ่วทัพยั้งสอบ เพราะบอกว่าเป็นที่เอกสารสิทธิ และอยู่นอกเขตป่าสงวนฯจำนวน 38-3-2 ไร่ เจ้าของชื่อ นายเป็ง คำวัง ส่วนอีก 9-0-98 ไร่ที่เหลือบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนจริง

คณะกรรมการชุดนี้ระบุว่า คนที่ครอบครองที่ดิน 9 ไร่ที่รุกป่าสงวนฯ (แต่เป็นสวนลิ้นจี่ที่ชาวบ้านเรียกว่าสวนนายเอี้ยง) ชื่อนาย คำรณ คำมูล

และที่สุดคดีสวนนายเอี้ยงจำนวน 49 ไร่บุกรุกป่าสงวนก็จบลงแบบห้วน ๆ เพราะเมื่อเรื่องขึ้นไปถึงชั้นอัยการก็มีคำสั่งให้ยุติดำเนินคดี เพราะผู้ต้องหาบุกรุกป่าสงวนชื่อว่า คำรณ คำมูล นั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว

สวนนายเอี้ยง จึงกลับสู่ความปกติสุขยังคงเป็นสวนลิ้นจี่ที่กว้างขวางท่ามกลางป่าสงวนฯ มาตั้งแต่ปี 2550 หลังจากรัฐบาลสุรยุทธ์ หมดอำนาจลง

อย่างไรก็ตามเทคนิคการตั้งกรรมการสอบโดยจับคนที่เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2540 มาอุปโลกน์เป็นผู้บุกรุกเขตป่าในครั้งนั้นกลับกลายมาเป็นหอกสนองกลับผู้เกี่ยวข้องเพราะ คณะกรรมการการสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 5 ได้รื้อประเด็นและพบปมกระทำผิดใหม่

ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันบังเกิดขึ้นที่สวนนายเอี้ยงอีกครั้ง ได้มีผู้นำรถไถมารื้อถอนต้นลิ้นจี่และปลูกต้นยูคาลิปตัสเต็มแปลง เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่สวน ด้านหน้าติดป้ายขนาดใหญ่อำพรางว่า “ห้ามเข้า ที่ส่วนบุคคล - เจ้าของสวนลุงเป็ง” พร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ แต่ชาวบ้านแม่ข้าวต้มก็ยังคงเรียกชื่อที่ดังกล่าวว่าสวนหัวหน้าเอี้ยง หรือ สวนนายเอี้ยงเช่นเดิม

การสืบสวนได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ที่ดินว่า ไม่เคยมีการรังวัดแนวเขตหรือออกเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งขัดกับการสอบสวนของกรมป่าไม้เมื่อปี 2550 ที่ได้อุปโลกน์คนตายขึ้นมารับและยังอ้างว่าเป็นที่มีเอกสารสิทธิ์เป็นส่วนใหญ่

คณะกรรมการของตำรวจภูธรภาค 5 เสนอให้แจ้งความเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง 3 รายดังนี้

1. นายดำรงค์ พิเดช อดีตป่าไม้จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ

2. นายเป็ง คำวัง ผู้แจ้งกับสาธารณะว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีเอกสารสิทธิ

3. เจ้าหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ และใบเสร็จรับเงินกรมที่ดิน

โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

(อ่านตอน 2-เล่ห์ป่าไม้-ที่ดินร่วมเอกชนฮุบสวนป่าราชการ).
กำลังโหลดความคิดเห็น