xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” กับ ก้าวที่กล้า ขอเอาชีวี พิทักษ์ราชัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปี 2517 ….สนธิเริ่มต้นทำงานครั้งแรกในตำแหน่ง AE ที่บริษัท แอชโซซิเอทเต็ด คอมมิวนิเคชั่น(ACC) ด้วยเงินเดือน 7,800 บาท หลังจบปริญญาโททางประวัติศาสตร์จาก Utah State University สหรัฐอเมริกา

ปี 2518...เขาเริ่มสัมผัสกลิ่นอายทางการเมืองเป็นครั้งแรก จากการเข้าไปช่วยงานการเมือง “ดำรง ลัทธพิพัฒน์” อดีตรัฐมนตรีช่วยการการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ในการออกแบบโปสเตอร์หาเสียง

แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ลาออกและเริ่มต้นชีวิต “คนข่าว” ครั้งแรกที่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยและคราวนี้อยู่ยาวถึง 1 ปี ก่อนที่จะลาออกไปร่วมงานกับ “พร สิทธิอำนวย” แห่ง PSA ที่นิตยสารยานยนต์ พร้อมทั้งทำคลอดหนังสือผู้หญิงชื่อ “ดิฉัน” และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ Business Times

ปี 2526...สนธิเริ่มก่อตั้ง “อาณาจักรผู้จัดการ” ด้วยการออกนิตยสาร “ผู้จัดการรายเดือน” และขยายไปเป็นผู้จัดการรายสัปดาห์ ผู้จัดการรายวัน ทำโครงการดาวเทียมในประเทศลาว กระทั่งกลายเป็น “เจ้าพ่อสื่อ” ที่ได้รับการกล่าวขานไปทั่วโลก แต่สุดท้ายก็ต้องประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ จนนำไปสู่การล้มละลาย ทว่า เขาก็สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ

ปี 2548...หลังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดจากช่อง 9 อสมท. สนธิตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมด้วยการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่หอประชุมเล็ก ม.ธรรมศาสตร์ จนสามารถสร้าง “ปรากฏการณ์สนธิ” และพัฒนากลายเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”

6 ตุลาคม 2552...สนธิ ลิ้มทองกุล ตัดสินใจรับตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่” เพื่อนำทัพพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลงสู่สนามการเลือกตั้ง

วันนี้ เขาจะมาเปิดใจถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ในชีวิตครั้งนี้


-ทำไมคุณสนธิถึงตัดสินใจรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และเคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตของตัวเองจะเดินทางมาสู่เส้นทางสายนี้?
ไม่เคยคิดและไม่อยากเป็นด้วย แต่จำเป็นต้องเป็น การรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมันไม่ได้ต่างจากการที่ลุกขึ้นมาสู้กับทักษิณ(ชินวัตร) ครั้งแรก เพราะตอนนั้นมันไม่มีใครลุกขึ้นมาสู้ เราเห็นว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป ถ้าเมืองไทยมีแต่คนไม่กล้า เมืองไทยไปไม่รอด หรืออาจจะเป็นเพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่กลัวที่จะยืนอยู่บนความถูกต้อง ดูจากประวัติการต่อสู้ของผมมาไม่ว่าจะเป็นสมัยพฤษภาทมิฬที่เอาสื่อมวลชนออกมาสู้ มีเพียงฉบับเดียวที่ลุกขึ้นมาสู้ สู้แล้วโอกาสที่จะล้มไปหมดทุกอย่าง สูญเสียทั้งหมดก็ไม่แคร์ เพราะมีความรู้สึกว่า ถ้าไม่สู้แล้วมันตอบคำถามตัวเองไม่ได้

นิสัยแบบนี้ ไม่ใช่เพิ่งมี มันมีตั้งแต่เด็กแล้ว สมัยเรียนอยู่โรงเรียนประจำก็เป็นคนที่พร้อมที่จะชกกับคนตัวใหญ่ตลอดเวลาถ้าคนตัวใหญ่ไปรังแกเด็กตัวเล็กกว่า ผมจะนำทีมชกเลย มีแม้กระทั่งไปตีกับนักเลงที่ตลาดศรีราชา เหตุผลเพราะว่าเพื่อนโดนรังแก ทั้งๆ ที่คนที่มาตีเป็นตังเกอยู่ร้านสนุกฯ จนกระทั่งโดนลงโทษหนักหนาสาหัสสากรรจ์

คือผมดูเป็นคนติ๋มๆ แต่ว่าเวลาสู้แล้ว ภาษานักเลงเขาเรียกว่าเป็นคนที่กล้าที่จะเผาแบงก์ห้าร้อยหาเหรียญสลึง คือเป็นไงเป็นกันไม่แคร์

ทีนี้ พอไปสู้กับทักษิณในช่วงแรก ปัญหาอุปสรรคในการสู้กับทักษิณมันมหาศาล ก็มีการกล่าวหาอย่างเช่นเป็นเพื่อนทักษิณมาก่อนแล้วมีความขัดแย้งทางธุรกิจ ขออะไรแล้วเขาไม่ให้หรือเปล่า ข้อกล่าวหาแบบนี้จะมีเยอะ ปีแรกของการสู้เป็นปีที่ยากเย็นมาก เพราะว่าต้องอดทนหนักแน่น กระบวนการใส่ร้ายป้ายสีเยอะมาก เยอะจริงๆ แต่ว่าโชคดีอย่างที่ผมเป็นคนที่นิ่งและไม่ใส่ใจ คือผมเป็นคนที่ถ้าผมมีเป้าที่จะทำอะไรแล้วเนี่ย ขอให้ผมมีความเชื่อมั่นว่า ถ้าสิ่งที่ผมทำถูกหลังจากพิจารณาแล้ว ผมจะเดินหน้าต่อไป เหมือนในช่วงชุมนุมช่วงแรกปี 2548-2549 ที่มีนักข่าวชอบถาม คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตว่า จะมีคนมาร่วมชุมนุมกี่คน ผมจะตอบตลอดเวลาและเหมือนเป็นมาตรฐานคำตอบของผมว่า จะมา 1 คนผมก็จะชุมนุมเพราะผมเชื่อในสิ่งที่ผมทำ

อย่าลืมว่า สมัยที่ผมสู้กับคุณทักษิณ คุณทักษิณมีทุกอย่างนะ มีอำนาจล้นฟ้า เป็นนายกรัฐมนตรี คุมตำรวจ คุมทหาร คุมอัยการ คุมหมด คุมนักธุรกิจ คุมทุกอย่าง เทียบอะไรไม่ได้เลย คือเขาเหมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็กและผมเหมือนแมลงวันตัวหนึ่งที่บินชนผนังทองแดง บินชนเท่าไหร่ก็ไม่สะเทือน แต่ก็สู้ แล้วผมก็โดนวิชามารมาตลอด โดนทุกเรื่อง ไม่ว่าจะโดนคดีความ ซึ่งหลายๆ คดีก็ต่อเนื่องมาถึงวันนี้ โดนทำซีดี ทำหนังสือใส่ร้ายป้ายสีผม คือถ้าใจไม่แน่น ไม่เข้มแข็งสติแตกไปแล้ว แต่เผอิญใจมันแข็ง มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ก็เลยอยู่รอด

แม้กระทั่งการมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในครั้งแรกก็ต้องยอมรับว่า ยกเว้นพี่ลอง(พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) นอกนั้นแล้ว ทั้งพี่พิภพ(ธงไชย) พี่สมศักดิ์(โกศัยสุข) อาจารย์สมเกียรติ(พงษ์ไพบูลย์)เองก็ไม่ไว้ใจผม เพราะว่าไม่รู้ว่าผมเป็นคนประเภทไหน ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวไปจนกระทั่ง 19 กันยา จึงเข้าใจว่าผมเป็นคนที่บริสุทธิ์จริงๆ ผมสู้โดยไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มาวันนี้ เรา 5 คนก็เลยเหมือนคนซึ่งเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรา 5 คนแตกแยกกันได้แล้ว

การเมืองใหม่ ผมเป็นคนเชื่อมั่นในการให้ปัญญาคน ผมเองเป็นคนซึ่งคัดค้านตอนแรกหลังจากชุมนุมเสร็จ 193 วันแล้วบอกว่าให้มีพรรคการเมือง ผมเป็นคนที่ไม่เห็นด้วย คุณสุริยะใสอยากได้ หลายๆ คนอยากได้ แต่ในที่สุดมันก็มีเหตุผลพอสมควร เหตุผลก็คือว่า ที่ผมมองว่าไม่ควรมีเพราะผมยังคิดว่าผมยังฝากผีฝากไข้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ผมให้ความหวังกับพรรคประชาธิปัตย์มาก แต่ผมก็มาผิดหวังกับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณอย่างยิ่งยวดที่แกเป็นคนใช้ไม่ได้เลย นอกจากจะไม่รู้ที่มาที่ไปว่าการที่มีวันนี้ได้เพราะพวกเรานะ แกยังเป็นคนที่อยู่ในข่ายที่เรียกว่าเนรคุณคน แกพูดจาแบบนักการเมืองรุ่นโบราณ ผมก็เลยเริ่มเอนเอียงว่าน่าจะมีเครื่องมือของเราที่จะเอาไปสู้

แต่ความคิดตอนนั้นเป็นความคิดที่ค่อนข้างที่จะมองว่า พรรคการเมืองที่จะเกิดขึ้นนั้นต้องเป็นพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะไม่ไปฝากผีฝากไข้กับคนอื่นแล้วเราไปสนับสนุนเขา คือเราต้องไปปั้นเองเหมือนกับที่เราสร้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคการเมืองต้องเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ทีนี้ คำถามก็คือแล้วใครจะเป็นหัวหน้าพรรค

ผมก็บอกคุณสุริยะใสไปว่า พรรคนี้จะลำบากที่สุดในช่วงตั้งปีแรก ช่วงก่อตั้งเราจะหืดขึ้นคอเลยเพราะต้องโดนวิชามารสารพัด ต้องสู้ชนิดเลือดตาแทบกระเด็นก็ต้องไม่ถอย แล้วก็ต้องเป็นคนที่พี่น้องพันธมิตรฯ ยอมรับด้วย ไม่ใช่จู่ๆ ไปเอาคนนอกมา เพราะจะไม่สามารถรวมกำลังเป็นหนึ่งเดียวได้ เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมันมีบุคลิกอย่างหนึ่งซึ่งภาคประชาชนอื่นจะไม่มี คือความคิดอิสระของแต่ละกลุ่มมีมาก ไม่มีใครปกครองใครได้แบบสั่งได้เลย ไม่มี มีแต่ศรัทธากับไม่ศรัทธา แล้วถ้าศรัทธาก็ศรัทธาจริงๆ ในขณะเดียวกันถ้าเสื่อมศรัทธาก็เสื่อมจริงๆ ไม่ต้องยกตัวอย่างชื่อก็ได้ เพราะมีคนๆ หนึ่งที่พันธมิตรฯ เคยศรัทธาแล้วพอมาเจอเรื่องบางเรื่องก็หมดศรัทธาไปเลย

ผมก็บอกสุริยะใสไปว่า ให้ไปหาคนแบบนี้ ก็คิดในใจตอนนั้นว่า อย่างน้อยต้องเป็นระดับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เพราะต้องสะท้อนภาพของความเป็นนักสู้ ซื่อสัตย์ เงินซื้อไม่ได้ ตรงนี้สำคัญ

ผมยอมรับว่า ผมเคยคุยกับ พล.ต.จำลอง ท่านก็ไม่ปฏิเสธทีเดียว แต่ไปๆ มาๆ แล้วในที่สุดมันก็ถูกโยนกลับไปหาว่า ถ้างั้นให้ประชาชนที่เป็นพันธมิตรฯ ตัดสินดีกว่าว่าเราควรจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ตั้ง พอให้เขาตัดสินในการประชุมที่ธรรมศาสตร์ เขาลงมติ 80กว่า% ที่จะให้ตั้งพรรคได้ เขามีความรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกันหมดเลยว่า ถ้าพันธมิตรฯไม่มีเครื่องมือไม่ได้

พวกเราคิดว่า ถึงแม้จะมีพรรคการเมือง แต่ว่าพรรคการเมืองจะไม่แยกจากภาคประชาชน พรรคการเมืองจะอยู่ใต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็คือว่าพันธมิตรฯ นั้นคุมพรรคการเมือง แล้ว ASTV ก็จะเป็นเครื่องมือของพันธมิตรฯ ของภาคประชาชนในการที่จะมาตรวจสอบพรรคการเมือง
พอลงคะแนนมาอย่างนั้นปังปั๊บ เผอิญในคำถามที่แจกให้กับประชาชน 5 หมื่นชุด มีว่า ถ้าเลือกหัวหน้าพรรค ประชาชนจะเลือกใคร 70% บอกว่าเลือกผม ตรงนี้ต่างหากที่เป็นตัวบังคับผม เพราะว่าถ้าไม่มีการประชุมพันธมิตรฯ แล้วถามว่าจะให้ตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ ผมยังปฏิเสธได้ แต่ดันไปมีประชุมแล้วถามประชาชน พอถามประชาชน ถ้าประชาชนเลือกผมแล้วผมไม่ยอมรับ ก็จะมีคนอยู่ไม่น้อยก็จะหันกลับมาถามผมว่าแล้วจะตั้งพรรคไปทำไม

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือว่า ชีวิตผมเดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้เป็นเจ้าของนะ ผมมีรูปแบบชีวิตที่ผมต้องสู้ แล้วผมสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอาบเลือดมา เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย จนประชาชนเขามีความศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวผม ผมทำให้เขาผิดหวังไม่ได้ ไม่มีสิทธิเลย ทั้งๆ ที่บางครั้งผมเจ็บปวดมาก ไม่ใช่ผมชอบ คือชีวิตผมหมดไปแล้วนะตอนนี้ ผมกลายเป็นนายสนธิ ลิ้มทองกุลที่ไม่มีสิทธิกำหนดชีวิตผมเองเลยแม้แต่นิดเดียว ผมทำได้อย่างมาก็คือเดินทางไปต่างประเทศ ไปพักผ่อน แม้กระทั่งไปพักผ่อนก็ยังต้องไปทำงาน ไปพูดให้พี่นองที่ต่างประเทศฟังอีก ไม่มีสิทธิที่จะไปนั่งกินข้าวเงียบๆ

ที่ทำงานบ้าน บ้านที่ทำงาน มีอยู่แค่เนี่ย สมัยก่อนผมชอบไปเดินซื้อหนังสือ ผมก็เดินไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วจุดเปลี่ยนผมมันอยู่ตรงนี้ เมื่ออยู่ตรงนี้แล้วผมไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากเป็น แต่ผมต้องเป็น ส่วนหนึ่งก็เพราะประชาชนต้องการให้ผมเป็น อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า มีคนอยู่ไม่น้อยรวมทั้งแกนนำทั้ง 5 คนเห็นว่า ในช่วงตั้งไข่นั้น ผมจะเหมาะกับการที่จะมาควบคุมไข่อันนี้ไม่ให้มันล้มและแตก อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่าผมมีบารมีมากพอที่จะประสานกลุ่มแต่ละกลุ่มได้

คืออย่างที่ผมพูดให้ฟังว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ทุกๆ กลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่มีความคิดที่เป็นอิสระ ไปสั่งเขาไม่ได้ แต่ว่าความศรัทธา ความเชื่อมั่นในตัวผม พวกเขามี เพราะฉะนั้นเขายินดีที่จะฟังผม อาจจะฟังเพียงครั้งเดียว(ยิ้ม)นะ ต่อไปอาจจะไม่ฟังก็ได้ ผมไม่รู้

อีกประการหนึ่ง ผมมีความรู้สึกว่าโลกเปลี่ยนไปเยอะ ผมมีความรู้สึกว่าผมเป็นคนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก แล้วผมสามารถที่จะบูรณาการตัวผมได้ทุกระดับ ตั้งแต่บนลงล่างสุด ผมสามารถนั่งกินข้าวเหนียวไก่ย่างจิ้มแจ่วได้

ในบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัว พี่ลองเป็นนักสู้ เป็นนักปฏิบัติธรรมและเป็นคนที่ยึดถือหลักพระธรรมวินัย คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พี่พิภพก็หนักไปทางการศึกษาอย่างเดียว กับเรื่องเด็ก อาจารย์สมเกียรติก็เกษตรกร คนจน พี่สมศักดิ์ก็แรงงาน ไอ้ผมเนี่ยมันเข้าใจหมด ผมเข้าใจในสิ่งที่พี่พิภพสู้มา เขาใจในสิ่งที่อาจารย์สมเกียรติสู้มา เขาใจในสิ่งที่พี่สมศักดิ์สู้มา เข้าใจในการเอาธรรมนำหน้า ผมก็เลยกลายเป็นคนที่บูรณาการได้ทุกเรื่อง อีกอย่างหนึ่ง ผมก็เป็นคนที่อยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง โลกของเทคโนโลยี มันก็เลยกลายเป็นว่า เขาก็มองว่าผมเหมาะที่สุด เพราะผมสามารถที่จะพูดกับวงการธุรกิจได้ แต่ขณะเดียวกันผมก็เข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร และผมก็เห็นใจพี่น้องกรรมกรที่ไม่เคยมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก มันก็เลยเป็นไฟต์บังคับผม

ส่วนผมจะเป็นนานแค่ไหนนั้น ผมยืนยันได้เลยว่า ผมเป็นคนไม่ยึดติดแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์ และผมก็ถือว่าผมไม่ผิดสัจจะที่บอกว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง การเป็นหัวหน้าพรรคไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ถ้าตราบใดที่ผมไม่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ได้ลงสมัคร แต่เป็นหัวหน้าพรรคที่จะนำธงชูธง การเมือง ผมไม่ได้เสียสัจจะอะไรทั้งสิ้น

-แสดงว่า คุณสนธิจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ยังไม่รู้ ลงสมัครไม่ลงสมัครไม่มีความหมาย ความหมายก็คือเราพร้อมไหมที่จะชูธงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ สำคัญมากกว่า

-แนวทางการทำงานของพรรคและเป้าหมายของพรรคในช่วงนี้ คุณสนธิวางไว้อย่างไรบ้าง
ผมคิดว่า สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ ท่ามกลางความเน่าเฟะ การฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงกินชาติบ้านเมือง การทำลายชาติด้วยการที่ไม่จริงใจในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การไม่ใส่ใจในเรื่องของหลักศาสนา มันเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง ผมคิดว่าแนวทางที่สำคัญที่สุดที่ต้องมีคือความเสียสละ เสียสละเป็นเรื่องสำคัญมากนะ คนที่เน้นเรื่องเสียสละจริงๆต้องให้เครดิตพี่ลองและพ่อท่านโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก

สิ่งที่พี่ลองพูดมาและผมเห็นด้วยก็คือ คนที่จะเข้ามาเล่นการเมืองต้องเสียสละ ต้องมารับใช้สังคม คนที่เข้ามารับใช้สังคมจะเข้ามากอบโกยได้ยังไง แต่ปรากฏว่า ทุกพรรคมี ส.ส.ที่เข้ามาเพื่อกอบโกย เพราะฉะนั้นแล้วมันผิดทำนองคลองธรรม ด้วยเหตุนี้ ผมตั้งมั่นเลยว่า พรรคการเมืองใหม่คนที่เข้ามาเล่นการเมืองต้องเสียสละ แล้วที่สำคัญต่อมาคือซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์กับสังคม ซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมือง ซื่อสัตย์ต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ อันนี้สำคัญมาก เพราะคนๆ นี้ถ้าเขาไม่เสียสละแล้วเขาก็ไม่ซื่อสัตย์ แต่ถ้าเขาเริ่มด้วยการเสียสละ เขาก็จะซื่อสัตย์ จะเห็นได้ว่า พวกนี้มันมีหลายห่วงโซ่ที่มันคล้องเข้าหากัน

อีกอันหนึ่งคือความกล้าหาญ ปัญหาสำคัญที่สุดของชาติบ้านเมืองคือ เราขาดนักการเมือง ข้าราชการที่มีความกล้าหาญ ความกล้าหาญนี่ผมรู้ดี ก็เพราะสังคมขาดคนกล้าหาญที่จะมาสู้กับคุณทักษิณไง ผมเลยต้องลุกขึ้นมาสู้ ผมก็เลยรู้ว่า ความกล้าหาญนั้นมันต้องเจ็บตัว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเราไม่มีซึ่งตรงนี้เราจะลำบาก คือความกล้าหาญ ดังนั้น 3 ตัวนี่มันรวมกันไว้หมดเลย เสียสละ ซื่อสัตย์และกล้าหาญ และนี่คือคุณสมบัติของพรรคการเมืองใหม่

หรือคุณจะถามว่า นโยบายมีอะไรบ้าง นโยบายนี่แทบจะไม่มีความหมายเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนโยบายอะไรก็ตามที่ขาดคนซึ่งจะเข้ามาทำด้วยความกล้าหาญ ทำด้วยความซื่อสัตย์ ทำด้วยความเสียสละ กล้าที่จะเปลี่ยนโดยไม่ยึดติดกับผลประโยชน์ ก็จะไม่มีความหมายเลย เหมือนอย่างวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล้าที่จะเปลี่ยนปตท.ไหม ก็ไม่กล้า เพราะตัวเองได้ผลประโยชน์จากปตท. ต้องกล้าที่จะตัดผลประโยชน์ทิ้ง แล้วเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง นโยบายอะไรก็ได้ ขอให้มีความซื่อสัตย์และกล้าหาญที่จะทำ

-อีกนโยบายหนึ่งคือทำงานเป็น
ถ้าคุณเอาคนที่ทำงานไม่เป็นเข้ามา ประเทศชาติบ้านเมืองจะฉิบหาย แล้วทำไมผมคิดว่าพรรคการเมืองใหม่ทำงานล่ะ พรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคการเมืองที่บริหารการจัดการการชุมนุมมาตั้ง 193 วัน ผ่านคมหอกคมดาบ ผ่านการตาย ผ่านการพิการ ผ่านการบาดเจ็บ บริหารคนเป็นหมื่นเป็นแสน บริหารจัดการในเรื่องของ รปภ. บริหารจัดการในเรื่องของการทำยังไงที่จะให้การเคลื่อนไหวมีชีวิตอยู่ มีประเด็นใหม่ๆ ออกมาสู้ ตลอดจนระดมทุนเพื่อมาหล่อเลี้ยงการชุมนุม แล้วการบริหารให้ ASTV สามารถมาถ่ายทอดการชุมนุมได้ 24 ชั่วโมง 193 วัน คุณคิดว่าทำได้สำเร็จนี่ ไม่มีฝีมือหรือ ต้องใช้ฝีมือ ต้องทำงานเป็น

เพราะฉะนั้นการทำงานเป็น สำคัญพอๆ กัน เพียงแต่อาจจะไม่สำคัญที่สุด แต่สำคัญ เพราะว่าถ้าคุณทำงานเป็น แต่คุณขี้โกง สังคมก็ไม่ได้อะไร ดังนั้นแล้วเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ต้องมาก่อน แล้วถ้าจะให้สมบูรณ์ต้องทำงานเป็น

-หลังจากที่คุณสนธิได้รับฉันทมติจากสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ให้เป็นหัวหน้าพรรค ก็มีเสียงเหน็บแนมมาจากพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คุณบรรหาร ศิลปอาชา รวมทั้งคุณทักษิณ ชินวัตร คุณสนธิมีความเห็นอย่างไร
ผมไม่ได้สนใจอะไรเลย ผมคิดว่าวันนี้ผมไม่ได้แข่งกับคุณทักษิณ ผมไปแข่งกับเขาไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาใช้เงินซื้อประชาชน พล.อ.ชวลิตท่านก็เป็นคนที่ไม่เคยมีจุดยืนทางการเมือง จุดยืนก็เพื่อตัวของท่าน คุณชวลิตกับคุณทักษิณเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า รวมทั้งคุณเฉลิม คุณบรรหาร เขาเข้าด้วยกันได้ การจะเหน็บแนมหรือไม่เหน็บแนม ทำหนังสือด่าผมยังไม่สนใจเลย เพราะผมเชื่อในสิ่งที่ผมทำ ผมกลับมองว่า พวกนี้เป็นพวกที่กำลังจะสูญพันธุ์ พล.อ.ชวลิตจะ 80 แล้ว ผมไม่รู้ว่าพล.อ.ชวลิตจะมาสมานฉันท์อะไร คุณทักษิณยังไม่ยอมรับแม้กระทั่งกติกาว่าตัวเองนั้นถูกคำพิพากษาจำคุก แล้วเราจะให้ความสำคัญกับเขาทำไม

พรรคการเมืองใหม่ ไม่ได้สู้กับใคร สู้กับตัวเอง ต้องสู้กับตัวเองว่า เรามีภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่จะทำประชาชนให้เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริงของการเมือง แล้วในการทำให้เข้าใจนั้น เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือการให้ปัญญาประชาชน พรรคการเมืองใหม่ต้องเป็นพรรคที่ให้ปัญญาประชาชน ผมถึงเน้นตลอดเวลาว่า อย่าถามว่าเราจะได้กี่ที่นั่ง ต้องถามว่า เราจะคงไว้ซึ่งอุดมการณ์ตลอดไปได้หรือไม่ และอะไรบ้างที่จะสามารถทำให้อุดมการณ์นั้นพังทลาย เราต้องหาทางป้องกัน

-จัดวางความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองใหม่กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างไร
เราไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะพรรคการเมืองใหม่มาจากฐานประชาชน ผมกล้าพูดได้ว่า เราเป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีประชาชน พรรคอื่นซื้อประชาชน เพราะฉะนั้นแล้วพรรคอื่นพอลงรับสมัคร ซื้อประชาชนเสร็จ พอประชาชนลงคะแนนเสียงให้ ประชาธิปไตยของประชาชนก็หมดแล้ว อย่างที่ผมเคยพูดและตั้งขึ้นมาว่า ประชาธิปไตย 4 วินาที ก็คือรับเงินเขามา 500 บาท 1,000 บาท เดินไปหยอดบัตรนับ 1 2 3 4 สิทธิตัวเองหมดแล้ว คนที่ซื้อประชาชนได้สิทธิเข้าไปนั่งในสภา เพราะฉะนั้นเขาจะทำอะไรก็ได้ ไม่เคยแคร์ประชาชน แต่ของเราทำไม่ได้ เพราะของเราเป็นพรรคที่เกิดจากประชาชน และพันธมิตรฯเป็นคนคุมพรรคเรา เพราะฉะนั้นถ้าคุณรับเลือกตั้งเข้าไปในสภาแล้ว ถ้าคุณทำไม่ดีพันธมิตรฯ ต้องถอดถอนคุณได้ ต่างกันตรงนี้ไง

-ทำอย่างไรในพรรคการเมืองใหม่ถึงจะไม่มีมุ้ง ไม่มีก๊ก มีเหล่า
ไม่มีวันมี ผมปล่อยให้มีไม่ได้ เพราะนี่คือภารกิจใหญ่ที่ผมต้องทำไง มันจะมีได้ยังไง เพราะประการแรก สมมติว่าเราเป็นรัฐบาล เงื่อนไขผมชัดเจน คนที่เป็น ส.ส.เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ เมื่อเป็นรัฐมนตรีไม่ได้คุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปซื้อเสียง รัฐมนตรีเราจะมาจากคนนอกหมด ส.ส.มีหน้าที่ทำงานทางนิติบัญญัติเต็มที่ จะเป็นประธานสภา รองประธานสภา ประธานกรรมาธิการก็ว่าไป แต่ไม่ใช่เข้ามาเป็น ส.ส.เพื่อเข้าไปอยู่ในมุ้งใคร มุ้งใด มุ้งหนึ่ง แล้วหัวหน้ามุ้งใช้เป็นเงื่อนไขในการต่อรอง แค่นี้ก็เปลี่ยนแล้ว

เพราะฉะนั้น คนที่เข้ามา เขาได้รับเชิญเข้ามา เขาไม่ต้องเสียเงิน เราก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร เรามีความรู้สึกว่า เฮ้ย คุณเหมาะกับงานนี้ คุณเอาไหม มาทำงานเพื่อชาติแต่เงื่อนไขมีนะ คุณต้องทำงานเป็น คุณต้องโปร่งใสนะ ถ้าคุณมีนอกมีในเราก็ปลดคุณได้

เงื่อนไขนี้ทุกคนที่เข้ามาสมัครต้องทราบหมด ถ้าใครไม่ยอมรับกติกานี้ ไม่ได้

-สำหรับรัฐธรรมนูญ 50 คุณสนธิมีความคิดเห็นอย่างไร ยังเชื่อมั่นหรือไม่ เพราะตอนนี้กำลังมีความพยายามที่จะแก้ไข
เป็นรัฐธรรมนูญที่ปราบปรามนักการเมืองที่ไม่ดี ผมไม่เดือดร้อนอะไรเลย (หัวเราะ) เราไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะมีการแก้ไขโดยมีการลงประชามติก่อนวาระ 1 ผมคงต้องยอมเขา เพราะเป็นเสียงประชาชน ถ้าประชาชนเห็นด้วยว่าควรแก้ ก็แก้ไป ผมไม่ว่า ถ้าลงคะแนนกันแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยแล้วชนะทางฝ่ายผม ผมยอมรับกติกานี้ เพียงแต่การลงประชามติต้องโปร่งใสนะ ผมขอให้โปร่งใสเท่านั้น

-มีความเห็นเรื่องการสมานฉันท์อย่างไร
ทุกคนต้องการสมานฉันท์ แต่ทุกคนไม่พูดถึงเรื่องถูกผิด ดีชั่ว แปลกมาก สังคมไทยมันเพี้ยนไปหมดแล้ว ให้คำจำกัดความในเรื่องของความดี ความชั่ว ความถูก ความผิดเสียก่อน ถามก่อนคำแรก คุณทักษิณ ผิดหรือถูก ผมว่าคุณทักษิณผิด เพราะศาลฎีกาตัดสินแล้วว่าคุณทักษิณผิด แต่คุณทักษิณไม่ยอมรับคำตัดสินอันนี้

ถ้าผมยอมคุณทักษิณ ถ้าพันธมิตรฯ ยอมคุณทักษิณ เท่ากับเรายอมแล้วว่า ใครก็ตามที่ผิด แต่ถ้ามีอำนาจเงิน มีอำนาจทางการเมืองก็สามารถแก้ผิดให้เป็นถูกได้ เราต้องเริ่มกันตรงนี้ก่อน เขาต้องตอบคำถามผมให้ได้ ซึ่งเขาก็ตอบมาว่า คุณทักษิณผิดก็เพราะว่า คมช.แกล้งให้ผิด แต่คุณทักษิณโดน ป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิดนะ แล้วกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 ร่างขึ้นมาสมัยคุณทักษิณมีอำนาจนะ คุณทักษิณก็จะบอกอีกว่า ศาลไม่ยุติธรรม แล้วที่ศาลยกฟ้องคดีกล้ายาง ศาลยุติธรรมไหม คือพอถึงจุดสุดท้ายเราต้องยอมรับว่า เราต้องใช้ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย ไม่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

ทีนี้สมานฉันท์กับคนพวกนี้ ถ้ามองว่า ประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง คนที่พูดไม่ได้ใช้สติ ไม่ได้ใช้วิจารณญาณ แล้วก็ไม่มีปัญญาในการวิเคราะห์เรื่องราว เขาไม่เคยมานั่งวิเคราะห์เลยว่า ฝ่ายเหลืองสู้เพื่ออะไร ฝ่ายผมคือพันธมิตรฯ สู้เพื่อส่วนรวมหมดเลย ไม่ได้สู้เพื่อนายสนธิ แต่ฝ่ายแดงนี่สู้เพื่อทักษิณคนเดียว เพื่อให้ทักษิณพ้นผิด เพราะฉะนั้นการป่วนชาติ ป่วนบ้านป่วนเมือง คุณไปดูได้เลยตามหลักฐานข้อเท็จจริง ฝ่ายคุณทักษิณเป็นคนป่วนตลอด ฝ่ายเหลืองไม่เคยป่วน แต่ถูกทำร้ายถูกทำลาย ถูกฆ่า เราสู้อยู่ประเด็นเดียวตั้งแต่ต้นคือการแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ที่เราไปล้อมสภานั้น เราไม่ได้มีอาวุธไปล้อม ไม่ได้เอาระเบิดไปขว้าง เราไม่ได้เผารถเมล์ แล้วก็ไม่ได้เอารถแก๊สมาวาง เราไม่เคยล้อมรถใคร เอาไม้ตีรถแล้วกระชากคนลงมา หลักฐานมีหมด เราไม่เคย ของเราคือคนที่ปัญญา มีวัฒนธรรม มีรากเหง้า มีที่มาที่ไป มีสติ แต่ของคุณทักษิณ เสื้อแดงชอบใช้ความรุนแรง ยั่วยุ ก่อเหตุ ทุกอย่างมีแต่เราถูกกระทำตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคนจะสมานฉันท์ระหว่างแดงกับเหลือง มาสมานฉันท์ในรูปแบบว่า อะไรที่ผิดก็ให้เลิกกันไปแล้วมาเริ่มต้นใหม่ มันไม่ถูกต้อง ผมไม่ยอม ยังไงผมก็ไม่ยอม ผมว่าเป็นความคิดที่โง่ ด้อยปัญญา และผมดูถูกคนที่พูดแบบนี้ด้วย คือไม่สามารถจะบอกได้ว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด คุณไปดูสิพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีเรื่องไหนบ้างที่เขาสู้ แล้วใครบางคนได้ผลประโยชน์ ไม่มี มีแต่เขาบาดเจ็บล้มตาย มีแต่เขาเสีย แล้วเขาพระวิหารนี่เขาสู้หรือเปล่า แถลงการณ์ร่วมถ้าไม่ใช่พันธมิตรฯแล้ว ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญจะพิพากษาโมฆะได้อย่างไร นี่คือความรักชาติ รักบ้านรักเมืองของเสื้อเหลือง เขาสู้เพื่อส่วนรวม เสื้อแดงสู้ทุกลมหายใจ สู้เช้าสายบ่ายเย็น สู้เพื่อทักษิณ ชินวัตร จะได้พ้นผิดแล้วได้กลับบ้าน แค่นั้นเองไม่ได้มีอะไรมากกว่า เพื่อไทยก็สู้เพียงแค่นี้ พล.อ.ชวลิตมาก็สู้เพียงแค่นี้ คุณเฉลิม อยู่บำรุงก็สู้เพียงแค่นี้เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย สู้เพราะว่าได้ผลประโยชน์มา การเมืองแบบนี้ต้องจบได้แล้ว

-คุณสนธิจะฝากบอกพล.อ.ชวลิต หรือ ร.ต.อ.เฉลิมก็ดีที่เรียกร้องถึงความสมานฉันท์ว่าอย่างไร และเขาควรจะทำอย่างไร
ถูกให้เป็นถูก ผิดให้เป็นผิด ยังไม่ทันไรเลยคุณเฉลิมก็บอกว่า เตรียมร่างกฎหมายนิรโทษกรรมไว้แล้ว ไม่ต้องมากังวลหรือเป็นห่วงเป็นใยว่าผมต้องติดคุก ผมยอมติดคุกถ้าผมต้องติด เพราะผมจะไม่เป็นเงื่อนไขของการนิรโทษกรรม ถ้าผมยอมติดทำไมคุณทักษิณไม่ยอมติดล่ะ

-คุณสนธิคือนักวิเคราะห์เหตุการณ์ที่แม่นยำคนหนึ่ง คุณสนธิมองสถานการณ์บ้านเมืองไทยในอนาคต 5-10 ปีนี้อย่างไร
ผมสรุปอย่างนี้ดีกว่า ยิ่งวันตัวตนที่แท้จริงของคนที่แอบๆ ซ่อนๆ อยู่ยิ่งโผล่ให้เห็น ผมเข้าใจว่าเดือนตุลา ประเทศไทยจะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดว่าใครยืนข้างถูก และใครยืนข้างผิด ทอดเวลาไปสักนิดก็จะเห็นชัดว่าจริงๆ แล้วประเทศที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ฝีมือใครกันแน่ แต่ก่อนเราเห็นคุณทักษิณ แต่ยังเห็นเครือข่ายทักษิณไม่ชัด วันนี้เราเริ่มเห็นเครือข่ายคุณทักษิณครบแล้ว มันมีเครือข่ายอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือเครือข่ายตรงอย่างที่เรารู้ ประเภทหนึ่งคือเครือข่ายประเภทเหยียบเรือสองแคมเหมือนอย่าง พล.อ.ชวลิต งานนี้ก็คงจะได้ผลประโยชน์อะไรบางอย่างถึงมา ผมอยากให้เปิดตัวกันให้หมดเลย

-ถ้ามีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น โดยเฉพาะตัวคุณสนธิ จะทำอย่างไร
อ๋อ ไม่เป็นไร ก็เลือกหัวหน้าพรรคใหม่ จะยากอะไรล่ะ กรรมการบริหารพรรคก็เหมือนกัน ใครติดปัญหาอะไรก็ถอยไป

-ตอนนี้คุณสนธิสวมหมวก 2 ใบ ใบหนึ่งคือแกนนำพันธมิตรฯ อีกใบหนึ่งคือหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ จะสร้างสมดุลตรงนี้ได้อย่างไร
ไม่ต้องสร้างอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับพรรคการเมืองใหม่เป็นเนื้อเดียวกัน ทำไมจะต้องสร้าง เราเคลื่อนไหวอยู่บนความถูกต้อง เอาธรรมนำหน้า เราเคลื่อนไหวเพื่อส่วนร่วม เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นฐานของความเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ เหมือนกันเป๊ะเลย จริงๆ มันมีหมวกใบเดียวเท่านั้นเองคือใบของความซื่อสัตย์ กล้าหาญ เสียสละและก็ทำงานเป็น

-ภารกิจแรกในทางการเมือง ประเด็นที่พรรคการเมืองใหม่จะขับเคลื่อนคืออะไร
ผมคิดว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำคือเราต้องจัดบ้านของเราให้เรียบร้อย เราเพิ่งสร้างบ้านใหม่ เพิ่งลงเสาก่อร่างสร้างบ้าน เราต้องจัดห้องให้เรียบร้อย จัดหน้าที่ว่าใครคอยขัดถูบ้าน ใครคอยทำครัว ใครดูแลสวน อันนี้เป็นสิ่งเริ่มแรกที่ต้องทำ แต่สิ่งที่ต้องควบคู่กันไปคือเราต้องให้ปัญญา ให้เพื่อนบ้าน ให้คนในหมู่บ้านเขารู้ว่า มีบ้านใหม่เกิดแล้วนะ เป็นบ้านที่อบอุ่น เป็นบ้านที่มีธรรมนำหน้า บ้านที่ยึดถือความดียืนอยู่บนความถูกต้อง ไม่ยอมทำผิด และไม่ประนีประนอมกับสิ่งที่เลวร้าย ถ้าใครอยากถือศีล 5 อยากเข้ามามีความสุข สุขทางกายและสุขทางใจให้มาบ้านหลังนี้ เปรียบเทียบกับบ้านหลังอื่นๆ ซึ่งกลางค่ำกลางคืนเปิดเป็นซ่องโสเภณี กลางวันก็เปิดเป็นคาราโอเกะ ดึกก็เปิดเป็นบ่อน ถ้าคุณเบื่อ คุณมาอยู่ที่นี่

-วิธีการต่อสู้ในการเลือกตั้งเพื่อจะเข้ามาสู่สภา วางเอาไว้อย่างไร
ผมมองว่า เราสู้ด้วยความขาวสะอาด เราอาจจะได้ ส.ส.น้อย แต่ประเด็น ส.ส.กี่คนไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ประเด็นคือเมื่อเราสู้แล้วเราต้องไม่ท้อ เรื่องนี้เป็นเรื่องระยะยาว สองเราต้องไม่ให้กิเลสมาครอบงำเรา อันนี้สำคัญมาก ขอให้มีแค่ ส.ส.เข้าไปจำนวนหนึ่ง แล้วส.ส.ของพรรคการเมืองใหม่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราเชื่อมั่นในอุดมการณ์เรา แล้วเราเชื่อมั่นในคุณงามความดีที่เราจะทำเพื่อสังคม เพราะฉะนั้นปริมาณไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรา คุณภาพต่างหาก แล้วผมกลับมองเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะว่า ถ้าเราเข้าไป แม้จะไม่กี่คนก็ตาม แล้วเราประพฤติปฏิบัติดี เราทำเป็นตัวอย่างให้เห็นข้อเปรียบให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างการเมืองเก่า การเมืองใหม่ในแง่ของพฤติกรรม ในแง่ของวัฒนธรรม ในแง่องค์ความรู้ ในแง่ปัญญา ในแง่ความกล้าหาญ ผมคิดว่าประชาชนจะค่อยๆ เห็น เหมือนกับการต่อสู้ของผมในปี 48 ตั้งกี่ปีกว่าสังคมและประชาชนจะยอมรับ แต่ว่าเมื่อเกิดแล้วหยุดไม่ได้ มันเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ไม่มีใครหยุดได้ ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่อธรรมจะชนะธรรมได้ ธรรมจะชนะทุกครั้ง เพียงแต่ธรรมนั้นกว่าจะชนะต้องใช้เวลา

-ในฐานะหัวหน้าพรรค คุณสนธิจะเดินสายหาเสียงเหมือนหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นๆ หรือไม่
เราจะมีทีมงานที่ออกไปปราศรัยไปพบปะประชาชน ผมอาจจะทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ แต่ขณะเดียวผมอาจจะทำหน้าที่ที่จะต้องไปตามที่ชุมนุมใหญ่ ไปให้กำลังใจคน ไปให้ความรู้คน คืออะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย และไม่ผิดต่อความรู้สึกของเรา แล้วเราชนะ ผมจะทำ จะเหนื่อยแค่ไหนก็จะทำ อันตรายแค่ไหนก็จะทำ

-อย่างพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน จะทำอย่างไร
เราก็ไปหมด จะได้เท่าไหร่เราไม่สนใจ แต่เราต้องไปปลูกฝังความคิดทางการเมืองใหม่ให้คนที่เขาไม่เคยรู้จักเรา ให้รู้จักเรา ครั้งนี้ไม่เป็นไร เราไม่ได้ แต่ครั้งหน้าเราอาจได้

-ในหนังสือต้องแพ้เสียก่อนจึงจะชนะได้ คุณสนธิเคยบันทึกเอาไว้ว่า เคยไปช่วยงาน “ดำรง ลัทธพิพัฒน์” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งครั้งนั้น น่าจะเป็นครั้งแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องทางการเมือง
นานมาก

-ประชาธิปัตย์ในยุคนั้นกับยุคนี้แตกต่างกันไหม
ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มั่นคงมาตลอดคือห่วยแตกมาตลอด ยังเป็นก๊กเป็นเหล่าเหมือนเดิม ยังหลงตัวเองเหมือนเดิม ยังใช้ปากทำงานเหมือนเดิม

-ส.ส.ของพรรคการเมืองใหม่ที่คุณสนธิไม่อยากเห็น
คือผมก็ไม่ได้รังเกียจคนเก่านะ ถ้าประวัติไม่ได้สีดำเลย ถ้าสีเทาแล้วก็พร้อมจะฟอกให้ขาวขึ้น เรารับเขา แต่เงื่อนไขอุดมการณ์ต้องตรงกัน ผมต้องคุยกับเขาชัดเจนเรื่องอุดมการณ์ ถ้าอุดมการณ์ไม่ชัดเจนผมก็ไม่เอา แต่ว่าถ้าเขาไปแล้วอุดมการณ์เปลี่ยนแปลง ผมก็พร้อมที่จะเล่นงานเขาทันที

-นอกจากคู่ต่อสู้ที่เป็นพรรคการเมือง มันยังมีกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มทหาร ที่เป็นพลังที่สำคัญในการขัดขวางพรรคการเมืองใหม่ด้วย
เขาก็ขัดขวางได้อย่างเดียวคือเขาต้องฆ่าพวกเราให้หมด ขัดขวางมากกว่านั้นเขาก็ขัดขวางไม่ได้ หรือเขาอาจจะสั่งทหารที่อยู่ในสังกัดเขาไม่ให้ลงคะแนนเสียงให้เรา นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซึ่งความจริงมันเป็นเรื่องที่ผิด แต่มันเป็นธรรมเนียมของการเมืองเน่าๆ ที่มีมานานแล้ว แต่ผมเองเชื่อว่า ทหารเองมีอยู่ไม่น้อยที่พัฒนาตัวเองมาเยอะ เป็นทหารอาชีพแล้วเขาเข้าใจดี ผมก็ได้แต่หวังนะ

-เมื่อตอนที่อยู่ในธุรกิจสื่อ คุณสนธิเคยให้สัมภาษณ์ Times เอาไว้ว่า “เมื่อผมตายลง ผมต้องการให้ชาวตะวันตกพากันพูดถึงว่า มีไอ้บ้าระห่ำชาวเอเชียคนหนึ่ง เป็นคู่ต่อสู้ที่สมเนื้อกับเขา ไอ้บ้าระห่ำนั้นชื่อสนธิ” ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ คุณสนธิอยากฝากอะไรเอาไว้บ้าง
การรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ครั้งนี้ ผมอยากจะฝากให้กับสังคมไทยได้รู้ว่า การเมืองดีๆ ยังมี ถ้าสังคมร่วมกันสร้างและมีความเชื่อมั่น แต่ต้องไม่ท้อ คือมันจะมีความคิดว่า ทำๆไม พรรคการเมือง เลือกตั้งครั้งแรกก็ไม่มีสิทธิเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว เราทำอะไรไม่ได้ ตรงนั้นเป็นทัศนคติของการยอมแพ้ตั้งแต่ต้น สิ่งที่ถูกต้องก็คือ มันไม่ไหวแล้ว เราต้องมาช่วยกันเปลี่ยน เปลี่ยนครั้งแรกเปลี่ยนได้นิดหน่อยก็ยังไง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราต้องใช้ความเพียร ความอดทน เพราะถ้าเราขาดซึ่งความเพียร ความอดทนแล้ว ชีวิตก็ไม่มีความหมาย เราก็ไม่ต่างจากพวกน้ำเน่าทั้งหลาย ก็เหมือนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยืนหยัดมาตั้งแต่ปลายปี 48 จนถึง 52 ก็เพราะเราเชื่อมั่นในความเพียร เราอดทน ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าพวกเรายืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง พื้นฐานความดี พื้นฐานจริยธรรม พื้นฐานศีลธรรม

-การต่อสู้ของคุณสนธิที่ทำในนามพันธมิตรฯ เมื่อเทียบกับการต่อสู้ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ มีข้อแตกต่างกันไหม
มันหนักหนาสาหัสพอๆ กัน แล้วในที่สุดก็ยังต่อสู้กับคุณทักษิณเหมือนเดิม ผมต้องสู้กับคุณทักษิณซึ่งเป็นผู้วางแผนความวุ่นวายในประเทศชาติ แล้วผมต้องสู้กับความงี่เง่าของพรรคประชาธิปัตย์ ผมต้องสู้ 2 ศึก สมัยก่อนสู้ศึกเดียว สมัยนี้ต้องสู้ 2 ศึก

-คุณสนธิพร้อม
ถ้าไม่พร้อมคงไม่รับ ผมถือว่าเป็นภารกิจที่ประวัติศาสตร์ได้มอบหมายให้ผมต้องทำ ส่วนประชาชนถ้าไม่พร้อมเขาคงไม่สนับสนุนผมแบบนี้หรอก ถามว่าศึกที่รอข้างหน้าใหญ่หลวงไหม มันก็ไม่มีอะไรที่ใหญ่กว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนะ มันก็ผ่านมาหมดแล้วนะ ถ้ามันจะเป็นจุดหรือประเด็น คือผมคิดของผมเองนะว่า ทำไมต้องเป็นกู เท่านั้นเอง

-คุณสนธิเหนื่อยหรือยังกับการต่อสู้
เคยเหนื่อย เคยท้อ แต่พอมามองถึงสังคมไทยที่ไม่มีที่พึ่งเหมือนดั่งเช่นวันนี้ เห็นสุขภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ผมยิ่งต้องสู้มากเท่านั้น เพื่อทดแทนบุญคุณพระองค์ท่าน เพราะถ้าการเมืองมันดี สังคมมันดี นี่เป็นโอสถที่ดีที่สุดให้กับพระองค์ท่าน แล้วผมเชื่อว่าพระองค์ท่านมีความสุขมากขึ้น

-เรื่องการตั้ง ผบ.ตร. ถ้าเป็นคุณสนธิ จะตัดสินใจอย่างไร
ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์แกตัดสินใจก็ไม่ผิดนะ เพียงแต่ว่าแกผิดอยู่อย่างเดียวคือ แกปล่อยให้รัฐมนตรีมหาดไทย ปลัดมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแก รวมไปจนถึงเลขาฯ นายกฯ ซึ่งเป็นลูกน้องแกมาขัดขวางการตั้งผบ.ตร. ถ้าผมเป็นคุณอภิสิทธิ์ ผมจะต้องคุยกับทุกคน แล้วถ้าตกลงไม่ได้ ผมจะปรับครม. นี่คือความกล้าหาญ คุณจะให้รัฐมนตรีมหาดไทย ปลัดมหาไทย เลขาฯ นายกฯ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงมาขวางงานคุณได้ยังไง ความศักดิ์สิทธิ์ของนายกรัฐมนตรีไม่มีเหลือแล้ว

-อยากทราบรัฐบาลในฝันของคุณสนธิ
ผมอยากเห็นรัฐบาลที่ไม่ใช่พูดด้วยปาก ต้องทำงานเพื่อประชาชน ผมอยากเห็นนักการเมืองที่เสียสละจริงๆ เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง ซื่อสัตย์ กล้าหาญและและทำงานเป็น นั่นคือรัฐบาลในฝันของผม ประเทศชาติมีงบประมาณปีละ 1.7 ล้านล้านบาท คอร์รัปชั่นกันเฉลี่ย 20-40% ถ้ากำจัดตรงนี้ลงไปได้ เราไม่มีคนจนเหลืออยู่ในประเทศไทย คนพวกนี้ไม่รู้หรอกว่า ถ้าปล่อยให้การโกงชาติกินบ้านกินเมืองยังอยู่ต่อไป มันจะทำให้ชาติล้มทั้งหมดเลย ศาสนาก็ล้ม สถาบันกษัตริย์ก็ล้มเช่นกัน ผมอยากให้คนไทยรู้ร้อนรู้หนาวบ้าง เรื่องของอธิปไตยของชาติ อย่างกรณีเขาพระวิหาร อย่าไปมองแค่ที่ในป่าที่ในเขา




กำลังโหลดความคิดเห็น