ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยประกันชีวิตเผยมูดี้ส์คงอันดับเครดิตทางการเงินที่ A- ระบุเป็นระดับที่สูงสุดของธุรกิจไทย จากความแข็งแกร่งด้านการเงิน ขณะที่ผลประกอบการ 8 เดือนยังโตมีเบี้ยใหม่เพิ่ม 32%
นางวรางค์ เสรฐภักดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ทางสถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก Standard & Poor’s ได้จัดอันดับเครดิตทางการเงินประจำปี 2552 ให้แก่บริษัท โดยคงอันดับที่ A- และเครดิตสำหรับภูมิภาคอาเซียนที่ระดับ axAA- ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของธุรกิจคนไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินและการตลาดแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย แม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจในปัจจุบันจะรุนแรง
ทั้งนี้ บริษัทมีเครือข่ายและส่วนแบ่งทางการตลาดที่เข้มแข็ง จากจำนวนบุคลากรฝ่ายขายประมาณ 50,000 คนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีโครงสร้างการลงทุนที่ดี มีเงินกองทุนเพียงพอกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2551 มีเงินกองทุน 10,350 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิตพร้อมจ่ายคืนผู้เอาประกันในทุกกรณี 115,240 ล้านบาท
“ไทยประกันชีวิตยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดได้เป็นอันดับสองของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 14.50% ณ สิ้นปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการมีตัวแทนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีช่องทางการจำหน่ายที่กว้างขวาง ขณะเดียวกันจากบริษัทมีข้อได้เปรียบจากความประหยัดของขนาดการดำเนินงานและต้นทุน (economy of scale) ที่ต่ำกว่าคู่แข่ง“ นางวรางค์กล่าว
ด้านการลงทุนของบริษัทยังคงดำเนินนโยบายลงทุนอย่างรอบคอบ ระมัดระวังและมีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม สะท้อนจากสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้สูงถึง 75.3% และเงินสด 8.9% จากสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมดกว่า 100,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีเงินกองทุนเพียงพอต่อโครงสร้างความเสี่ยง ส่งผลให้เงินสำรองประกันชีวิตอยู่ในเกณฑ์สูง
นางวรางค์กล่าวว่า ทาง S&P จัดอันดับเครดิตทางการเงินที่ A- มุมมองเชิงลบ เป็นผลมาจากมุมมองเครดิตประเทศอยู่ที่มุมมองเชิงลบ อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมือง ในฐานะที่บริษัทมีเงินลงทุนและธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ภายในประเทศ ทำให้เชื่อว่าบริษัทฯ อาจถูกผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม S&P คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาโครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานที่ดี
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2552 มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 6,744.5 ล้านบาท เติบโต 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เบี้ยประกันรับปีต่อไป 14,786.2 ล้านบาท เติบโต 9% และเบี้ยประกันรับรวม 21,530.7 ล้านบาท เติบโต 15%
นางวรางค์ เสรฐภักดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ทางสถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก Standard & Poor’s ได้จัดอันดับเครดิตทางการเงินประจำปี 2552 ให้แก่บริษัท โดยคงอันดับที่ A- และเครดิตสำหรับภูมิภาคอาเซียนที่ระดับ axAA- ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของธุรกิจคนไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินและการตลาดแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย แม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจในปัจจุบันจะรุนแรง
ทั้งนี้ บริษัทมีเครือข่ายและส่วนแบ่งทางการตลาดที่เข้มแข็ง จากจำนวนบุคลากรฝ่ายขายประมาณ 50,000 คนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีโครงสร้างการลงทุนที่ดี มีเงินกองทุนเพียงพอกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2551 มีเงินกองทุน 10,350 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิตพร้อมจ่ายคืนผู้เอาประกันในทุกกรณี 115,240 ล้านบาท
“ไทยประกันชีวิตยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดได้เป็นอันดับสองของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 14.50% ณ สิ้นปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการมีตัวแทนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีช่องทางการจำหน่ายที่กว้างขวาง ขณะเดียวกันจากบริษัทมีข้อได้เปรียบจากความประหยัดของขนาดการดำเนินงานและต้นทุน (economy of scale) ที่ต่ำกว่าคู่แข่ง“ นางวรางค์กล่าว
ด้านการลงทุนของบริษัทยังคงดำเนินนโยบายลงทุนอย่างรอบคอบ ระมัดระวังและมีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม สะท้อนจากสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้สูงถึง 75.3% และเงินสด 8.9% จากสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมดกว่า 100,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีเงินกองทุนเพียงพอต่อโครงสร้างความเสี่ยง ส่งผลให้เงินสำรองประกันชีวิตอยู่ในเกณฑ์สูง
นางวรางค์กล่าวว่า ทาง S&P จัดอันดับเครดิตทางการเงินที่ A- มุมมองเชิงลบ เป็นผลมาจากมุมมองเครดิตประเทศอยู่ที่มุมมองเชิงลบ อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมือง ในฐานะที่บริษัทมีเงินลงทุนและธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ภายในประเทศ ทำให้เชื่อว่าบริษัทฯ อาจถูกผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม S&P คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาโครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานที่ดี
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2552 มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 6,744.5 ล้านบาท เติบโต 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เบี้ยประกันรับปีต่อไป 14,786.2 ล้านบาท เติบโต 9% และเบี้ยประกันรับรวม 21,530.7 ล้านบาท เติบโต 15%
