xs
xsm
sm
md
lg

กล้ายาง ปราสาทพระวิหาร หวยบนดิน : ข้อคิดที่สังคมได้ไปเต็มๆ

เผยแพร่:   โดย: อุษณีษ์ เอกอุษณีษ์

สัปดาห์นี้มีคำตัดสินคดีสำคัญของบ้านของเมืองทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสัปดาห์ โดยเรื่องของคำพิพากษานั้น เมื่อออกมาแล้วจะถูกใจไม่ถูกใจสังคม ไม่ใช่ประการสำคัญ หากแต่สิ่งสำคัญคือเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแสดงความเคารพในคำตัดสินของศาลเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไป ในการเป็นหลักให้กับบ้านเมืองได้

ส่วนสิ่งที่สังคมจะได้จากคำพิพากษาไปในขณะเดียวกัน ก็คือ บรรทัดฐานในการยึดปฏิบัติว่า สิ่งใดเป็นการกระทำความผิดอันขัดต่อหลักกฎหมาย และควรจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นมาอีกประการที่สองก็คือสังคมจะได้พบช่องโหว่ของกฎหมายที่จะอันไปสู่กระบวนการปรับปรุงข้อกฎหมายให้มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะเป็นกรอบให้กับสังคม ปิดทางไม่ให้คนชั่วเข้ามาใช้ช่องโหว่นั้นๆ ในการหากินกับบ้านกับเมืองได้อีกต่อไป

ประเด็นหลังนี้ ผู้เขียนต้องขอบคุณ อาจารย์สัก กอแสงเรียง อดีตโฆษก คตส. ที่ท่านได้ให้ปัญญากับผู้เขียน ระหว่างการให้สัมภาษณ์ผ่านรายงานนิวส์อาวน์ ทางช่อง ASTV เมื่อครั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่านมีคำพิพากษาคดีกล้ายางพารา

โดยผู้เขียนมีคำถามที่เกิดขึ้นวนเวียนในใจไม่ต่างจากประชาชนทั่วไปว่า เราจะเอาผิดนักการเมืองขี้ฉ้อที่ร่วมกันผลักดันนโยบายที่ผิดกฎหมายผ่านการออกเป็นมติคณะรัฐบาลได้อย่างไรโดยที่จะไม่ให้นักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านั้น เอาข้อแก้ตัวเรื่องความไม่รู้ ไม่แน่ใจในข้อกฎหมาย ความเร่งรีบในการพิจารณา การนำเรื่องเข้า ครม.ในวาระจร เพื่อจะอ้างว่า คณะรัฐมนตรีมีเวลาพิจารณาข้อมูลน้อย อันนำไปสู่การยินยอมยกมืออนุมัติโครงการใดโครงการหนึ่งไปแบบส่งๆ เพราะอาจจะมั่นใจว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว ผู้ยกมือก็ไม่ต้องตกเป็นผู้รับผิดชอบต่อการอนุมัติโครงการนั้น แม้โครงการดังกล่าวจะไปสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในภายหลัง

ตัวอย่าง คดีความที่ออกมาในช่วงนี้ อันส่งผลให้คณะรัฐมนตรีที่ร่วมออกมติ ครม. แม้ว่าท้ายที่สุด มตินั้นจะถูกตัดสินว่าขัดกฎหมาย แต่ผู้อนุมัติทั้งหมดกลับไม่ต้องรับผิด เนื่องจากศาลฟังพยานหลักฐานได้ว่า การลงมติดังกล่าวเป็นมติในวาระจร มีเวลาพิจารณาจำกัด และครม.กระทำตามธรรมปฏิบัติในการอนุมัติหลักการโครงการนั้นๆ โดยไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือ ข้อดีที่ชี้ให้สังคมได้เห็นว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องไปตั้งคำถามเอากับความรัดกุมในเนื้อหาของกฎหมายที่ใช้อยู่ในวันนี้เสียทีว่า มีเนื้อหาที่เท่าทันกับพฤติกรรมของนักการเมืองในปัจจุบันหรือไม่ และอาจจะต้องหาวิธีในการปรับแก้กฎหมายนั้นๆ ให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก เพราะหากกฎหมายในปัจจุบันยังขาดน้ำหนักที่จะเรียกหาความรับผิดชอบจากนักการเมือง ทั้งที่พวกเขาได้รับโอกาสให้เข้าไปเป็นตัวแทนประชาชน เข้าไปบริหารบ้านเมือง และตัดสินใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของผู้คน บ้านเมือง และทรัพยากรจำนวนมหาศาล เสนาบดีเหล่านี้ก็จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบที่สูงตามอำนาจที่ได้รับในมือด้วย อันจะเป็นการอุดช่องว่างไม่ให้ 'การคอร์รัปชันเชิงนโยบาย' กลับมาหลอกหลอนสังคมไทยได้ไม่รู้จบ

จึงอาจกล่าวได้ว่า การรอดพ้นคดีของ ครม.ผู้อนุมัติกล้ายางก็ดี ผู้ร่วมออกนโยบายหวยบนดินก็ดี ในท้ายที่สุด ปรากฏการณ์เหล่านี้จะได้ช่วยผลักดันให้สังคมมองหาช่องทางปฏิรูปกฎหมายให้เท่าทันนักการเมืองมากขึ้น

ส่วนสาระสำคัญ อันสมควรที่จะหยิบมาชื่นชม และชี้บรรทัดฐานของสังคมประการถัดไป คือ ข้อวินิจฉัยของศาลท่านต่อกรณีคดีสลากพิเศษ เลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว เรื่องที่ท่านให้น้ำหนักกับข้อทักท้วงของสังคมว่าจะเป็นหลักฐานชั้นดีที่ชี้ให้ว่า จำเลยมีความตั้งใจจะละเมิดกฎหมายมากน้อยเพียงใด กรณีของคดีหวยบนดินนั้น ศาลท่านยกข้อทักท้วงของ ส.ว.คำนวณ ชโลปถัมภ์ มาประกอบการวินิจฉัยตอนหนึ่งว่า

นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ ประธานคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน วุฒิสภา (ในขณะนั้น) ได้ทำความเห็นท้วงติงในประเด็นข้อกฎหมาย ซึ่งเห็นว่าต้องแก้ไขแนวทางการออกสลากไม่ให้ฝ่าฝืนกฎหมาย หรือแก้ไขกฎหมายรองรับโครงการ แต่จำเลยที่ 31 (นายสมใจนึก เองตระกูล ในฐานะปลัดกระทรวงคลังและประธานบอร์ดกองสลากในขณะนั้น) และจำเลยที่42 (นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการกองสลาก) กลับไม่ดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน แต่ยังฝืนเสนอให้มีการออกสลาก และทำความตกลงกับธนาคารออมสินขอเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 20,000 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าจำเลยย่อมรู้อยู่แล้วว่าการออกสลากอาจมีปัญหา และสุ่มเสี่ยงที่รัฐจะเสียหายในระบบการคลัง จึงถือเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น

หรือแม้แต่คำชี้มูล ของ ป.ป.ช.ในคดีที่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ออกมติครม.ให้ร่วมลงนามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ตอนหนึ่งอ้างถึงหลักฐานที่ได้มีการทักท้วงรัฐบาลว่า มติครม.ที่ออกมาจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ เช่น หลักฐานจาก

- หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับที่ 4242 วันที่ 10 มิถุนายน 2551 หน้า 4 ได้ตีพิมพ์บทความพิเศษ เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ของศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล มีข้อความตอนหนึ่งว่า 'ไทยจึงไม่สมควรเปลี่ยนท่าทีหรือยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหารซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบในระดับรัฐบาลและประชามติ'

- วันที่ 16 มิถุนายน 2551 นายประพันธ์ คูณมี ปราศรัยที่เวทีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อเวลา 22.00 น. และมีการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี ว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาในการที่จะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ไม่เคยเปิดเผยข้อเท็จจริงให้พี่น้องทราบเลยเราจะต้องใช้สิทธิของเราตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ต่อไปนี้ถ้ารัฐบาลจะไปเซ็นสัญญาใดๆ กับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศใดๆ ในโลกอันมีผลเป็นการกระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศแล้วคณะรัฐมนตรีจะต้องนำข้อมูลนั้นมาให้ประชาชนทราบ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้

- หรือแม้แต่การส่งหนังสือเตือนจากกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ที่มีบันทึกลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2551 เสนอ สืบเนื่องจาก บันทึกสำนักงานรัฐมนตรี วันที่ 15 พฤษภาคม 2551 สรุปว่า ไม่ว่าจะขึ้นทะเบียนแบบเดิมหรือขึ้นเฉพาะตัวปราสาท การออกมาตรการ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งใน 2 กรณี ล้วนต้องดำเนินการในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิด้วยทั้งสิ้น หากไทยยอมรับข้อเสนอก็ถือว่าไทยเปลี่ยนท่าทีไปจากเดิม เพราะฝ่ายไทยยืนยันโดยเข้มแข็งมาโดยตลอดว่าไทยกับกัมพูชาต้องตกลงเรื่องการบริหารจัดการร่วมให้ได้ก่อนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

นอกจากนั้น หากไทยยอมรับแนวทางดังกล่าวก็อาจมีผลกระทบต่อท่าทีและน้ำหนักข้อต่อรองในการเจรจาของฝ่ายไทยเรื่องเขตแดนและการบริหารจัดการร่วมในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนในอนาคตเป็นอย่างมาก และนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บันทึกรับทราบเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2551

ซึ่งรายการหลัง นายนพดล จะอ้างว่าเป็นหลักฐานจากฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กับพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลในเวลานั้นก็ไม่เห็นจะถูกต้องนัก เพราะเป็นข้อทักท้วงที่ได้จากหน่วยงานของกระทรวงการต่างประเทศที่ขึ้นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ นายนพดล อยู่ในเวลานั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อมองในแง่นี้ การชี้มูลที่นำข้อทักท้วงจากสาธารณชนมาประกอบการวินิจฉัยของศาล และป.ป.ช.ทั้งสองกรณีนี้ น่าจะพอเรียกสตินักการเมืองที่บ้าอำนาจให้หันมาฟังเสียงสังคม และคนรอบข้างได้บ้าง ในอนาคต

กำลังโหลดความคิดเห็น