นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอให้กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ร่วมกันวางระบบและพิจารณาการใช้เงินที่เหลือจ่าย ในการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 หรือโบนัสข้าราชการ โดยเห็นชอบในหลักการตัวเลขวงเงิน 6,835 ล้านบาท ให้กับข้าราชการกว่า 1.5 ล้านคน เนื่องจากไม่ได้ตั้งงบประมาณในปี 2553 ไว้
เรามีเงินเหลือจ่ายประจำปี 51 ของส่วนราชการต่างๆ ที่กรมบัญชีกลางจัดทำไว้ และ ก.พ.ร.ได้เปรียบเทียบกับโบนัสปี 2551 พบว่า อาจจะมีข้อจำกัดในกรณีที่ บางส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษาไม่มีงบประมาณเหลือจ่ายประจำปี 2552 หรือมีแต่ไม่เพียงพอ แต่ประเด็นคือรัฐบาลไม่มีเงินมากขนาดนั้นและทำให้ ก.พ.ร.จะต้องแบกภาระงบประมาณทุกปี และอาจจะมากถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี”
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามการใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ในส่วนที่เหลือ นอกเหนือจากร้อยละ 50 ของเงินงบประมาณเหลือจ่าย ที่ ครม.ได้เห็นชอบให้ใช้เพื่อการพัฒนาองค์การและการพัฒนาบุคลากรไปแล้ว โดยให้กันเงินงบประมาณ จำนวน 50 % หรือ 2,500 ล้านบาท ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่เหลืออยู่ 5,323 ล้านบาท เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ.2553 ตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง พ.ศ.2520 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ครม.ยังตั้งข้อสังเกตว่า หากเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นและหากรัฐบาลมีการจัดทำงบประมาณกลางปี พ.ศ.2553 ขอให้รัฐบาลตั้งงบประมาณกลางปี พ.ศ.2553 เพื่อเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัดสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า แนวคิดที่ ก.พ.ร.เสนอโดยเฉพาะที่จะกันเงินที่เหลือจาก ประจำปี ในรูปแบบของ เงินทุนหมุนเวียน หรือเงินที่หน่วยงานประหยัด เหลือจ่ายประจำปี เช่นการเก็บสะสมไว้นั้น ตามกฎหมายไม่สามารถทำได้และทำได้ยากเพราะเงินที่เหลือจะนำไปรวมกันหรือตัดโอนให้ส่วนราชการอื่นไม่ได้ เนื่องจาก ขัดต่อ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 มาตรา 18 แต่จะทำได้เฉพาะกรณีที่เป็นกิจกรรมที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้นทำประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ หรือช่วยเหลือค่าครองชีพ หรือทางสาธารณประโยชน์ หรือบริการประชาชน มิใช่จากเงินจากงบประมาณแผ่นดิน
อย่างไรก็ตามแนวคิดการสะสมเงินหรือเงินทุนหมุนเวียน จะทำให้กระทรวงทาง เศรษฐกิจ เช่นกระทรวงพาณิชย์ ที่จะมีงบประมาณเหลือน้อยจากการสะสม ดังนั้น หน่วยงานที่วางระบบการใช้เงินที่เหลือจ่าย ซึ่งอาจจะจัดทำเป็นระเบียบหรือกฎหมาย ในหน่วยงานได้ และจัดสรรเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษา ได้ภายใน 30 วัน
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบระงับการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนและบุคลาการภาครัฐ ตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลาการภาครัฐ จำนวน 2,000 บาท โดยเฉพาะในส่วนของลูกจ้างชั่วคราว ที่พบว่าส่วนใหญ่มีลักษณะการจ้างเป็นสัญญารายเดือนและรายวัน โดยใช้เงินจากในและนอกงบประมาณ และจัดจ้างโดย ไม่ต้องขออนุมัติกรอบอัตรากำลังที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากรัฐช่วยทั้งหมด จะต้องเสียงบประมาณจำนวนมาก รวมทั้งจะมีผลต่องบประมาณการแก้ไขปัญหาด้านอุบัติภัยและภัยธรรมชาติ ขณะเดียวกันรัฐยังมีภาระที่จะต้องจ่ายให้กับบุคลากรภาครัฐและหน่วยงานอื่นอีก 10 หน่วยงาน รวมทั้งสิ้น 83,726 คน วงเงิน 167,452,000 บาท
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบ ร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ.... โดยมีสาระสำคัญได้แก่ กำหนดให้ เลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญให้เลื่อนปีละ 2 ครั้ง และให้กำหนดค่ากลาง ฐานในการคำนวณ และช่วงเงินเดือน ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งผลการเลื่อนเงินเดือน ในแต่ละครั้งเป็นข้อมูลลับเฉพาะบุคคลและมีรายละเอียดตามที่กำหนด และแจ้งให้ผู้ที่ไม่ได้รับการเลื่อนเงินเดือนด้วย
ทั้งนี้ให้นำข้อมูล การลา พฤติกรรมการทำงาน การรักษาวินัย และห้ามนำเหตุผล ที่ถูกสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและถูกฟ้องคดีอาญามาเป็นเหตุผลไม่พิจารณา เลื่อนเงินเดือน และกำหนดให้การเลื่อนเงินเดือนมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2552 สำหรับครึ่งปีหลัง งบประมาณปี 52 เป็นต้น
เรามีเงินเหลือจ่ายประจำปี 51 ของส่วนราชการต่างๆ ที่กรมบัญชีกลางจัดทำไว้ และ ก.พ.ร.ได้เปรียบเทียบกับโบนัสปี 2551 พบว่า อาจจะมีข้อจำกัดในกรณีที่ บางส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษาไม่มีงบประมาณเหลือจ่ายประจำปี 2552 หรือมีแต่ไม่เพียงพอ แต่ประเด็นคือรัฐบาลไม่มีเงินมากขนาดนั้นและทำให้ ก.พ.ร.จะต้องแบกภาระงบประมาณทุกปี และอาจจะมากถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี”
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามการใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ในส่วนที่เหลือ นอกเหนือจากร้อยละ 50 ของเงินงบประมาณเหลือจ่าย ที่ ครม.ได้เห็นชอบให้ใช้เพื่อการพัฒนาองค์การและการพัฒนาบุคลากรไปแล้ว โดยให้กันเงินงบประมาณ จำนวน 50 % หรือ 2,500 ล้านบาท ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่เหลืออยู่ 5,323 ล้านบาท เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ.2553 ตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง พ.ศ.2520 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ครม.ยังตั้งข้อสังเกตว่า หากเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นและหากรัฐบาลมีการจัดทำงบประมาณกลางปี พ.ศ.2553 ขอให้รัฐบาลตั้งงบประมาณกลางปี พ.ศ.2553 เพื่อเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัดสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า แนวคิดที่ ก.พ.ร.เสนอโดยเฉพาะที่จะกันเงินที่เหลือจาก ประจำปี ในรูปแบบของ เงินทุนหมุนเวียน หรือเงินที่หน่วยงานประหยัด เหลือจ่ายประจำปี เช่นการเก็บสะสมไว้นั้น ตามกฎหมายไม่สามารถทำได้และทำได้ยากเพราะเงินที่เหลือจะนำไปรวมกันหรือตัดโอนให้ส่วนราชการอื่นไม่ได้ เนื่องจาก ขัดต่อ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 มาตรา 18 แต่จะทำได้เฉพาะกรณีที่เป็นกิจกรรมที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้นทำประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ หรือช่วยเหลือค่าครองชีพ หรือทางสาธารณประโยชน์ หรือบริการประชาชน มิใช่จากเงินจากงบประมาณแผ่นดิน
อย่างไรก็ตามแนวคิดการสะสมเงินหรือเงินทุนหมุนเวียน จะทำให้กระทรวงทาง เศรษฐกิจ เช่นกระทรวงพาณิชย์ ที่จะมีงบประมาณเหลือน้อยจากการสะสม ดังนั้น หน่วยงานที่วางระบบการใช้เงินที่เหลือจ่าย ซึ่งอาจจะจัดทำเป็นระเบียบหรือกฎหมาย ในหน่วยงานได้ และจัดสรรเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษา ได้ภายใน 30 วัน
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบระงับการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนและบุคลาการภาครัฐ ตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลาการภาครัฐ จำนวน 2,000 บาท โดยเฉพาะในส่วนของลูกจ้างชั่วคราว ที่พบว่าส่วนใหญ่มีลักษณะการจ้างเป็นสัญญารายเดือนและรายวัน โดยใช้เงินจากในและนอกงบประมาณ และจัดจ้างโดย ไม่ต้องขออนุมัติกรอบอัตรากำลังที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากรัฐช่วยทั้งหมด จะต้องเสียงบประมาณจำนวนมาก รวมทั้งจะมีผลต่องบประมาณการแก้ไขปัญหาด้านอุบัติภัยและภัยธรรมชาติ ขณะเดียวกันรัฐยังมีภาระที่จะต้องจ่ายให้กับบุคลากรภาครัฐและหน่วยงานอื่นอีก 10 หน่วยงาน รวมทั้งสิ้น 83,726 คน วงเงิน 167,452,000 บาท
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบ ร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ.... โดยมีสาระสำคัญได้แก่ กำหนดให้ เลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญให้เลื่อนปีละ 2 ครั้ง และให้กำหนดค่ากลาง ฐานในการคำนวณ และช่วงเงินเดือน ให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งผลการเลื่อนเงินเดือน ในแต่ละครั้งเป็นข้อมูลลับเฉพาะบุคคลและมีรายละเอียดตามที่กำหนด และแจ้งให้ผู้ที่ไม่ได้รับการเลื่อนเงินเดือนด้วย
ทั้งนี้ให้นำข้อมูล การลา พฤติกรรมการทำงาน การรักษาวินัย และห้ามนำเหตุผล ที่ถูกสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและถูกฟ้องคดีอาญามาเป็นเหตุผลไม่พิจารณา เลื่อนเงินเดือน และกำหนดให้การเลื่อนเงินเดือนมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2552 สำหรับครึ่งปีหลัง งบประมาณปี 52 เป็นต้น