ASTVผู้จัดการรายวัน - สรรพสามิตเพิ่มกำลังพล 500 ตำแหน่ง เข้มปราบปรามสินค้าลักลอบหนีภาษีทั่วประเทศ หลังพบการลักลอบน้ำมันเถื่อนทั้งทางรถและทางเรือจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มสูงขึ้น ทุ่มงบ 225 ล้านบาทจับมือ 5 หน่วยงานรัฐแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ
น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต ร่วมกับ 5 หน่วยงานรัฐ คือ กรมศุลกากร กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตรวจสอบการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันเถื่อนในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งพบว่า ปี 52 นี้มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทั้งทางรถและทางเรือ แต่มีแนวโน้มว่าปี 53 จะเพิ่มขึ้นมาก จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งทำให้มีแรงจูงใจให้ผู้กระทำผิด เพราะได้รับส่วนต่างจากราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะเดียวกันงบประมาณในการปราบปรามจาก 5 หน่วยงานดังกล่าวได้รับเท่าเดิม 225 ล้านบาท ทำให้ต้องเน้นการบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงานให้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันเถื่อน
“เงินดังกล่าวเพียงพอที่จะบูรณาการการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องประชุมร่วมกันถี่ขึ้น และได้เริ่มนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) เข้ามาเสริม เช่น ติดระบบจีพีเอสกับรถและเรือขนส่งน้ำมันทั้งหมด เนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ หากออกนอกเส้นทาง สามารถประสานให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ที่สุดเข้าไปตรวจสอบได้ทันที ปัญหาน้ำมันเถื่อนเป็นปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อรายได้รัฐและปกป้องผู้ประกอบการที่ทำธุกิจถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้ยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวคงไม่หมดไปแน่ เพราะมีผู้กระทำผิดมากมาย ทุกระดับตั้งแต่รายใหญ่ไปจนถึงกองทัพมด แต่จะพยายามใกล้ชิดประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้ช่วยเป็นหูเป็นตาร่วมแจ้งเบาะแสผู้ทำผิด”
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้เสนอที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ขอจัดสรรกำลังบุคลากรให้กรมสรรพสามิตเพิ่มอีก 500 ตำแหน่ง เพื่อรองรับปริมาณงานที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการปราบปรามสินค้าเถื่อนต่าง ๆ ทั้งสุรา ยาสูบและน้ำมัน โดยคาดว่าจะช่วยให้รัฐจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้น
“ปัจจุบันนี้ กรมสรรพสามิตมีภารกิจเพิ่มขึ้นมาก ไม่ใช่แค่ดูเรื่องเหล้าและบุหรี่เถื่อน จากปัจจุบันนี้มีกำลังคน 600 กว่าคน ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับงานดูแลทั่วประเทศ ทำให้ประสิทธิภาพในการปราบปรามไม่ได้ผลเต็มที่ อีกทั้งหากคิดเฉลี่ย ข้าราชการกรมสรรพสามิตแต่ละคนจะเก็บรายได้เข้ารัฐเดือนละ 80,000 บาทเท่านั้น แต่หากมีกำลังคนเพิ่มขึ้น 1 คน จะทำให้การจัดเก็บรายได้เฉลี่ยคนละกว่า 100,000 บาท เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะมีเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอในการทำให้ให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น บางเรื่องต้องส่งคนไปเฝ้าเป็นสัปดาห์เป็นเดือน และไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการทั้งหมด เป็นพนักงานราชการก็ได้”
หากเปรียบเทียบการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรที่แต่ละปีเก็บรายได้เข้ารัฐ 1.4 ล้านล้านบาท สูงกว่ากรมสรรพสามิตที่เก็บรายได้แค่ปีละ 350,000 ล้านบาท หรือสูงกว่า 4 เท่า แต่กรมสรรพากรมีกำลังมากกว่ากรมสรรพสามิต 8 เท่า
จากสถิติการจับกุมการกระทำความผิดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมากรมสรรพสามิตจับกุมผู้ทำผิดได้ 903 ราย แบ่งเป็นสารละลายโซลเว้นท์ (ทินเนอร์) 154,340 ลิตร ดีเซล 507,000 ลิตร เบนซิน 342,977 ลิตร และน้ำมันเตา 1.33 ล้านลิตร คิดเป็นค่าปรับ 34.71 ล้านบาท ส่วนผลการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันของ 5 หน่วยงานร่วมกันตั้งแต่ม.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมามี 2,225 คดี ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จับกุมได้ 3,737 คดี หรือ 40% ขณะที่ปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ 6.7 ล้านลิตร ลดลง จากปีก่อนที่มี 6.9 ล้านลิตร
น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต ร่วมกับ 5 หน่วยงานรัฐ คือ กรมศุลกากร กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตรวจสอบการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันเถื่อนในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งพบว่า ปี 52 นี้มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทั้งทางรถและทางเรือ แต่มีแนวโน้มว่าปี 53 จะเพิ่มขึ้นมาก จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งทำให้มีแรงจูงใจให้ผู้กระทำผิด เพราะได้รับส่วนต่างจากราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะเดียวกันงบประมาณในการปราบปรามจาก 5 หน่วยงานดังกล่าวได้รับเท่าเดิม 225 ล้านบาท ทำให้ต้องเน้นการบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงานให้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันเถื่อน
“เงินดังกล่าวเพียงพอที่จะบูรณาการการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องประชุมร่วมกันถี่ขึ้น และได้เริ่มนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) เข้ามาเสริม เช่น ติดระบบจีพีเอสกับรถและเรือขนส่งน้ำมันทั้งหมด เนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ หากออกนอกเส้นทาง สามารถประสานให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ที่สุดเข้าไปตรวจสอบได้ทันที ปัญหาน้ำมันเถื่อนเป็นปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อรายได้รัฐและปกป้องผู้ประกอบการที่ทำธุกิจถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้ยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวคงไม่หมดไปแน่ เพราะมีผู้กระทำผิดมากมาย ทุกระดับตั้งแต่รายใหญ่ไปจนถึงกองทัพมด แต่จะพยายามใกล้ชิดประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้ช่วยเป็นหูเป็นตาร่วมแจ้งเบาะแสผู้ทำผิด”
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้เสนอที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ขอจัดสรรกำลังบุคลากรให้กรมสรรพสามิตเพิ่มอีก 500 ตำแหน่ง เพื่อรองรับปริมาณงานที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการปราบปรามสินค้าเถื่อนต่าง ๆ ทั้งสุรา ยาสูบและน้ำมัน โดยคาดว่าจะช่วยให้รัฐจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้น
“ปัจจุบันนี้ กรมสรรพสามิตมีภารกิจเพิ่มขึ้นมาก ไม่ใช่แค่ดูเรื่องเหล้าและบุหรี่เถื่อน จากปัจจุบันนี้มีกำลังคน 600 กว่าคน ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับงานดูแลทั่วประเทศ ทำให้ประสิทธิภาพในการปราบปรามไม่ได้ผลเต็มที่ อีกทั้งหากคิดเฉลี่ย ข้าราชการกรมสรรพสามิตแต่ละคนจะเก็บรายได้เข้ารัฐเดือนละ 80,000 บาทเท่านั้น แต่หากมีกำลังคนเพิ่มขึ้น 1 คน จะทำให้การจัดเก็บรายได้เฉลี่ยคนละกว่า 100,000 บาท เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะมีเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอในการทำให้ให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น บางเรื่องต้องส่งคนไปเฝ้าเป็นสัปดาห์เป็นเดือน และไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการทั้งหมด เป็นพนักงานราชการก็ได้”
หากเปรียบเทียบการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรที่แต่ละปีเก็บรายได้เข้ารัฐ 1.4 ล้านล้านบาท สูงกว่ากรมสรรพสามิตที่เก็บรายได้แค่ปีละ 350,000 ล้านบาท หรือสูงกว่า 4 เท่า แต่กรมสรรพากรมีกำลังมากกว่ากรมสรรพสามิต 8 เท่า
จากสถิติการจับกุมการกระทำความผิดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมากรมสรรพสามิตจับกุมผู้ทำผิดได้ 903 ราย แบ่งเป็นสารละลายโซลเว้นท์ (ทินเนอร์) 154,340 ลิตร ดีเซล 507,000 ลิตร เบนซิน 342,977 ลิตร และน้ำมันเตา 1.33 ล้านลิตร คิดเป็นค่าปรับ 34.71 ล้านบาท ส่วนผลการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันของ 5 หน่วยงานร่วมกันตั้งแต่ม.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมามี 2,225 คดี ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จับกุมได้ 3,737 คดี หรือ 40% ขณะที่ปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ 6.7 ล้านลิตร ลดลง จากปีก่อนที่มี 6.9 ล้านลิตร
