นราธิวาส - เกิดเหตุไฟไหม้รถกระบะที่ชาวบ้านกำลังถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงออกจากถังของรถยนต์กระบะ เพื่อใส่ไว้ในถังแกลลอนพลาสติก ขนาด 50 ลิตร หลังจากเติมน้ำมันมาจากฝั่งมาเลเซีย ได้มีการจุดไฟเช็คจนเกิดประกายไฟทำให้ไฟลุกไหม้รถและแขนทั้งสองข้าง สอบสวนเบื้องลึก ชาวสุไหงโก-ลกยึดอาชีพค้าน้ำมันเถื่อนแล้วกว่า 100 ราย โดยจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (31 ส.ค.) ร.ต.ท.ประยูร สุวรรณโณ ร้อยเวร สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รับแจ้งเกิดเหตุไฟไหม้รถยนต์ ซึ่งจอดอยู่ภายในหมู่บ้านไทยถาวร ซึ่งตั้งอยู่เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนที่จะประสานไปยังหน่วยบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เพื่อขอสนับสนุนรถดับเพลิง จำนวน 3 คัน เข้าสกัดกั้นเพลิงที่กำลังลุกไหม้
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าที่หน้าบ้านพักเลขที่ 330/25 มีรถยนต์กระบะแบบตอนครึ่ง ยี่ห้อนิสสัน รุ่นเอ็นวี สีบรอนซ์ ทะเบียน ถฏ-2781 กทม. ไฟกำลังโหมลุกไหม้ที่บริเวณกระบะบรรทุก และกำลังลุกลามสู่ห้องโดยสาร เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันฉีดน้ำสกัดกั้นต้นเพลิง ซึ่งมีด้วยกัน 2 จุด คือ ที่รถยนต์กระบะที่ไฟกำลังลุกไหม้ และที่บริเวณโรงจอดรถซึ่งดัดแปลงเป็นที่เก็บถังใส่น้ำแข็งขนาดใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลานานกว่า 10 นาที เพลิงจึงได้สงบลงทั้ง 2 จุด
จากการสอบสวน นายอาซิด หวังนุรักษ์ เจ้าของรถยนต์กระบะคันดังกล่าวทราบว่า หลังจากที่นายอาซิด ขับรถยนต์คันเกิดเหตุเข้าไปเติมน้ำมันในประเทศมาเลเซียแล้ว จึงได้ขับกลับมาจอดไว้ที่โรงรถซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านบิดาเพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อ และในระหว่างที่นายอาซิดกำลังถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงออกจากถังของรถยนต์กระบะเพื่อใส่ไว้ในถังแกลลอนพลาสติก ขนาด 50 ลิตรอยู่นั้น นายอาซิดได้จุดไฟแช็กเพื่อลนเชือกที่ติดอยู่กับปากถังพลาสติกขนาด 50 ลิตร จนเกิดประกายไฟขึ้น และไฟได้ลุกลามไปไหม้รถยนต์อย่างรวดเร็ว
นายอาซิดจึงได้ตัดสินใจวิ่งไปขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวออกจากโรงรถมาจอดบนถนนหน้าบ้านพักของบิดา แล้วใช้สายยางฉีดน้ำในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เข้าสนับสนุน จนทำให้ถูกไฟไหม้แขนทั้ง 2 ข้าง ซึ่งคิดมูลค่าความเสียหายในเบื้องต้นประมาณกว่า 200,000 บาท
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นที่กล่าววิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาถึงการกระทำของกลุ่มขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก ซึ่งประชาชนสามารถพบเห็นได้ทุกวันในการขนถ่ายน้ำมันเถื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่างปล่อยปละละเลยในการกวดขันจับกุม
จนปัจจุบันมีประชาชนยึดอาชีพดังกล่าวนี้มากกว่า 100 ราย ซึ่งจากการสอบถามผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายหนึ่งแจ้งว่า การขนถ่ายน้ำมันเถื่อน ไม่ใช้จะทำกันได้ง่ายๆ หากไม่จ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้องบางคน เนื่องจะต้องขับรถยนต์เข้าไปขนน้ำมันเถื่อนผ่านด่านตรวจหลายจุดในแต่ละวัน ไม่ต่ำกว่าคันละ 2-3 เที่ยวต่อวัน
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (31 ส.ค.) ร.ต.ท.ประยูร สุวรรณโณ ร้อยเวร สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส รับแจ้งเกิดเหตุไฟไหม้รถยนต์ ซึ่งจอดอยู่ภายในหมู่บ้านไทยถาวร ซึ่งตั้งอยู่เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนที่จะประสานไปยังหน่วยบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เพื่อขอสนับสนุนรถดับเพลิง จำนวน 3 คัน เข้าสกัดกั้นเพลิงที่กำลังลุกไหม้
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าที่หน้าบ้านพักเลขที่ 330/25 มีรถยนต์กระบะแบบตอนครึ่ง ยี่ห้อนิสสัน รุ่นเอ็นวี สีบรอนซ์ ทะเบียน ถฏ-2781 กทม. ไฟกำลังโหมลุกไหม้ที่บริเวณกระบะบรรทุก และกำลังลุกลามสู่ห้องโดยสาร เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันฉีดน้ำสกัดกั้นต้นเพลิง ซึ่งมีด้วยกัน 2 จุด คือ ที่รถยนต์กระบะที่ไฟกำลังลุกไหม้ และที่บริเวณโรงจอดรถซึ่งดัดแปลงเป็นที่เก็บถังใส่น้ำแข็งขนาดใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลานานกว่า 10 นาที เพลิงจึงได้สงบลงทั้ง 2 จุด
จากการสอบสวน นายอาซิด หวังนุรักษ์ เจ้าของรถยนต์กระบะคันดังกล่าวทราบว่า หลังจากที่นายอาซิด ขับรถยนต์คันเกิดเหตุเข้าไปเติมน้ำมันในประเทศมาเลเซียแล้ว จึงได้ขับกลับมาจอดไว้ที่โรงรถซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านบิดาเพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อ และในระหว่างที่นายอาซิดกำลังถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงออกจากถังของรถยนต์กระบะเพื่อใส่ไว้ในถังแกลลอนพลาสติก ขนาด 50 ลิตรอยู่นั้น นายอาซิดได้จุดไฟแช็กเพื่อลนเชือกที่ติดอยู่กับปากถังพลาสติกขนาด 50 ลิตร จนเกิดประกายไฟขึ้น และไฟได้ลุกลามไปไหม้รถยนต์อย่างรวดเร็ว
นายอาซิดจึงได้ตัดสินใจวิ่งไปขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวออกจากโรงรถมาจอดบนถนนหน้าบ้านพักของบิดา แล้วใช้สายยางฉีดน้ำในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เข้าสนับสนุน จนทำให้ถูกไฟไหม้แขนทั้ง 2 ข้าง ซึ่งคิดมูลค่าความเสียหายในเบื้องต้นประมาณกว่า 200,000 บาท
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นที่กล่าววิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาถึงการกระทำของกลุ่มขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก ซึ่งประชาชนสามารถพบเห็นได้ทุกวันในการขนถ่ายน้ำมันเถื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่างปล่อยปละละเลยในการกวดขันจับกุม
จนปัจจุบันมีประชาชนยึดอาชีพดังกล่าวนี้มากกว่า 100 ราย ซึ่งจากการสอบถามผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายหนึ่งแจ้งว่า การขนถ่ายน้ำมันเถื่อน ไม่ใช้จะทำกันได้ง่ายๆ หากไม่จ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้องบางคน เนื่องจะต้องขับรถยนต์เข้าไปขนน้ำมันเถื่อนผ่านด่านตรวจหลายจุดในแต่ละวัน ไม่ต่ำกว่าคันละ 2-3 เที่ยวต่อวัน