xs
xsm
sm
md
lg

เด้ง “ทวี สอดส่อง” : ความยุติธรรมที่ล่าช้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดูซิ...รัฐบาลโอบามาร์ค ทำให้ผมเหนื่อยอีกแล้ว กำลังจะจบบทความ “แนวรบด้านตะวันออกไทย –กัมพูชา” อยู่พอดี มีพรรคพวกโทรศัพท์บอกว่า ครม. (29 ก.ย. 52) โยก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม

พร้อมๆ กับเด้ง นัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ผมต้องหยุดแนวรบด้านตะวันออกเอาไว้ทันที เพื่อมาร่วมแสดงความเห็นเรื่องนี้

ต้องบอกว่า เห็นด้วยพันเปอร์เซ็นต์กับการโยกย้ายทั้งสองตำแหน่ง แม้จะช้ามากๆ จนหลายคนเลิกคาดหวังเลิกลุ้นไปนานแล้ว แต่ “มาช้าดีกว่าไม่มา”

แทนที่จะได้คะแนนเต็มสิบหากโยกย้ายตอนเป็นรัฐบาลใหม่ๆ เอาไปแค่ห้าคะแนนครึ่งก็แล้วกัน...โทษฐานที่ตัดสินใจล่าช้า

กรณี ทวี สอดส่อง

ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ตรงข้ามกลับชื่นชมนายตำรวจผู้นี้ด้วยซ้ำสมัยที่เป็นมือปราบอยู่ที่กองปราบปราม แต่ก็ไม่ได้ติดตามอะไรมากนัก กระทั่งวันหนึ่งเมื่อพ.ต.อ.ทวีกระโดดไปเป็นรองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ผมก็พอจะจับทิศทางของ “ทวี สอดส่อง” ได้ว่าเส้นทางของเขาจะไม่หยุดยั้งอยู่แค่นั้น..

แล้วในที่สุดก็เป็นจริงในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช...เมื่อรมว.ยุติธรรมที่ชื่อ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สั่งเด้ง นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปรักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) แล้วให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มาดำรงตำแหน่งแทนตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. 2551

แม้อาจจะมีความรู้ความสามารถอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ต้องพูดว่าการขึ้นสู่ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่เปรียบเสมือนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แห่งที่สองของพ.ต.อ.ทวีเป็นไปตามความปรารถนาของการเมืองภายใต้ระบอบทักษิณแบบเนื้อๆ เน้นๆ

คดีความต่างๆ ที่อยู่ในมือของดีเอสไอและโยงใยถึงความผิดของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และเครือข่าย อาทิ คดีอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร, คดีหุ้นเอสซีเอสเสท, คดีฆ่าตัดตอนในช่วงสงครามยาเสพติด ฯลฯ เริ่มเจือจางและไปไม่ถึงไหน...

ในขณะที่คดีที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของระบอบทักษิณ ถูกตั้งข้อสังเกตว่าดีเอสไอจะเกาะติดเจาะลึกเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก อาทิ กรณีคดีเงิน 258 ล้านบาทที่บริษัทยักษ์ใหญ่มอบให้กับพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง..

และที่หลายฝ่ายเชื่อมั่นแต่ไม่สามารถหาหลักฐานมาแบบให้เห็นกันได้จะจะก็คือ การเกาะติดดักฟังโทรศัพท์ติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณ ที่เชื่อกันว่าดีเอสไอทำได้อย่างแนบเนียน ถึงขนาดเล่าลือกันว่า มีคลิปเสียง “เซ็กซ์โฟน” ของรัฐมนตรีบางคนด้วยซ้ำ..!!??

เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนขั้วเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ และส่งนักการเมืองหนุ่ม อดีตผู้พิพากษาอย่าง พีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ไปเป็นรมว.ยุติธรรม สื่อมวลชนส่วนใหญ่จึงคาดหมายกันว่า ไม่เกิน 2-3 เดือนคงจะมีการตัดสินใจเปลี่ยนอธิบดีกรมสำคัญกรมนี้..

แต่รอแล้วรอเล่า ได้แต่เฝ้ารอ...

กระทั่ง 17 เม.ย. 2552 เกิดกรณีปฏิบัติการลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเพียงไม่กี่วันก็สอบสวนพบว่ามีคนของดีเอสไอเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง จึงเชื่อกันว่า หลัง 17 เม.ย. 52ไม่กี่วันประมุขของดีเอสไอน่าจะพ้นจากเก้าอี้ แต่ก็หาได้เป็นไปตามนั้น...

รัฐบาลประชาธิปัตย์ลากยาวมาใช้จังหวะสิ้นปีงบประมาณ ที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีแทน ซึ่งมองผิวเผินเหมือนว่าจะดูดี แต่หากมองอีกแง่การที่ปล่อยเวลามาค่อนปี มันคือการปล่อยให้ความยุติธรรมถูกทำลายอย่างลึกซึ้ง...คนที่ได้รับความเสียหายไม่เพียงคนที่เป็นคู่กรณีของดีเอสไอเท่านั้น

เชื่อหรือไม่ว่า...แม้แต่คนของพรรค ตั้งแต่รองนายกฯ ด้านความมั่นคงที่กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ก็ถูกนินทาว่าร้าย และโดยเฉพาะตัวรัฐมนตรี “พีรพันธ์” เองก็มีข่าวลือเชิงลบต่างๆ เกี่ยวกับตัวท่านเกิดขึ้นมากมาย...

ผมถึงว่า...แม้ “มาช้าดีกว่าไม่มา” แต่พอมาถึงจริงๆ มันแทบจะไม่ตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว

ก็ได้แต่หวังว่า...กรมสอบสวนคดีพิเศษยุคใหม่ ภายใต้อธิบดีคนใหม่ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ ซึ่งถูกโยกมาจากเลขาธิการ ปปท.รัฐมนตรีพีรพันธ์จะได้ทำงานแบบเข้าขาเข้ามือกันมากขึ้น แรงกดดันต่างๆ จะลดน้อยลง และควรจะได้จัดทัพปรับแถวดีเอสไอที่เริ่มจะกลายเป็นดินแดนสนธยากันใหม่...

อย่าให้กรมนี้เป็นอาวุธทางการเมืองคอยสกัดประหัตประหารคู่ต่อสู้ แต่ต้องเป็นอาวุธพิเศษที่จะทะลุทะลวงในคดีพิเศษๆ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำไม่ได้หรือทำได้ลำบาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อสถาปนาความเป็นธรรม ความถูกต้องให้เป็นจริงในยุคที่ความยุติธรรมในสังคมมีราคาแพงมีค่าใช้จ่ายสูงอย่างบัดซบ...!!

กรณีนัทธี จิตสว่าง

เป็นที่รู้ๆ กันว่า นัทธี จิตสว่าง ขึ้นเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยแรงดันของระบอบทักษิณ เช่นเดียวกับกรณีพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ครอบครัวของเขาแนบแน่นกับครอบครัวของทักษิณถึงขนาดว่าภรรยาของเขาคืออาจารย์พิเศษของ “อุ๊งอิ๊ง” บุตรสาวทักษิณ

เมื่อเป็นอธิบดีคุกครบ 4 ปี ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ นัทธีฉลาดพอที่จะเลือกหนทางย้ายออกทางข้างคือไปเป็นอธิบดีกรมคุมประพฤติ แทนที่จะเลือกหนทางลุ้นให้ ครม.ต่ออายุในตำแหน่งเดิมได้ครั้งละปี โดยวางแผนว่าย้ายไปอยู่กรมอื่นแล้วค่อยกลับมาดูแลคุกอีก 4 ปี ซึ่งความคาดหวังของเขาก็เป็นจริง ไปอยู่กรมคุมประพฤติครึ่งค่อนปี เขาก็ได้หวนคืนสู่ตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์อีกครั้งเมื่อเดือนก.ค. 2551 ในช่วงรัฐบาลสมชาย

เล่าลือกันว่าการกลับมาเป็นอธิบดีคุกรอบสองของนัทธี เป็นปฏิบัติการพิเศษเผื่อเหลือเผื่อขาด...เพื่อมาล้างคุกรอ “ทักษิณ” เผื่อว่าทักษิณอาจจะต้องเข้าคุก...

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นตำแหน่งสำคัญ ว่ากันว่าในยุคที่คดีการเมืองทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลืองเสื้อน้ำเงินกำลัง “จ่อคุก” กันหลายสิบหลายร้อยคน ถ้าอธิบดีกรมนี้เป็นคนใส่เสื้อสีด้วยล่ะก็...ชวนให้หวาดเสียวเป็นอย่างยิ่งว่า นักโทษหรือผู้ต้องหาคดีทางการเมืองจะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงใด...!!??

ฝากท่านพีรพันธ์ เจ้ากระทรวงและ ท่านชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนใหม่ไว้เป็นการบ้านเล็กๆ ด้วยสักข้อก็แล้วกัน

.........................

สรุปความกันอย่างรวบรัดรีบเร่ง ก่อนหมดเวลาส่งต้นฉบับตอนบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 29 ก.ย.อีกทีว่า...การแต่งตั้งโยกย้ายของกระทรวงยุติธรรมหนนี้ ชอบแล้ว ยุติธรรมแล้ว แม้จะเป็นความยุติธรรมที่แสนจะล่าช้าซะเหลือเกิน..!!??
กำลังโหลดความคิดเห็น