xs
xsm
sm
md
lg

โค้งสุดท้ายยิง “สนธิ” จ่อใกล้ตัวบิ๊กดีเอสไอ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปรามปราบยาเสพติด (บช.ปส.) ช่วยราชการดีเอสไอ
นับตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2552 วันที่ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ถูกกลุ่มบุคคลผู้ประสงค์ร้ายจู่โจมรถยนต์ด้วยอาวุธปืนอาก้า 47 และเอ็ม 16 รัวยิงกว่า 100 กว่านัด กอปรกับเป็นเวลาเดียวกับที่รัฐบาลยังคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ถือเป็นการกระทำในลักษณะเย้ยฟ้าท้ากฎหมายอย่างยิ่ง

จากเหตุการณ์จนถึง ณ ขณะนี้ เข้าล่วงเวลา 4 เดือนกว่าแล้วที่ทีมชุดสืบสวนที่มี พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น “หัวเรือใหญ่” ในการนำทีมชุดสืบสวนคลี่คลายคดี ทำงานวางแผนจัดแบ่งทีมเพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีอย่างไม่ลดละ แม้จะเจออุปสรรคมี “หนอนบ่อนไส้” รวมไปถึงการโดนข่มขู่จาก “ใครบางคน” ก็ตามที

ก่อนหน้าความชัดเจนของคดีเพิ่งมาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง 3 เดือนให้หลังนับจากวันเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ออกหมายจับ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือ นายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปรามปราบยาเสพติด (บช.ปส.) ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ จ.ส.อ.ปัญญา หรือห่อ ศรีเหรา ทหารสังกัดศูนย์สงครามพิเศษ จ.ลพบุรี และหมายจับ ส.อ.สมชาย บุนนาค สังกัดกองร้อยกองบังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้เป็นรายที่ 3

ถ้ารวมจิ๊กซอว์ภาพบุคคลที่เชื่อมโยงอย่างมีมูลและหลักฐาน ขณะนี้ในคดีดังกล่าว มีทั้งสิ้น 3 คน

โดยเป็นทหาร 2 คน ตำรวจ 1 คน โดยเป็นกองกำลังผสมระหว่างทหารและตำรวจในรูปแบบ “กฐินสามัคคี”

ในส่วนของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ที่กำลังหลบหนีคดี ทาง พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เป็นผู้รับหน้าเสื่อตามล่าหาตัวผู้ต้องสงสัยมาลงโทษอยู่ทุกขณะ

โดยในส่วนของผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับ “สีเขียว” ทางกองทัพก็ได้ออกมาให้ข่าวระบุว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการช่วยตามล่าตัวผู้ต้องหา

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าว ก็ออกมาระบุเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ว่า ขณะนี้พอจะรู้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คนยังอยู่ในประเทศไทย แต่เป็น “พื้นที่ต้องห้าม” ที่ตามกฎหมายระบุว่าไม่สามารถออกหมายค้นได้

“ในการหลบหนีของผู้ต้องหาเชื่อว่าต้องมีคนที่ช่วยเหลือเรื่องเงินทอง การหลบหนีไม่มีเงินทองคงไม่รู้จะหนีไปไหนได้”

จากคำพูดของ พล.ต.ท.อัศวิน ดูจะสวนทางกับทางกองทัพที่ออกมาเปิดเผยเรื่องการให้ความช่วยเหลืออย่างสิ้นเชิง ซึ่งพื้นที่ต้องห้ามตามกฎหมายที่ไม่สามารถออกหมายค้นได้จะมี อาทิ เขตพระราชฐาน เขตทหารบางเขตที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเขตพื้นที่ศาล แต่ก็ยังไม่มีการให้ความช่วยเหลือในส่วนดังกล่าวแต่อย่างใด

ถ้าย้อนกลับไปดูการสืบสวนของชุดคลี่คลายคดี ก็มีพยานหลักฐานชิ้นสำคัญหลายชิ้นเริ่มปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับที่ทีมสืบสวนจะทำการแกะร่องรอยขยายผลเพื่อตามล่าหาความจริง ซึ่งคล้อยหลังเพียงวันเดียวที่ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คนแรก ทีมชุดสืบสวนก็ได้พบรถต้องสงสัยของคนร้ายเป็นรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีเปลือกมังคุด หมายเลขทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ซึ่งได้หลักฐานภาพวงจรปิดจากบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง และได้ส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบต่อไป ซึ่งก็ยังไม่ปรากฏความคืบหน้าแต่อย่างใดกับรถต้องสงสัยคันดังกล่าว

ซึ่งรถคันดังกล่าวว่ากันว่า พ.อ.(ส) ได้โทรศัพท์ไปขอยืมรถเพื่อนก่อนเกิดเหตุยิงนายสนธินั้น มีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของเขา พบว่าเชื่อมโยงเกี่ยวข้องบุคคลและสถานที่ ซึ่งรวมไปถึง ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ โดยตำรวจสอบสวนพบว่า เบอร์โทร.หลักที่มีการโทร.เข้า-โทร.ออกกับทีมฆ่า ล้วนมาจากเบอร์ของ พ.อ.(ส) ทั้งสิ้น

และ พ.อ.(ส) คือบุคคลที่เป็นกุญแจดอกสำคัญนำไปสู่การไขปริศนาสาวถึง “ตอ” ตัวการใหญ่ได้

ต่อมา วันที่ 20 ก.ค. ปรากฏความคืบหน้าอีกเมื่อ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ได้มีคำสั่งให้คณะทำงานมีหนังสือประสาน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่งมอบรถยนต์กระบะอีซูซุ ดีแมคซ์ สีดำ ทะเบียน สศ-1785 กทม. ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้ในการราชการของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ได้ใช้ในช่วงหลบหนี และได้มีการนำรถยนต์คันดังกล่าวคืนไว้ แต่ ส.ต.ท.วรวุฒิ ยังหลบหนีไม่ยอมเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน และนอกจากนี้ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบบัตรประชาชนปลอมของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ซึ่งมีผู้ใหญ่ในหน่วยราชการประสานขอให้สวมชื่อนายอรรถพล ปาทาน ในทะเบียนกลางในเขตจังหวัดลพบุรี เพื่อใช้ในการราชการลับ ซึ่งนายอรรถพล เจ้าของบัตรประชาชนดังกล่าวมีตัวตนจริง !?

อย่างไรก็ดี พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ได้ออกมายอมรับว่ารถคันดังกล่าวเป็นของดีเอสไอจริง และได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากมีหลักฐานปรากฏว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ เซ็นชื่อเบิกใช้รถถึง 2 ครั้ง และ พ.อ.สุรศักดิ์ ณ ลำปาง ผู้บัญชาการสำนักเทคโนโลยีและการตรวจสอบ เป็นผู้ลงนามอนุมัติ

จากนั้นวันที่ 11 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน ได้เข้าตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 72/264 ซอยลาดปลาเค้า 72 แยก 12 ถนนลาดปลาเค้า แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. พร้อมยึดรถเก๋งยี่ห้อเชฟโรเลต ซาฟิร่า สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน ศว-8051 กทม.

เป็นบ้านของนางสมส่วน ศิริเจริญยิ่ง แม่ยายของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ซึ่งรถคันดังกล่าวถูก บช.ปส.อายัดไว้ตรวจสอบในคดียาเสพติด ซึ่งทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ระบุว่ารถยนต์เป็นของกลางที่อายัดมาได้จากคดียาเสพติดที่ ป.ป.ส.และดีเอสไอขยายผลจับกุมนายชาญณรงค์ มูเซอ ผู้ต้องหายาเสพติดรายใหญ่พร้อมของกลางกว่า 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา

อีกทั้งรถคันดังกล่าวยังมีการนำไปปลอมแปลงทะเบียนและมีการนำไปใช้เหมือนเป็นรถส่วนตัว ทั้งที่รถนั้นเป็นของส่วนราชการ โดยเลขทะเบียนในตอนแรกที่พบคือหมายเลขทะเบียน กษ 3737 เชียงใหม่

อย่างไรก็ตาม ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษก็มิได้มีคำตอบชัดเจนว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ นำรถของราชการไปใช้เป็นส่วนตัวได้อย่างไร และมีรายละเอียดการลงนามการเบิกไปใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งตามระเบียบของทางราชการต้องมีการรับรองจากบุคคลที่เซ็นรับรองให้นำของส่วนราชการไปใช้

โดยระบุแค่ว่า รถคันดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างในขั้นตอนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำหนังสือเพื่อนำมาลงทะเบียนเป็นรถของหลวง ไปใช้ประโยชน์ทางราชการ รถยังไม่ได้เป็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างเป็นทางการ โดยกล่าวอ้างว่าถ้าเกิดมีการจับกุมครั้งใหญ่ ทางดีเอสไอจะร่วมมือกับตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันทำงาน ซึ่งการทำงานจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะเมื่อบางหน่วยงานไม่มีก็สามารถหยิบยืมกันใช้ได้

“เกมเตะถ่วงยื้อเวลา” บวกกับ “ภารกิจช่วยกันอุ้ม” จึงเดินหน้าต่อไป

ตลอดเวลานับจากเกิดเหตุอุกอาจกลางเมือง ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ให้การปฏิเสธทุกครั้งว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ มิได้มีความเกี่ยวข้องกับดีเอสไออย่างลึกซึ้ง เพียงแค่มาช่วยราชการเพียงบางครั้งเท่านั้น

คำกล่าวอ้างของทางกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับดีเอสไอถูกตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง

เมื่อปรากฏเอกสารเป็นหนังสือคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขที่ 121/2552 เรื่องการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ลงวันที่ 18 ก.พ.52 โดยคำสั่งดังกล่าวได้มีการแยกเจ้าหน้าที่ออกเป็น 3 กลุ่ม โดยชุดปฏิบัติการที่ 3 เกี่ยวกับสำนักเทคโนโลยี และศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ ลำดับที่ 24 ปรากฏชื่อ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ผู้ต้องหาในคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไปช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งหนังสือดังกล่าวตรงกันข้ามกับการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ออกมาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ไม่ได้มาช่วยราชการที่ดีเอสไอ

แม้ว่า พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้บัญชาการสำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะออกมาเปิดเผยถึงกรณีนี้ว่าเป็นแค่การร่วมมือในการทำงานของหน่วยงานอื่นกับดีเอสไอแบบบูรณาการนั้น แต่ในหลักปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติกรมสอบสวนคดีพิเศษ 2547

ระบุไว้ในมาตรา 33 ว่าในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้

และตัวเขาเป็นผู้เสนอชื่อ ส.ต.ท.วรวุฒิ เอง ทางอธิบดีเพียงแค่เซ็นรับรองเท่านั้นมิได้มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด

แต่หากกรมสอบสวนคดีพิเศษปฏิเสธว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ มิได้เข้ามาช่วยราชการ หรือโอนย้ายมาทำงานในกรมสอบสวนคดีพิเศษตามที่ปฎิเสธมาตลอด คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ และ พ.ต.อ.ทวี สอดสอง ซึ่งเป็นผู้ลงนามในคำสั่งดังกล่าวน่าจะมีความผิดตามมาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา เพราะการแต่งตั้งข้าราชการจากหน่วยงานอื่นต้องได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

กระนั้นก็ตามที ทางดีเอสไอก็อาจจะนำข้อกฏหมายมาตราอื่นของ พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษมาแย้งว่าทางดีเอสไอสามารถดึงคนจากหน่วยงานอื่นมาช่วยราชการได้ตามปกติที่ พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ อำนวยไว้

จากกรณีนี้จึงเกิดความสับสนว่า พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ 2547 มาตราใดมีอำนาจในการที่จะดึงเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษกันแน่ ??

แต่ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือข้อสงสัยที่เชื่อมโยงพุ่งเข้ามาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้หนักหน่วงเพียงใด ผู้มีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลสูงสุดอย่างรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมที่ชื่อ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็ได้ออกมาปกป้องทุกครั้งที่มีประเด็นข่าวพาดพิงในทางคดีถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษทุกครั้ง

ในทางกลับกัน ทางดีเอสไอกลับเสมือนมองไม่เห็นหัวพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นแกนนำรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมายังทำเหมือนเป็น “หอกข้างแคร่” อาทิ กรณีส่งสำนวนสอบสวนเส้นทางการเงิน 258 ล้านบาท ของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่บริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ อีกทั้งยังมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พจมาน ชินวัตร ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัทเอสซี แอสเซท จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อนที่นายพีระพันธุ์ จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการก็ประกาศชัดว่าจะรื้อคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาแต่ก็ได้เงียบหายเข้ากลีบเมฆ

แถมนายพีระพันธุ์ยังเคยยอมรับว่าเคยถูกดักฟังโทรศัพท์ และเคยให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า “ไม่แก้ ปล่อยมันไปเรื่อยๆ ใครอยากฟังก็ทำไป และคงไม่ต้องสืบอะไรมากเพราะรู้ๆ กันอยู่ว่ามันมีกี่แห่งที่มีอุปกรณ์ เครื่องมือแบบนี้ และสามารถดักฟังได้”

กระนั้นก็ตามที ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่น่าจะเกิดขึ้น ยังดูเหมือนว่ายังอยู่ห่างไกลในห้วงความคิดของรัฐมนตรียุติธรรม

ถึงกับมีกระแสข่าวแว่วมาว่าทางดีเอสไอมี “ของดี” ที่สามารถต่อรองกับทางพีระพันธุ์ได้อย่างชะงักงัน!?

นับจากนี้จึงเป็นเหมือนโค้งสุดท้ายของคดีลอบสังหารที่ทีมชุดสืบสวนจะทำการขยายผลหาจิ๊กซอว์มาประกอบกันเพื่อโยงไปถึง “กลุ่มหัวขบวน” ที่สั่งฆ่าให้จงได้

ขณะที่ภาพเค้าลางความชัดเจนของหลักฐานที่ชุดคลี่คลายคดีได้สืบสวนทำคดีจนปรากฏความจริงขึ้นเรื่อยๆ

แต่เวลาของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุดทีมสืบสวนคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็กำลังจะหมดลงไปทุกขณะเช่นกัน

ซึ่งถึงวาระที่จะต้องเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้ ถึงแม้ว่า “นายพลไม้บรรทัด” จะประกาศว่าจะสะสางพันธกิจสำคัญให้ลุล่วงก่อนเกษียณให้ได้

ถ้าดูจากหลักฐานชิ้นสำคัญที่ปรากฏชัดเจนในช่วงหลังมานี้ กับคำพูดของ พล.ต.ท.อัศวิน ที่ว่า ผู้ต้องหายังอยู่ในประเทศไทย และเชื่อว่าต้องมีคนที่ช่วยเหลือเรื่องเงินทอง การหลบหนีไม่มีเงินทองคงไม่รู้จะหนีไปไหนได้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ส.ค. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ได้ออกมาระบุในลักษณะเดียวกันว่ายังไม่สามารถออกหมายจับเพิ่มเติมได้ เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ แต่ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนไปเฝ้าตามจุดต่างๆ ที่คาดว่า คนร้ายจะใช้เป็นเส้นทางหลบหนี ซึ่งมีหลายจุด เบื้องต้นพบว่าคนร้ายทั้ง 3 คน แยกกันอยู่คนละจุด คาดว่า มีพวกเยอะที่ให้ความช่วยเหลือ แต่น่าจะยังอยู่ในประเทศไทย และรถต้องสงสัยที่ได้จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบจุดพิรุธว่ารถมีรอยซ่อมปะ และมีรู ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบว่าร่องรอยเหล่านี้เกิดจากอะไร เพื่อนำไปประกอบสำนวนการสอบสวนใช้ดำเนินคดี

กับเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากของทีมชุดสืบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าว คงจะต้องเร่งทำงานอย่างหนักกันอีกรอบที่ดูเหมือนว่าหลักฐานในช่วงหลังจะปรากฏพุ่งเป้าไปที่ “แดนสนธยา” ที่ดูเหมือนว่าจะมีจิ๊กซอว์ค่อยๆเผยภาพให้ชัดขึ้นอยู่ทุกขณะ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่ายังคงมี “คนระดับบิ๊ก” อาจจะติดต่อให้ข้อมูลในการหลบหนีและช่วยเหลือแบบลับๆกับผู้ต้องหาบางคนอยู่

ซึ่งในนาทีนี้ชุดทีมสืบสวนอาจจะต้องงัดกลยุทธ์และวิทยายุทธ์ขึ้นมาใช้อย่างเต็มกำลังหรือจะใช้วิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง อย่างที่ “ลูกน้อง” บางคนขู่ไว้แบล็กเมล์ “หัวหน้าบางคนอยู่

มันก็น่าลองอยู่มิใช่หรือ

ส่วนเวลาที่เหลืออยู่ของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เขาจะสามารถทำคดีได้ลุล่วงเปิดเผยความจริงให้สังคมรับรู้ได้มากแค่ไหนก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.นี้ ต้องติดตาม !?
จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ทหารศูนย์สังกัดสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี
ส.อ.สมชาย บุนนาค สังกัดกองร้อยกองบังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี
รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็กซ์ สีดำ ทะเบียน สศ 1785 ที่สงสัยส.ต.ท.วรวุฒิใช้หลบหนี
กำลังโหลดความคิดเห็น