เอเอฟพี – บรรดาเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์วานนี้(28) พากันร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ หลังจากยอมรับว่ารับมือไม่ไหวกับมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นภายในและรอบๆ กรุงมะนิลาตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 140 คน และผู้รอดชีวิตที่เหนื่อยอ่อนเป็นแสนๆ คน ต้องอยู่กันตามที่พักอันมีสภาพเลวร้าย ท่ามกลางความขาดแคลนไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำสะอาด และยา
สองวันหลังจากพายุ “กิสนา” ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมใหญ่ตลอดทั่วทั้งกรุงมะนิลาและจังหวัดรายรอบ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบหลายฝ่ายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ได้ออกมายอมรับว่า ไม่สามารถรับมือกับหายนภัยคราวนี้ด้วยตนเอง และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติอย่างเร่งด่วน
“เรากำลังร้องขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติ” รัฐมนตรีกลาโหม คิลเบร์โต เตโอโดโร กล่าวในการแถลงสรุปถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ “มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างที่สุด และเราไม่สามารถรอคอยให้สถานการณ์เช่นนั้นบังเกิดขึ้นมา”
เตโอโดโรประกาศร้องขอคราวนี้ ในขณะที่เขาแถลงว่าจำนวนผู้เสียชีวิตได้พุ่งทะลุระดับ 140 คนแล้ว โดยที่ยังมีคนสูญหายไปอีก 32 คน และผู้ที่ต้องทิ้งบ้านเรือนซึ่งถูกน้ำท่วมหรือถูกทำลายก็มีจำนวน 453,000 คน
อย่างไรก็ดี คาดหมายกันว่าจำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะทะยานสูงกว่านี้อีก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นหลายๆ แห่งรายงานว่าพบศพผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ที่ดูเหมือนยังไม่ได้นับรวมอยู่ในตัวเลขของรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย พูดถึงพายุ “กิสนา” ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักหน่วงคราวนี้ว่า “เป็นพายุไต้ฝุ่นที่ชั่วชีวิตหนึ่งจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง” และกล่าวว่า “เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ความสามารถในการตอบโต้ของเราตึงมือจนถึงขีดสุด ทว่ามันก็ยังไม่ได้ทำให้เราแตกสลายลงไป”
แต่ภัยคุกคามอย่างอื่นๆ ที่ทำท่าจะติดตามมา โดยเฉพาะโรคร้ายต่างๆ ที่เตรียมโจมตีพื้นที่ประสบภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ก็ขาดแคลนข้าวของที่จะให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิต จึงทำให้เจ้าหน้าที่ทางการคนอื่นๆ ยอมรับว่าทางการฟิลิปปินส์เองรับมือไม่ไหวแล้ว
“เรากำลังรวมศูนย์ในเรื่องการปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ขนาดมหึมา แต่ระบบของเราอยู่ในสภาพเกินกำลัง หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลส่วนท้องถิ่นก็อยู่ในสภาพเกินกำลัง” แอนโธนี โกเลซ ประธานสภาประสานงานหายนภัยแห่งชาติกล่าวกับผู้สื่อข่าว
เหตุน้ำท่วมร้ายแรงภายหลังจากที่ฝนตกหนักติดต่อกันกว่า 9 ชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้พื้นที่ร้อยละ 80 ของกรุงมะนิลา ซึ่งมีประชากรราว 12 ล้านคน มีน้ำท่วมขังสูงถึง 6 เมตร ในขณะที่ระบบการระบายน้ำย่ำแย่และขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับที่ดีพอทำให้ปัญหายิ่งชุลมุนหนักขึ้น มีการตัดไฟและโทรศัพท์ในหลายพื้นที่
จนกระทั่งวานนี้ พื้นที่บางส่วนของมะนิลายังคงมีระดับน้ำสูงถึงเอว สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นรายงานว่ามีประชาชนบางส่วนติดค้างอยู่บนชั้นสองหรือบนหลังคาบ้านของตนเองนานกว่า 48 ชั่วโมง ส่วนพื้นที่ที่ระดับน้ำลดลงแล้วก็ยังมีน้ำสูงท่วมถึงเข่า
ที่สนามกีฬากลางแจ้งแห่งหนึ่งทางตะวันออกของกรุงมะนิลาซึ่งถูกจัดให้เป็นที่พักชั่วคราว มีผู้ประสบเหตุน้ำท่วมอยู่ราว 3,000 คน โดยต้องทนกับสภาพร้อนและชื้น ขาดแคลนน้ำสะอาด ผู้คนต้องนอนพักอยู่ใกล้ๆ กับสิ่งปฏิกูลจากมนุษย์ หนำซ้ำยังมีศพผู้เสียชีวิต 11 รายนอนในโลงศพวางอยู่ใกล้ๆ กันด้วย
ในพื้นที่ย่านคนร่ำรวยในมะนิลาเองก็ถูกน้ำท่วมด้วยเช่นกัน ประชาชนต้องคอยวิ่งไล่ตามพวกมิจฉาชีพที่คอยฉกชิงข้าวของมีค่า เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตระเวนสกัดอาชญากรรม
สองวันหลังจากพายุ “กิสนา” ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมใหญ่ตลอดทั่วทั้งกรุงมะนิลาและจังหวัดรายรอบ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบหลายฝ่ายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ได้ออกมายอมรับว่า ไม่สามารถรับมือกับหายนภัยคราวนี้ด้วยตนเอง และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติอย่างเร่งด่วน
“เรากำลังร้องขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติ” รัฐมนตรีกลาโหม คิลเบร์โต เตโอโดโร กล่าวในการแถลงสรุปถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ “มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างที่สุด และเราไม่สามารถรอคอยให้สถานการณ์เช่นนั้นบังเกิดขึ้นมา”
เตโอโดโรประกาศร้องขอคราวนี้ ในขณะที่เขาแถลงว่าจำนวนผู้เสียชีวิตได้พุ่งทะลุระดับ 140 คนแล้ว โดยที่ยังมีคนสูญหายไปอีก 32 คน และผู้ที่ต้องทิ้งบ้านเรือนซึ่งถูกน้ำท่วมหรือถูกทำลายก็มีจำนวน 453,000 คน
อย่างไรก็ดี คาดหมายกันว่าจำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะทะยานสูงกว่านี้อีก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นหลายๆ แห่งรายงานว่าพบศพผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ที่ดูเหมือนยังไม่ได้นับรวมอยู่ในตัวเลขของรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย พูดถึงพายุ “กิสนา” ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักหน่วงคราวนี้ว่า “เป็นพายุไต้ฝุ่นที่ชั่วชีวิตหนึ่งจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง” และกล่าวว่า “เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ความสามารถในการตอบโต้ของเราตึงมือจนถึงขีดสุด ทว่ามันก็ยังไม่ได้ทำให้เราแตกสลายลงไป”
แต่ภัยคุกคามอย่างอื่นๆ ที่ทำท่าจะติดตามมา โดยเฉพาะโรคร้ายต่างๆ ที่เตรียมโจมตีพื้นที่ประสบภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ก็ขาดแคลนข้าวของที่จะให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิต จึงทำให้เจ้าหน้าที่ทางการคนอื่นๆ ยอมรับว่าทางการฟิลิปปินส์เองรับมือไม่ไหวแล้ว
“เรากำลังรวมศูนย์ในเรื่องการปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ขนาดมหึมา แต่ระบบของเราอยู่ในสภาพเกินกำลัง หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลส่วนท้องถิ่นก็อยู่ในสภาพเกินกำลัง” แอนโธนี โกเลซ ประธานสภาประสานงานหายนภัยแห่งชาติกล่าวกับผู้สื่อข่าว
เหตุน้ำท่วมร้ายแรงภายหลังจากที่ฝนตกหนักติดต่อกันกว่า 9 ชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้พื้นที่ร้อยละ 80 ของกรุงมะนิลา ซึ่งมีประชากรราว 12 ล้านคน มีน้ำท่วมขังสูงถึง 6 เมตร ในขณะที่ระบบการระบายน้ำย่ำแย่และขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับที่ดีพอทำให้ปัญหายิ่งชุลมุนหนักขึ้น มีการตัดไฟและโทรศัพท์ในหลายพื้นที่
จนกระทั่งวานนี้ พื้นที่บางส่วนของมะนิลายังคงมีระดับน้ำสูงถึงเอว สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นรายงานว่ามีประชาชนบางส่วนติดค้างอยู่บนชั้นสองหรือบนหลังคาบ้านของตนเองนานกว่า 48 ชั่วโมง ส่วนพื้นที่ที่ระดับน้ำลดลงแล้วก็ยังมีน้ำสูงท่วมถึงเข่า
ที่สนามกีฬากลางแจ้งแห่งหนึ่งทางตะวันออกของกรุงมะนิลาซึ่งถูกจัดให้เป็นที่พักชั่วคราว มีผู้ประสบเหตุน้ำท่วมอยู่ราว 3,000 คน โดยต้องทนกับสภาพร้อนและชื้น ขาดแคลนน้ำสะอาด ผู้คนต้องนอนพักอยู่ใกล้ๆ กับสิ่งปฏิกูลจากมนุษย์ หนำซ้ำยังมีศพผู้เสียชีวิต 11 รายนอนในโลงศพวางอยู่ใกล้ๆ กันด้วย
ในพื้นที่ย่านคนร่ำรวยในมะนิลาเองก็ถูกน้ำท่วมด้วยเช่นกัน ประชาชนต้องคอยวิ่งไล่ตามพวกมิจฉาชีพที่คอยฉกชิงข้าวของมีค่า เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตระเวนสกัดอาชญากรรม