ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (25 ก.ย.) คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิ) จัดสัมมนาโครงการประเมินผลทบทวนการดำเนินงานของวิปวุฒิ ในรอบหนึ่งปี มีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม
นายนิคม กล่าวว่า วิปวุฒิ มีปัญหาเช่น เมื่อวิปวุฒิมีมติตั้ง กมธ. แต่บางครั้งในที่ประชุมวุฒิสภาก็มีการเปลี่ยน หรือการตั้งกมธ.วิสามัญ บางครั้งก็ตั้งแต่คนหน้าเดิมๆ ทั้งที่ในวิปมีมติอีกแบบหนึ่ง
นายนิคม กล่าวว่าการทำงานวิปวุมิสภามีปัญหาเพราะเมื่อวิปส่งตัวแทน ไปเจรจากับฝ่ายอื่น ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเพื่อนสมาชิก มักมีข่าวตลอดเวลาว่า วิปวุฒิไม่สามารถตัดสินใจแทนได้และเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ว.แต่ละคน ซึ่งทำให้วิปวุฒิทำงานลำบากมาก แม้ตอนนี้ ที่วิปวุฒิส่ง 3 คนไปเจรจาร่วมกับวิปฝ่ายค้านและรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พอกลับมาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็มีเสียงคัดค้านแล้วว่า ไม่ใช่ตัวแทนวุฒิ แบบนี้จึงทำให้เสียโอกาสการเจรจา
อย่างไรก็ดี วิปก็ต้องทบทวนบทบาท เมื่อวิปมีความเห็นอย่างไร ก็ต้องเดินหน้าตามมติ และต้องไม่แตก จึงขอให้ส.ว.ช่วยทบทวนบทบาท เพื่อให้ข่าว ไปในทางเดียวกัน แม้ในใจจะเห็นแย้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ส.ว.ได้สลับสับเปลี่ยนกันอภิปรายเสนอความเห็น โดยส.ว.เห็นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็นส.ว.เลือกตั้ง เห็นว่า ส.ว.ควรทำตาม มติวิปวุฒิ เพราะในการประชุมวุฒิสภา บางเรื่องก็ใช้เวลานานมาก ทั้งที่ไม่น่าจะนานขนาดนั้น เช่น วาระรับทราบรายงาน บางเรื่องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง ทำให้แทนที่จะพิจารณากฎหมายได้มากว่านี้ ก็ทำไม่ได้ หรือบางครั้งผู้ที่ไม่เห็นด้วย ก็ออกไปพูดอีกแบบ ทำให้เกิดภาพความขัดแย้ง
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นส.ว.สรรหา มองว่า ความเห็นในเรื่องต่างๆ ไม่เป็นไร โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างการแก้รัฐธรรมนูญ แต่อย่างเรื่องการตั้งกมธ.พิจารณา ร่างกฎหมาย บางครั้งมีการไปเปลี่ยนชื่อในที่ประชุมวุฒิสภา ทำให้ส.ว.หลายคนบ่น เช่น ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท เฉพาะเรื่องนี้จึงเห็นด้วยว่า ต้องทำตามมติวิปวุฒิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการอภิปรายเร่มตรึงเครียด และมีการตอบโต้กัน เมื่อมีการยกกรณีการเป็นตัวแทนของวิปวุฒิไปเจรจาร่วมกับวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า เรื่องสำคัญๆ ส.ว. มองเห็นแตกต่างกันได้ โดยเฉพาะภารกิจเรื่องการเป็นตัวแทนวิปวุฒิไปประชุมร่วมวิป 3 ฝ่าย ซึ่งเมื่อไปฟังที่ประชุมวิปสามฝ่ายแล้ว ก็ต้องนำกลับมารายงานในวิป ไม่ใช่ไปพูดในฐานะตัวแทนวุฒิสภา
สมมติว่า ถ้าผท คุณคำนูณ สิทธิสมาน คุณไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เป็นตัวแทนวิปวุฒิไปประชุมร่วมแล้วอยู่ดีๆ ไปบอกว่า วุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถามว่า ส.ว.คนอื่นๆ จะรู้สึกอย่างไร แต่ที่ผ่านมา ตัวแทนวิปวุฒิที่ไปเจรจา ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ทั้งที่วุฒิสภาต้องเข้าไปในฐานะผู้ใหญ่ ที่วิปวุฒิประชุมล่าสุดวันที่ 23 กันยายน ก็ส่งเอสเอ็มเอสถามสมาชิกก่อนไปประชุมร่วม ก็มีคนคัดค้าน 27 ต่อ 3 เสียง แต่ก็มีข่าวออกมาว่า วิปวุฒิไปสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญแบบใดแบบหนึ่ง
ทำให้นายนิคม ตอบโต้ทันทีว่า ไม่ใช่ๆ ให้ลองโหวตในวิปวุฒิ พวกผมชนะพวกท่านแน่
อย่างไรก็ดี พล.อ. เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา พยายามชี้แจงว่า ที่ไปครั้งล่าสุด วิปวุฒิเปลี่ยนท่าทีแล้ว คือเป็นคนกลางไปนั่งฟังเฉยๆ ไม่ได้ไปชี้ขาด ให้คุณให้โทษ ฝ่ายใด ทำให้นายสมชาย กล่าวว่า การเปลี่ยนท่าทีครั้งล่าสุดของวิปวุฒิ มาเป็นคนกลางไปรับฟังอย่างเดียวก็ทำให้สง่างาม ซึ่งขอขอบคุณตัวแทนวิปวุฒิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นส.ว.หลายคน พยายามไกล่เกลี่ย โดยระบุว่า ควรหารือกันในกรอบการประเมินผลการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการทำงานของคณะกรรมาธิการสามัญที่ไม่ค่อยเป็นข่าว ทำให้ส.ว.หลายคน อภิปรายตำหนิสื่อว่า ไม่ค่อยเสนอข่าวของคณะกรรมาธิการซึ่งมีความสำคัญ แต่กลับเน้นไปที่การเสนอข่าวประธานวุฒิสภา 60-70 %
นอกจากนี้ บางคณะไปแถลงข่าวแล้วข่าวไม่ได้ลง มีสถิติเป็น 0 ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า คณะกรรมาธิการทุกคณะ ควรตั้งโฆษกหาเวลามาแถลงกับสื่อมวลชน อย่างไรก็ดี พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เมื่อแถลงแล้วไม่เป็นข่าว ก็โทษสื่อไม่ได้ ต้องดูว่า ผู้แถลงมีกึ๋นหรือไม่ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้แถลงเอง
นายนิคม กล่าวว่า วิปวุฒิ มีปัญหาเช่น เมื่อวิปวุฒิมีมติตั้ง กมธ. แต่บางครั้งในที่ประชุมวุฒิสภาก็มีการเปลี่ยน หรือการตั้งกมธ.วิสามัญ บางครั้งก็ตั้งแต่คนหน้าเดิมๆ ทั้งที่ในวิปมีมติอีกแบบหนึ่ง
นายนิคม กล่าวว่าการทำงานวิปวุมิสภามีปัญหาเพราะเมื่อวิปส่งตัวแทน ไปเจรจากับฝ่ายอื่น ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเพื่อนสมาชิก มักมีข่าวตลอดเวลาว่า วิปวุฒิไม่สามารถตัดสินใจแทนได้และเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ว.แต่ละคน ซึ่งทำให้วิปวุฒิทำงานลำบากมาก แม้ตอนนี้ ที่วิปวุฒิส่ง 3 คนไปเจรจาร่วมกับวิปฝ่ายค้านและรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พอกลับมาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็มีเสียงคัดค้านแล้วว่า ไม่ใช่ตัวแทนวุฒิ แบบนี้จึงทำให้เสียโอกาสการเจรจา
อย่างไรก็ดี วิปก็ต้องทบทวนบทบาท เมื่อวิปมีความเห็นอย่างไร ก็ต้องเดินหน้าตามมติ และต้องไม่แตก จึงขอให้ส.ว.ช่วยทบทวนบทบาท เพื่อให้ข่าว ไปในทางเดียวกัน แม้ในใจจะเห็นแย้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ส.ว.ได้สลับสับเปลี่ยนกันอภิปรายเสนอความเห็น โดยส.ว.เห็นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็นส.ว.เลือกตั้ง เห็นว่า ส.ว.ควรทำตาม มติวิปวุฒิ เพราะในการประชุมวุฒิสภา บางเรื่องก็ใช้เวลานานมาก ทั้งที่ไม่น่าจะนานขนาดนั้น เช่น วาระรับทราบรายงาน บางเรื่องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง ทำให้แทนที่จะพิจารณากฎหมายได้มากว่านี้ ก็ทำไม่ได้ หรือบางครั้งผู้ที่ไม่เห็นด้วย ก็ออกไปพูดอีกแบบ ทำให้เกิดภาพความขัดแย้ง
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นส.ว.สรรหา มองว่า ความเห็นในเรื่องต่างๆ ไม่เป็นไร โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างการแก้รัฐธรรมนูญ แต่อย่างเรื่องการตั้งกมธ.พิจารณา ร่างกฎหมาย บางครั้งมีการไปเปลี่ยนชื่อในที่ประชุมวุฒิสภา ทำให้ส.ว.หลายคนบ่น เช่น ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท เฉพาะเรื่องนี้จึงเห็นด้วยว่า ต้องทำตามมติวิปวุฒิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการอภิปรายเร่มตรึงเครียด และมีการตอบโต้กัน เมื่อมีการยกกรณีการเป็นตัวแทนของวิปวุฒิไปเจรจาร่วมกับวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า เรื่องสำคัญๆ ส.ว. มองเห็นแตกต่างกันได้ โดยเฉพาะภารกิจเรื่องการเป็นตัวแทนวิปวุฒิไปประชุมร่วมวิป 3 ฝ่าย ซึ่งเมื่อไปฟังที่ประชุมวิปสามฝ่ายแล้ว ก็ต้องนำกลับมารายงานในวิป ไม่ใช่ไปพูดในฐานะตัวแทนวุฒิสภา
สมมติว่า ถ้าผท คุณคำนูณ สิทธิสมาน คุณไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เป็นตัวแทนวิปวุฒิไปประชุมร่วมแล้วอยู่ดีๆ ไปบอกว่า วุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถามว่า ส.ว.คนอื่นๆ จะรู้สึกอย่างไร แต่ที่ผ่านมา ตัวแทนวิปวุฒิที่ไปเจรจา ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ทั้งที่วุฒิสภาต้องเข้าไปในฐานะผู้ใหญ่ ที่วิปวุฒิประชุมล่าสุดวันที่ 23 กันยายน ก็ส่งเอสเอ็มเอสถามสมาชิกก่อนไปประชุมร่วม ก็มีคนคัดค้าน 27 ต่อ 3 เสียง แต่ก็มีข่าวออกมาว่า วิปวุฒิไปสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญแบบใดแบบหนึ่ง
ทำให้นายนิคม ตอบโต้ทันทีว่า ไม่ใช่ๆ ให้ลองโหวตในวิปวุฒิ พวกผมชนะพวกท่านแน่
อย่างไรก็ดี พล.อ. เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา พยายามชี้แจงว่า ที่ไปครั้งล่าสุด วิปวุฒิเปลี่ยนท่าทีแล้ว คือเป็นคนกลางไปนั่งฟังเฉยๆ ไม่ได้ไปชี้ขาด ให้คุณให้โทษ ฝ่ายใด ทำให้นายสมชาย กล่าวว่า การเปลี่ยนท่าทีครั้งล่าสุดของวิปวุฒิ มาเป็นคนกลางไปรับฟังอย่างเดียวก็ทำให้สง่างาม ซึ่งขอขอบคุณตัวแทนวิปวุฒิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นส.ว.หลายคน พยายามไกล่เกลี่ย โดยระบุว่า ควรหารือกันในกรอบการประเมินผลการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการทำงานของคณะกรรมาธิการสามัญที่ไม่ค่อยเป็นข่าว ทำให้ส.ว.หลายคน อภิปรายตำหนิสื่อว่า ไม่ค่อยเสนอข่าวของคณะกรรมาธิการซึ่งมีความสำคัญ แต่กลับเน้นไปที่การเสนอข่าวประธานวุฒิสภา 60-70 %
นอกจากนี้ บางคณะไปแถลงข่าวแล้วข่าวไม่ได้ลง มีสถิติเป็น 0 ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า คณะกรรมาธิการทุกคณะ ควรตั้งโฆษกหาเวลามาแถลงกับสื่อมวลชน อย่างไรก็ดี พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เมื่อแถลงแล้วไม่เป็นข่าว ก็โทษสื่อไม่ได้ ต้องดูว่า ผู้แถลงมีกึ๋นหรือไม่ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้แถลงเอง