ASTVผู้จัดการรายวัน – ส.อุตสาหกรรมก่อสร้างระดมสมองรับมืองานก่อสร้างโครงการไทยเข้มแข้ง เตือนสมาชิกอย่าแข่งตัดราคา หวั่นสร้างไม่ได้ เหตุราคาวัสดุปรับขึ้นกว่า 20% พร้อมยื่นมือเจรจาโรงงานวัสดุฯ ลดราคาพิเศษให้สมาชิก เผยเจรจา “พฤฒิชัย” รมช.คลัง-กรมบัญชีกลาง ขอแก้ระเบียบสัญญาค้ำประกันการประกวด ราคา-แก้ปัญหาร่างทีโออาร์กันล็อคสเปกวัสดุ
วานนี้ (22 ก.ย.) สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานสัมมนาเรื่อง “ เตรียมรับมือ งบไทยเข้มแข็ง ” โดยนายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ เปิดเผยว่า สมาคมฯจัดงานสัมมนาดังกล่าว เพื่อระดมความคิดและแก้ปัญหาจากการก่อสร้าง เพื่อให้เตรียมความพร้อมให้แก่สมาชิก ในการประมูลงานก่อสร้างภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ที่มีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2552-2555
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีโครงการไทยเข้มแข็งออกมา ราคาวัสดุก่อสร้างหลายประเภท กลับขึ้นราคาสูงมากอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมามาก จึงเชื่อว่า ผู้ผลิตปรับขึ้นเพื่อรองรับงานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว อาทิ ปูนผงปรับขึ้น 500 บาท/ตัน, เหล็กเส้นจาก 18 บาท/กิโลกรัมขึ้นมาที่ 22-25 บาท/กก. รวมถึงวัสดุก่อสร้างอีกหลายชนิด โดยรวมราคาขึ้นไปมากว่า 15-20%
“ จึงต้องการเตือนสมาชิกสมาคมฯ เรื่องการแข่งขันตัดราคาประมูลงาน เพื่อให้ได้งานจากภาครัฐ หลังจากที่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ งานขาดมือมาเป็นเวลานาน อาจไม่สามารถควบคุมต้นทุนก่อสร้าง ในราคาที่กำหนดจนเป็นเหตุให้ขาดทุนได้ ”
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมฯมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อลดผลกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น โดยเป็นตัวกลางในการเจรจาซื้อวัสดุก่อสร้างจากผู้ผลิตขนาดใหญ่ เช่น บริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน), บริษัทปูนซิเมนต์ ไทย จำกัด (มหาชน) เพราะโดยปกติหากเป็นรายใหญ่จะซื้อได้ราคาพิเศษ เช่น ซื้อคอนกรีตราคาพิเศษลดประมาณ 50% ต่างจากผู้รับเหมารายเล็กที่ได้ลดราคาเฉลี่ย 10-15% เท่านั้น
นายพลพัฒ กล่าวว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯได้เข้าหารือกับนายพฤติชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และอธิบกรมบัญชีกลาง เพื่อขอให้แก้ระเบียบของกรมบัญชีกลางเรื่อง สัญญาค้ำประกันการประกวดราคา ที่เดิมผู้รับเหมาจะต้องวางเงินค้ำประกันประมูลงานก่อสร้าง ที่เป็นหนังสือ รับรองจากธนาคารคิดเป็น 5% ของมูลค่างานก่อสร้าง หากไม่มาประมูลหรือยื่นเคาะราคาผ่านระบบอีออกชันไม่ทัน หรือยื่นประมูลเกินราคากลางจะถูกยึดเงินประกันเต็มจำนวน
“กรมบัญชีกลางรับปากจะพิจารณาการยึดเงินประกันเพียง 10% ของวงเงินค้ำประกัน อีกทั้งจะพิจารณาแก้ไขระเบียบให้สามารถประมูลเกินราคากลางได้ เพราะผู้รับเหมาอยากได้งานทั้งนั้น แต่ถ้าเอกชนไม่สามารถประมูลตามราคากลางได้ ก็ไม่น่าจะเป็นความผิด เพราะปัจจุบันราคาวัสดุผันผวนมาก ไม่เหมือนอดีตที่ปรับขึ้นที่ละน้อย และ สิ่งที่ทางสมาคมฯมีความห่วงใยในขณะนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง จะเป็นไปอย่างล่าช้า จึงควรเร่งเบิกจ่ายเพื่อกระจายเงินให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างได้ประโยชน์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป”
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้เสนอประเด็นการร่างข้อกำหนดสัญญาก่อสร้าง หรือ ทีโออาร์ เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ผู้รับเหมาซื้อสินค้าบางชนิดในราคาแพงเกินกว่าความเป็นจริง 20% แม้ว่าทีโออาร์จะมีบริษัทให้เลือกหลายราย และไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ให้ใช้วัสดุจากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่กลับไปกำหนดในคุณสมบัติพิเศษมีเพียงบริษัทเท่านั้น
ในประเด็นดังกล่าว ในที่ประชุมได้เสนอให้สมาชิกที่เคยได้รับผลกระทบจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เสนอต่อสมาคมฯ หลังจากนั้นสมาคมฯจะเขียนเป็นรายละเอียดแจกแจงและนำเสนอต่อกรมบัญชีกลางต่อไป เพื่อให้กรมบัญชีกลางได้รับทราบว่า สัญญาแบบใดควรเขียน หรือ ไม่ควรกำหนดในร่างทีโออาร์ เพราะจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง.
วานนี้ (22 ก.ย.) สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานสัมมนาเรื่อง “ เตรียมรับมือ งบไทยเข้มแข็ง ” โดยนายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ เปิดเผยว่า สมาคมฯจัดงานสัมมนาดังกล่าว เพื่อระดมความคิดและแก้ปัญหาจากการก่อสร้าง เพื่อให้เตรียมความพร้อมให้แก่สมาชิก ในการประมูลงานก่อสร้างภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ที่มีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2552-2555
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีโครงการไทยเข้มแข็งออกมา ราคาวัสดุก่อสร้างหลายประเภท กลับขึ้นราคาสูงมากอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่ราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมามาก จึงเชื่อว่า ผู้ผลิตปรับขึ้นเพื่อรองรับงานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว อาทิ ปูนผงปรับขึ้น 500 บาท/ตัน, เหล็กเส้นจาก 18 บาท/กิโลกรัมขึ้นมาที่ 22-25 บาท/กก. รวมถึงวัสดุก่อสร้างอีกหลายชนิด โดยรวมราคาขึ้นไปมากว่า 15-20%
“ จึงต้องการเตือนสมาชิกสมาคมฯ เรื่องการแข่งขันตัดราคาประมูลงาน เพื่อให้ได้งานจากภาครัฐ หลังจากที่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ งานขาดมือมาเป็นเวลานาน อาจไม่สามารถควบคุมต้นทุนก่อสร้าง ในราคาที่กำหนดจนเป็นเหตุให้ขาดทุนได้ ”
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมฯมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อลดผลกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น โดยเป็นตัวกลางในการเจรจาซื้อวัสดุก่อสร้างจากผู้ผลิตขนาดใหญ่ เช่น บริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน), บริษัทปูนซิเมนต์ ไทย จำกัด (มหาชน) เพราะโดยปกติหากเป็นรายใหญ่จะซื้อได้ราคาพิเศษ เช่น ซื้อคอนกรีตราคาพิเศษลดประมาณ 50% ต่างจากผู้รับเหมารายเล็กที่ได้ลดราคาเฉลี่ย 10-15% เท่านั้น
นายพลพัฒ กล่าวว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯได้เข้าหารือกับนายพฤติชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และอธิบกรมบัญชีกลาง เพื่อขอให้แก้ระเบียบของกรมบัญชีกลางเรื่อง สัญญาค้ำประกันการประกวดราคา ที่เดิมผู้รับเหมาจะต้องวางเงินค้ำประกันประมูลงานก่อสร้าง ที่เป็นหนังสือ รับรองจากธนาคารคิดเป็น 5% ของมูลค่างานก่อสร้าง หากไม่มาประมูลหรือยื่นเคาะราคาผ่านระบบอีออกชันไม่ทัน หรือยื่นประมูลเกินราคากลางจะถูกยึดเงินประกันเต็มจำนวน
“กรมบัญชีกลางรับปากจะพิจารณาการยึดเงินประกันเพียง 10% ของวงเงินค้ำประกัน อีกทั้งจะพิจารณาแก้ไขระเบียบให้สามารถประมูลเกินราคากลางได้ เพราะผู้รับเหมาอยากได้งานทั้งนั้น แต่ถ้าเอกชนไม่สามารถประมูลตามราคากลางได้ ก็ไม่น่าจะเป็นความผิด เพราะปัจจุบันราคาวัสดุผันผวนมาก ไม่เหมือนอดีตที่ปรับขึ้นที่ละน้อย และ สิ่งที่ทางสมาคมฯมีความห่วงใยในขณะนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง จะเป็นไปอย่างล่าช้า จึงควรเร่งเบิกจ่ายเพื่อกระจายเงินให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างได้ประโยชน์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป”
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้เสนอประเด็นการร่างข้อกำหนดสัญญาก่อสร้าง หรือ ทีโออาร์ เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ผู้รับเหมาซื้อสินค้าบางชนิดในราคาแพงเกินกว่าความเป็นจริง 20% แม้ว่าทีโออาร์จะมีบริษัทให้เลือกหลายราย และไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ให้ใช้วัสดุจากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่กลับไปกำหนดในคุณสมบัติพิเศษมีเพียงบริษัทเท่านั้น
ในประเด็นดังกล่าว ในที่ประชุมได้เสนอให้สมาชิกที่เคยได้รับผลกระทบจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เสนอต่อสมาคมฯ หลังจากนั้นสมาคมฯจะเขียนเป็นรายละเอียดแจกแจงและนำเสนอต่อกรมบัญชีกลางต่อไป เพื่อให้กรมบัญชีกลางได้รับทราบว่า สัญญาแบบใดควรเขียน หรือ ไม่ควรกำหนดในร่างทีโออาร์ เพราะจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง.
