ASTVผู้จัดการรายวัน – คลังเผยส.ค.ขาดดุลงบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ส่งผล 11 เดือนแรกขาดดุลรวมเกือบ 4 แสนล้าน หรือ4.5% ของจีดีพี ขณะที่เม็ดเงินคงคลังสิ้นส.ค.อยู่ที่ระดับ 2.71 แสนล้านบาทสะท้อนความมั่นคงทางการคลังของรัฐบาล
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังได้ เปิดเผยว่า ฐานะการคลังเดือนส.ค.52 รัฐบาลมีรายได้นำส่ง 1.01 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากการจัดเก็บภาษีได้ลดลงตามการหดตัวของเศรษฐกิจ สำหรับภาษีที่จัดเก็บได้ลดลงมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเบียร์ อากรขาเข้า และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนั้นการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นก็ลดลงมากเช่นเดียวกัน
ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1.42 แสนล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 1.19 แสนล้านบาท รายจ่ายลงทุน 1.72 หมื่นล้านบาท โดยการเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ รายจ่ายเงินอุดหนุนให้กระทรวงศึกษาธิการจำนวน 5.27 พันล้านบาท และรายจ่ายให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจำนวน 3.9 พันล้านบาท นอกจากนั้นในเดือนนี้ได้มีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังอีกจำนวน 1.91 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้จากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนส.ค.52 ขาดดุล 4 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 2.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการรับชดใช้เงินคงคลัง 1.91 หมื่นล้านบาท และรายได้จากส่วนเกินพันธบัตร 2.1 พันล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 1.69 หมื่นล้านบาท
สำหรับฐานะการคลังในช่วง 11 เดือนแรกปีงบประมาณ 52 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1.22 ล้านล้านบาท เนื่องจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลักที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนั้นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน
ดุลการคลังรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดขาดดุล 3.95 แสนล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท ส่วนดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุลจำนวน 9.56 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการออกพันธบัตรตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ฯ จำนวน 5 หมื่นล้านบาทเพื่อสมทบเงินคงคลัง และได้รับรายได้จากการชดใช้เงินคงคลังจำนวน 4.66 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน รวมทั้งสร้างความมั่นคงของฐานะการคลัง จึงได้ชดเชยการขาดดุลดังกล่าวด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังรวม 4.37 แสนล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 4.2 หมื่นล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนส.ค.52 มีจำนวน 2.71 แสนล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังได้ เปิดเผยว่า ฐานะการคลังเดือนส.ค.52 รัฐบาลมีรายได้นำส่ง 1.01 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากการจัดเก็บภาษีได้ลดลงตามการหดตัวของเศรษฐกิจ สำหรับภาษีที่จัดเก็บได้ลดลงมากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเบียร์ อากรขาเข้า และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนั้นการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นก็ลดลงมากเช่นเดียวกัน
ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1.42 แสนล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 1.19 แสนล้านบาท รายจ่ายลงทุน 1.72 หมื่นล้านบาท โดยการเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่สำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ รายจ่ายเงินอุดหนุนให้กระทรวงศึกษาธิการจำนวน 5.27 พันล้านบาท และรายจ่ายให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจำนวน 3.9 พันล้านบาท นอกจากนั้นในเดือนนี้ได้มีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังอีกจำนวน 1.91 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้จากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนส.ค.52 ขาดดุล 4 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 2.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการรับชดใช้เงินคงคลัง 1.91 หมื่นล้านบาท และรายได้จากส่วนเกินพันธบัตร 2.1 พันล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 1.69 หมื่นล้านบาท
สำหรับฐานะการคลังในช่วง 11 เดือนแรกปีงบประมาณ 52 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1.22 ล้านล้านบาท เนื่องจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลักที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนั้นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน
ดุลการคลังรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดขาดดุล 3.95 แสนล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท ส่วนดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุลจำนวน 9.56 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการออกพันธบัตรตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ฯ จำนวน 5 หมื่นล้านบาทเพื่อสมทบเงินคงคลัง และได้รับรายได้จากการชดใช้เงินคงคลังจำนวน 4.66 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน รวมทั้งสร้างความมั่นคงของฐานะการคลัง จึงได้ชดเชยการขาดดุลดังกล่าวด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังรวม 4.37 แสนล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 4.2 หมื่นล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนส.ค.52 มีจำนวน 2.71 แสนล้านบาท