ASTVผู้จัดการรายวัน – เกินดุลกว่า 6 หมื่นล้านบาท ฐานะการคลังรัฐบาลกลับมาเป็นบวกครั้งแรกเดือนก.ค.หลังโหมกู้ครั้งใหญ่อุดช่องโหว่รายได้ ส่วนยอดรวม 10 เดือนยังขาดดุล 4.3% ของจีดีพีสะท้อนบทบาทภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนก.ค. 52 รายได้นำส่งคลัง 1.01 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 2.67 พันล้านบาท โดยมีสาเหตุสำคัญจากการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงในช่วงเศรษฐกิจหดตัว ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และอากรขาเข้าลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว
ส่วนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 2.52 หมื่นล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 1.28 แสนล้านบาท รายจ่ายลงทุน 3 หมื่นล้านบาท และมีการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีก 5.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้จากรายได้และการเบิกจ่ายข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนก.ค. 52 ขาดดุล 6.26 หมื่นล้านบาท รวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 6.13 หมื่นล้านบาท จากการออกพันธบัตรตาม พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อสมทบเงินคงคลัง 5 หมื่นล้านบาท การออกตั๋วเงินคลังสุทธิ 3 พันล้านบาท และรายได้จากส่วนเกินพันธบัตรอีกจำนวน 800 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดจำนวน 1.3 พันล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อการชดเชยการขาดดุลโดยออกพันธบัตร 6.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 6.36 หมื่นล้านบาท
โดยในช่วง 10 เดือนแรกปีงบฯ 52 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1.12 ล้านล้านบาทเนื่องจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลักโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีธุรกิจเฉพาะ นอกจากนั้นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมี 1.57 ล้านล้านบาท
ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณ 4.49 แสนล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 7.11 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 3.78 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของ GDP สะท้อนถึงบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคเอกชนชะลอการใช้จ่าย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน รวมทั้งสร้างความมั่นคงของฐานะการคลัง จึงได้ชดเชยการขาดดุลดังกล่าวด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังรวม 4.28 แสนล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 4.99 หมื่นล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2552 มีจำนวน 2.78 แสนล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนก.ค. 52 รายได้นำส่งคลัง 1.01 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 2.67 พันล้านบาท โดยมีสาเหตุสำคัญจากการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงในช่วงเศรษฐกิจหดตัว ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และอากรขาเข้าลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว
ส่วนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 2.52 หมื่นล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 1.28 แสนล้านบาท รายจ่ายลงทุน 3 หมื่นล้านบาท และมีการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนอีก 5.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้จากรายได้และการเบิกจ่ายข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนก.ค. 52 ขาดดุล 6.26 หมื่นล้านบาท รวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 6.13 หมื่นล้านบาท จากการออกพันธบัตรตาม พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อสมทบเงินคงคลัง 5 หมื่นล้านบาท การออกตั๋วเงินคลังสุทธิ 3 พันล้านบาท และรายได้จากส่วนเกินพันธบัตรอีกจำนวน 800 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดจำนวน 1.3 พันล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อการชดเชยการขาดดุลโดยออกพันธบัตร 6.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 6.36 หมื่นล้านบาท
โดยในช่วง 10 เดือนแรกปีงบฯ 52 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1.12 ล้านล้านบาทเนื่องจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลักโดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีธุรกิจเฉพาะ นอกจากนั้นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมี 1.57 ล้านล้านบาท
ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณ 4.49 แสนล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 7.11 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 3.78 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของ GDP สะท้อนถึงบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคเอกชนชะลอการใช้จ่าย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน รวมทั้งสร้างความมั่นคงของฐานะการคลัง จึงได้ชดเชยการขาดดุลดังกล่าวด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังรวม 4.28 แสนล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 4.99 หมื่นล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2552 มีจำนวน 2.78 แสนล้านบาท
