ASTVผู้จัดการรายวัน – รายได้รัฐบาลส.ค.ยังไปได้สวยยอดจัดเก็บเกือบ 2 แสนล้านบาท หลังภาษีนิติบุคคลและภาษีนำมันมีอัตราจัดเก็บเพิ่มขึ้น เชื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาถูกทางมั่นใจสิ้นปียอดจัดเก็บกระเตื้องต่ำกว่าเป้าลดลงเหลือ 2 แสนล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนส.ค.52 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.99 แสนล้านบาท เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่สูงกขึ้น และในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ เก็บรายได้สุทธิ 1.32 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 9.58 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรและกรมศุลกากรที่ลดลง โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วเช่นกัน
“การดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล ได้ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น กระทรวงการคลังจึงคาดว่าการจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลตลอดทั้งปีงบประมาณ 2552 จะต่ำกว่าประมาณการ 2.06 แสนล้านบาท ดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะจัดเก็บได้ต่ำ กว่าประมาณ 2.8 แสนล้านบาท” นายเอกนิติกล่าว
สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้ กรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 1.06 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 6.71 หมื่นล้านบาท โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกเนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งที่เก็บจากการนำเข้าและการบริโภคในประเทศหดตัวลงของสภาวะเศรษฐกิจ ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ต่ำกว่าปีที่แล้วเป็นผลจากผลประกอบการโดยรวมของธุรกิจที่ลดลง อันเนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
ด้านกรมสรรพสามิต จัดเก็บได้รวม 2.62 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีในเดือนก.พ.และพ.ค. ส่วนกรมศุลกากร จัดเก็บได้รวม 7.24 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 20.1% เนื่องจากจัดเก็บอากรขาเข้าได้ต่ำกแป็นนผลจากการหดตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้า
ขณะที่รัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้ 7.65 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 16.4% โดยมีรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ ธนาคารออมสิน และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ตามลำดับ ส่วนหน่วยงานอื่น นำส่งรายได้รวม 8.1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้การคืนภาษีของกรมสรรพากรจำนวน 1.88 แสนล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนส.ค.52 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.99 แสนล้านบาท เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่สูงกขึ้น และในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ เก็บรายได้สุทธิ 1.32 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 9.58 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรและกรมศุลกากรที่ลดลง โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วเช่นกัน
“การดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล ได้ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น กระทรวงการคลังจึงคาดว่าการจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลตลอดทั้งปีงบประมาณ 2552 จะต่ำกว่าประมาณการ 2.06 แสนล้านบาท ดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะจัดเก็บได้ต่ำ กว่าประมาณ 2.8 แสนล้านบาท” นายเอกนิติกล่าว
สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้ กรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 1.06 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 6.71 หมื่นล้านบาท โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกเนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งที่เก็บจากการนำเข้าและการบริโภคในประเทศหดตัวลงของสภาวะเศรษฐกิจ ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ต่ำกว่าปีที่แล้วเป็นผลจากผลประกอบการโดยรวมของธุรกิจที่ลดลง อันเนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
ด้านกรมสรรพสามิต จัดเก็บได้รวม 2.62 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีในเดือนก.พ.และพ.ค. ส่วนกรมศุลกากร จัดเก็บได้รวม 7.24 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 20.1% เนื่องจากจัดเก็บอากรขาเข้าได้ต่ำกแป็นนผลจากการหดตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้า
ขณะที่รัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้ 7.65 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 16.4% โดยมีรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ ธนาคารออมสิน และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ตามลำดับ ส่วนหน่วยงานอื่น นำส่งรายได้รวม 8.1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้การคืนภาษีของกรมสรรพากรจำนวน 1.88 แสนล้านบาท