xs
xsm
sm
md
lg

KGIรุดแจงข้อมูลธปท.ลดปัญหาออกกฏฉุดตลาดทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “บล.เคจีไอ”รุดพบแบงก์ชาติ 25ก.ย.นี้ เพื่อให้ข้อมูลตลาดทุนและสินค้าใหม่แก่ฝ่ายกำกับการ หวังช่วยลดอุปสรรคในการออกกฎเกณฑ์ควบคุมใหม่ๆในอนาคต ไม่ให้ซ้ำรอยเหมือนมาตรการควบคุมค่าเงินที่ผ่านมา ชี้ต่างชาติสนใจไทย แต่ติดปัญหาการนำเงินเข้าออก หวังภาครัฐช่วยผ่อนปรนเพิ่มความสะดวก ด้านดัชนีวานนี้ดีดกลับ8จุดหลังจากวันก่อนหน้าปรับฐาน และมีโอกาสผันผวนต่อ ส่วนกรณีเสื้อแดงรวมพล 19 ก.ย.โบรกฯเชื่อกระทบตลาดทุน

นางสาวนฤมล อาจอำนวยวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการไปให้ความรู้ด้านตลาดทุน และสินค้าใหม่ๆให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในวันที่ 25 กันยายนนี้ เพื่อให้การออกกฎเกณฑ์ของธปท.ในอนาคตจะไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดทุนไทยเหมือนกับมาตรการควบคุมค่าเงินในครั้งที่ผ่านมา เพราะ มีกองทุนต่างชาติบางประเภท โดยเฉพาะกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์)บางแห่งในฮ่องกงจะไม่ลงทุนในประเทศที่เคยมีประวัติที่ควบคุมการไหลเข้าออกของเงิน
ทั้งนี้จากการที่บล.เคจีไอ ได้มีการไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ต่างประเทศ เพื่อแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และสินค้าใหม่ของตลาดหุ้นไทยให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนนั้น พบว่า นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่นักลงทุนต่างชาติบอกว่ามีข้อติดขัดการลงทุนในเรื่องการนำเงินเข้าออกของประเทศไทย โดยเฉพาะการนำเงินเข้าทำได้ลำบาก และนับเป็นปัญหาสำคัญสำหรับการลงทุนในตลาดทุนไทย พร้อมกับแนะนำว่าควรจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น ถึงแม้จะมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงแต่นักลงทุนเหล่านี้ก็พร้อมจะจ่ายขอเพียงให้การนำเงินเข้าออกเป็นไปด้วยความสะดวกเท่านั้น
สำหรับทางบล.เคจีไอให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการทำความเข้าใจกับธปท. เพราะเห็นว่าตลาดทุนไทยไม่สามารถขยายตัวโดยพึ่งพิงเงินทุนในประเทศเพียงลำพังได้ จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนต่างชาติมาขยายให้ตลาดหุ้นไทยให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องอธิบายให้หน่วยงานของไทยทราบถึงในเรื่องการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยว่ามีลักษณะการลงทุนอย่างไร
“ธปท.เชิญเคจีไอ ไปให้ความรู้ เกี่ยวกับข้อมูลการลงทุน และสินค้าใหม่ๆในตลาดทุนไทย เพราะที่ผ่านมาบล.เคจีไอได้มีการไปขออนุญาตในการทำธุรกรรมใหม่ๆซึ่งธปท.ไม่เข้าใจสินค้าดังกล่าวจึงต้องการไปให้ทางบริษัทให้ความรู้และที่ผ่านมาทาง บล.เคจีไอได้ไปให้ความรู้ประมาณ 2-3 ครั้งแล้ว และจากที่เราไปโรดโชว์ต่างชาติบอกข้อติดขัดที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยในการเรื่องการนำเงินเข้าออก เราจึงเอาข้อติดขัดนั้นไปบอกธปท.และอธิบายวิธีการลงทุนของต่างชาติเพื่อให้ความเข้าใจว่าไม่ได้ส่งผลลบต่อไทย แต่เมื่อเขาเข้ามาแล้วต้องการลงทุนในสินค้าต่างๆแล้วแต่จังหวะการลงทุน” นางสาวนฤมล กล่าว
นางสาวนฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ บล.เคจีไอ เตรียมจะเดินทางไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ เพื่อไปพูดเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และแนะนำกองทุนอีทีเอฟของตลาดหุ้นไทย ที่มีอยู่ 3 ตัว ให้กับนักลงทุนต่างประเทศทราบ แลพชักชวนเข้ามาลงทุน โดยนักลงทุนต่างประเทศที่เข้าร่วมฟังข้อมูลครั้งนี้ประมาณ 200 คน ประกอบด้วย บล. กองทุนต่างๆ

ดัชนีหุ้นไทยบวกกลับ8.84จุด

ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นวานนี้ (15ก.ย.)ปิดที่ระดับ 703.16 จุด เพิ่มขึ้น 8.84 จุด หรือ 1.27%มูลค่าการซื้อขาย 20,809.62 ล้านบาท โดยน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนในแดนบวก ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะปรับตัวขึ้น ซึ่งตลาดบ้านเราในช่วงบ่ายรับแรงซื้อเข้ามาที่หุ้นในกลุ่ม PTT เป็นหลักทำให้ดัชนีฯสามารถยืนเหนือระดับ 700 จุดได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมได้หายไปมาก เมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดฯปรับตัวขึ้นมากจะมีวอลุ่มเทรดโดยรวมประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าตลาดฯยังน่าจะมีการปรับฐานอยู่ หากจะปรับตัวขึ้นก็คงจะอยู่ในกรอบที่จำกัด เนื่องจากตลาดฯได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้วในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งตลาดบ้านเรายังมีเรื่องการเมืองไทยที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดด้วย ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(16 ก.ย.) ตลาดหุ้นไทยคงจะผันผวนในกรอบมากขึ้น ปัจจัยจากภายนอกประเทศยังคงอิงไปในเชิงบวก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น พร้อมให้แนวต้านไว้ที่ 708 จุด แนวรับ 692 จุด
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าฝ่ายงานวิจัย (บล.)บริษัทหลักทรัพย์ภัทร กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 ก.ย. นี้ ส่วนหนึ่งคงมีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายได้ ตลาดหุ้นคงได้รับผลกระทบมาก โดยการที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในพระราชอาณาจักรในพื้นที่เขตดุสิตนั้น ย่อมสะท้อนได้ว่าจะมีเสถียรภาพทางการเมืองแท้จริงแล้วยังไม่มั่นคง ส่วนเศรษฐกิจไทยนั้นได้ฟื้นตัวขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจโลกจากการส่งออกที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มั่นใจว่าการฟื้นตัวของอัตราการบริโภคของประเทศพัฒนาแล้วจะมีมากน้อยแค่ไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น