ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยแรงไม่หยุดวานนี้(8ก.ย.)หวุดหวิดแตะ 700 จุด(696.34) ก่อนหล่นลงมาปิดที่ 691.73 จุด เพิ่มขึ้น 9.16 จุด ดันวอลุ่มซื้อขายทะลักหลัก 4.26 หมื่นล้าน ถือครั้งแรกในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ก.ค.ปี50 พร้อมดันค่าP/E ตลาดหุ้นสร้างสถิติใหม่ 26.48 เท่าสูงสุดตั้งแต่เปิดตลาด โบรกฯชี้จากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นหลังกลุ่มG20 ประกาศกระตุ้นต่อ แถม สศค.เล็งปรับบวกตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส4/52 อีกทั้งแรงซื้อเก็งกำไรรับการควบรวมเครือปตท.ช่วยหนุน โดยเฉพาะตัวแม่PTT เพิ่มขึ้น 8 บาท ส่วนวันนี้โอกาสทะลุเป้า 700 แต่ก็เสี่ยงโดนแรงเทขาย อีกทั้งต้องจับตาผลประชุมโอเปก
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังแรงไม่หยุด ล่าสุดวานนี้ (8ก.ย.) ปิดตลาดบวกเพิ่มขึ้นอีก 9.16 จุด ไต่ระดับขึ้นมาอยู่ที่ 691.73 จุด ใกล้เคียงกับ 700 จุด ที่บรรดานักวิเคราะห์หลายรายเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้แล้ว โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 696.34 จุด และต่ำสุด 683.62 จุด หรือเรียกว่าเหลืออีกเพียงแค่ 3.66 จุด ดัชนีก็จะสามารถขึ้นไปแตะ 700 จุดได้ ส่วนจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ดัชนีเคยทำไว้คือ 697.23 จุด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551
อย่างไรก็ตาม วานนี้นับเป็นครั้งแรกรอบ 2 ปี ที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯมีถึง 42,674.51 ล้านบาท หรือมีมูลค่าซื้อขายระดับ 4 หมื่นล้านบาทนั้น ในตลาดหุ้นไทยนักลงทุนได้พบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2550 นอกจากนี้ค่าP/E ของตลาดหุ้นยังสร้างสถิติใหม่ โดยปรับตัวสูงสุดนับแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ มาอยู่ที่ 26.48 เท่า
ขณะที่เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน วานนี้ นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิทำกำไรถึง 5,424.75 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,253.70 ล้านบาท และต่างชาติซื้อสุทธิ 4,169.05 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายสุทธิตั้งแต่1ม.ค.พบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสะสม 36,618.37 ล้านบาท และด้านสถาบันที่ขายสุทธิไปแล้วถึง 13,901.06 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิแล้ว 22,717.31 ล้านบาท
ส่วน 5 อันดับหลักทรัพย์แรกที่มีการซื้อขายสูงสุดคือ PTTมูลค่าการซื้อขาย 4,302.68 ล้านบาท ปิดที่ 253.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท TOPมูลค่าการซื้อขาย 3,802.05 ล้านบาท ปิดที่ 45.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,541.83 ล้านบาท ปิดที่ 143.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,490.33 ล้านบาท ปิดที่ 76.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท และPTTAR มูลค่าการซื้อขาย 2,321.24 ล้านบาท ปิดที่ 25.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท
แรงซื้อกลุ่มปตท-ศก.โลกหนุน
ภาพรวมที่ดัชนีหุ้นที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น หลายฝ่ายมองว่าเกิดจากการปรับตัวของหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร โดยมีแรงซื้อรับการควบรวมบริษัทในกลุ่มปตท มาช่วยกระตุ้น รวมทั้งกรณีที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่ หลังประเมินว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ที่ระดับร้อยละ 3 ขณะเดียวกันน่าจะได้รับอานิสงส์จากตลาดหุ้นยุโรปที่ปิดตลาดในแดนบวก ตามแรงหนุนของตลาดหุ้นเอเชียและผลการประชุมของ กลุ่ม G 20 ที่ยืนยัน จะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีส่วนผลักดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆปรับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าเช่นกัน แต่ยังต้องลุ้นผลประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโอเปกวันนี้(9ก.ย.)
โดยดัชนีนิกเกอิ ปิดตลาดที่ระดับ 10,393.23 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 72.29 จุด ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,660.91 จุด เพิ่มขึ้น 16.96 จุด ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,069.56 จุด เพิ่มขึ้น 440.25 จุด และดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,313.99 จุด เพิ่มขึ้น 89.40 จุด
โบรกฯเชื่อฮอตได้ไม่นาน
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บัวหลวง จำกัด (มหาชน)หรือ BLS กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 640 จุด แม้ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยเกือบแตะ 700 จุด เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะโตเพียง 10% ทำให้ค่าP/E จะอยู่ที่ 7-8 เท่า เท่านั้น ซึ่งหากกำไรของบริษัทไม่มีการเติบโตมากกว่านั้น หุ้นจะมีการปรับตัวลดลงทำให้ค่าP/E ลดลงเช่นกัน และจากที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 1-2 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 10-20% จากข้อมูลสถิติที่ผ่านมา
“ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน 26.48 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากและสูงสุดตั้งแต่เปิดตลาด ส่งผลให้หุ้นไทยแพงมากเกินไปในปัจจุบัน ซึ่งเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะมีค่าP/Eเฉลี่ยอยู่ที่ 15 เท่า และการที่ค่าP/Eไทยปรับตัวสูงในขณะนี้ เพราะ นักลงทุนมองตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวที่ดีในอนาคต แต่หากกำไรของบจ.ไม่โตมากนัก ก็จะส่งผลให้หุ้นมีการปรับตัวลดลง และก็จะฉุดให้ค่าP/E ปรับตัวลดลงมาก ” นายชัยพร กล่าว
ส่วนกรณีที่มีผู้ประเมินว่าดอกเบี้ยของประเทศในแถบเอเซีย จะมีการปรับขึ้นกลางปีหน้า ส่วนยุโรปและอเมริกาดอกเบี้ยจะขึ้นในปลายปีหน้า บล.บัวหลวงมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส1 /53หรือไตรมาส2/53 ทำให้บริษัทคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะอยู่ที่720 จุด คาดว่ากำไรบจ.จะโต 20% และประเมินจีดีพีปีหน้าอยู่ที่ 3-3.5%
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังอยู่ในภาวะเชิงบวกตามภูมิภาค ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีต่อเนื่องเพราะดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเป็นบวกเกือบ 100 จุด ด้านฮั่งเส็งเองก็ขึ้นค่อนข้างเยอะ โดยตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นนำมาจากกลุ่มหลักคือ PTT เก็งเรื่องควบรวมกิจการที่นำตลาด ขณะที่กลุ่มธนาคารที่ขึ้นมาค่อนข้างโดดเด่นถือเป็น sentiment ที่ดีต่อเนื่อง แต่ค่อนข้างมีความเสี่ยงเพราะระดับจิตวิทยาที่ 700 จุด โดยถ้ามองไปถึงวันนี้(9ก.ย.)ก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ แต่ก็มีโอกาสถูกเทขายทำกำไรจากระดับนั้นเช่นกัน ดังนั้นจากตรงนี้ไปจนถึง 700 จุด upside ก็ค่อนข้างที่จำกัดมากขึ้นก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
“ช่วงนี้ ปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างเป็นบวกต่อเนื่อง ในระหว่างวันดาวโจนส์ฟิวเจอร์สถือว่าเป็นบวกได้ค่อนข้างดี ส่วนในเอเชียก็บวกขึ้นมาค่อนข้างแรง ของไทยก็ต้อง PTT เป็นเรื่องควบรวม ซึ่ง PTT เป็นกลุ่มใหญ่ถ้าขึ้นทีหนึ่งตลาดก็พากันขึ้นไปค่อนข้างเยอะและวอลุ่มเข้ามาค่อนข้างที่จะหนาแน่นเป็น ส่วนแนวโน้มวันนี้คงมีโอกาสทดสอบ 700 จุด แต่ปรับขึ้นมาค่อนข้างแรงติดต่อกัน 2 วัน ดูเหมือนจะแรงต่อเนื่องเกินไปก็ต้องระมัดระวัง” น.ส.ธีรดา กล่าว
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยยังแรงไม่หยุด ล่าสุดวานนี้ (8ก.ย.) ปิดตลาดบวกเพิ่มขึ้นอีก 9.16 จุด ไต่ระดับขึ้นมาอยู่ที่ 691.73 จุด ใกล้เคียงกับ 700 จุด ที่บรรดานักวิเคราะห์หลายรายเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้แล้ว โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 696.34 จุด และต่ำสุด 683.62 จุด หรือเรียกว่าเหลืออีกเพียงแค่ 3.66 จุด ดัชนีก็จะสามารถขึ้นไปแตะ 700 จุดได้ ส่วนจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ดัชนีเคยทำไว้คือ 697.23 จุด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551
อย่างไรก็ตาม วานนี้นับเป็นครั้งแรกรอบ 2 ปี ที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯมีถึง 42,674.51 ล้านบาท หรือมีมูลค่าซื้อขายระดับ 4 หมื่นล้านบาทนั้น ในตลาดหุ้นไทยนักลงทุนได้พบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2550 นอกจากนี้ค่าP/E ของตลาดหุ้นยังสร้างสถิติใหม่ โดยปรับตัวสูงสุดนับแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ มาอยู่ที่ 26.48 เท่า
ขณะที่เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุน วานนี้ นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิทำกำไรถึง 5,424.75 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,253.70 ล้านบาท และต่างชาติซื้อสุทธิ 4,169.05 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายสุทธิตั้งแต่1ม.ค.พบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสะสม 36,618.37 ล้านบาท และด้านสถาบันที่ขายสุทธิไปแล้วถึง 13,901.06 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิแล้ว 22,717.31 ล้านบาท
ส่วน 5 อันดับหลักทรัพย์แรกที่มีการซื้อขายสูงสุดคือ PTTมูลค่าการซื้อขาย 4,302.68 ล้านบาท ปิดที่ 253.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท TOPมูลค่าการซื้อขาย 3,802.05 ล้านบาท ปิดที่ 45.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,541.83 ล้านบาท ปิดที่ 143.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,490.33 ล้านบาท ปิดที่ 76.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท และPTTAR มูลค่าการซื้อขาย 2,321.24 ล้านบาท ปิดที่ 25.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท
แรงซื้อกลุ่มปตท-ศก.โลกหนุน
ภาพรวมที่ดัชนีหุ้นที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น หลายฝ่ายมองว่าเกิดจากการปรับตัวของหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร โดยมีแรงซื้อรับการควบรวมบริษัทในกลุ่มปตท มาช่วยกระตุ้น รวมทั้งกรณีที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่ หลังประเมินว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ที่ระดับร้อยละ 3 ขณะเดียวกันน่าจะได้รับอานิสงส์จากตลาดหุ้นยุโรปที่ปิดตลาดในแดนบวก ตามแรงหนุนของตลาดหุ้นเอเชียและผลการประชุมของ กลุ่ม G 20 ที่ยืนยัน จะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีส่วนผลักดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆปรับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าเช่นกัน แต่ยังต้องลุ้นผลประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโอเปกวันนี้(9ก.ย.)
โดยดัชนีนิกเกอิ ปิดตลาดที่ระดับ 10,393.23 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 72.29 จุด ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,660.91 จุด เพิ่มขึ้น 16.96 จุด ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,069.56 จุด เพิ่มขึ้น 440.25 จุด และดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,313.99 จุด เพิ่มขึ้น 89.40 จุด
โบรกฯเชื่อฮอตได้ไม่นาน
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บัวหลวง จำกัด (มหาชน)หรือ BLS กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 640 จุด แม้ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยเกือบแตะ 700 จุด เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะโตเพียง 10% ทำให้ค่าP/E จะอยู่ที่ 7-8 เท่า เท่านั้น ซึ่งหากกำไรของบริษัทไม่มีการเติบโตมากกว่านั้น หุ้นจะมีการปรับตัวลดลงทำให้ค่าP/E ลดลงเช่นกัน และจากที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 1-2 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 10-20% จากข้อมูลสถิติที่ผ่านมา
“ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน 26.48 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากและสูงสุดตั้งแต่เปิดตลาด ส่งผลให้หุ้นไทยแพงมากเกินไปในปัจจุบัน ซึ่งเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะมีค่าP/Eเฉลี่ยอยู่ที่ 15 เท่า และการที่ค่าP/Eไทยปรับตัวสูงในขณะนี้ เพราะ นักลงทุนมองตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวที่ดีในอนาคต แต่หากกำไรของบจ.ไม่โตมากนัก ก็จะส่งผลให้หุ้นมีการปรับตัวลดลง และก็จะฉุดให้ค่าP/E ปรับตัวลดลงมาก ” นายชัยพร กล่าว
ส่วนกรณีที่มีผู้ประเมินว่าดอกเบี้ยของประเทศในแถบเอเซีย จะมีการปรับขึ้นกลางปีหน้า ส่วนยุโรปและอเมริกาดอกเบี้ยจะขึ้นในปลายปีหน้า บล.บัวหลวงมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส1 /53หรือไตรมาส2/53 ทำให้บริษัทคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะอยู่ที่720 จุด คาดว่ากำไรบจ.จะโต 20% และประเมินจีดีพีปีหน้าอยู่ที่ 3-3.5%
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังอยู่ในภาวะเชิงบวกตามภูมิภาค ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีต่อเนื่องเพราะดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเป็นบวกเกือบ 100 จุด ด้านฮั่งเส็งเองก็ขึ้นค่อนข้างเยอะ โดยตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นนำมาจากกลุ่มหลักคือ PTT เก็งเรื่องควบรวมกิจการที่นำตลาด ขณะที่กลุ่มธนาคารที่ขึ้นมาค่อนข้างโดดเด่นถือเป็น sentiment ที่ดีต่อเนื่อง แต่ค่อนข้างมีความเสี่ยงเพราะระดับจิตวิทยาที่ 700 จุด โดยถ้ามองไปถึงวันนี้(9ก.ย.)ก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ แต่ก็มีโอกาสถูกเทขายทำกำไรจากระดับนั้นเช่นกัน ดังนั้นจากตรงนี้ไปจนถึง 700 จุด upside ก็ค่อนข้างที่จำกัดมากขึ้นก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
“ช่วงนี้ ปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างเป็นบวกต่อเนื่อง ในระหว่างวันดาวโจนส์ฟิวเจอร์สถือว่าเป็นบวกได้ค่อนข้างดี ส่วนในเอเชียก็บวกขึ้นมาค่อนข้างแรง ของไทยก็ต้อง PTT เป็นเรื่องควบรวม ซึ่ง PTT เป็นกลุ่มใหญ่ถ้าขึ้นทีหนึ่งตลาดก็พากันขึ้นไปค่อนข้างเยอะและวอลุ่มเข้ามาค่อนข้างที่จะหนาแน่นเป็น ส่วนแนวโน้มวันนี้คงมีโอกาสทดสอบ 700 จุด แต่ปรับขึ้นมาค่อนข้างแรงติดต่อกัน 2 วัน ดูเหมือนจะแรงต่อเนื่องเกินไปก็ต้องระมัดระวัง” น.ส.ธีรดา กล่าว