แม้คลื่นใหญ่หลังบทความเรื่อง “คลี่ม่านแดนสนธยา ผ่าอาณาจักรสองพันล้าน ; สสส. ในระยะเปลี่ยนผ่าน...” ตีพิมพ์ที่นี่ เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา จะถาโถมโรมรันพันตูอยู่ท่วมโลกไซเบอร์ จรดเถียงนาผ่ากลางโรงงาน ผ่านมหาวิทยาลัยดังไปยังย่านธุรกิจสำคัญกลางเมืองหลวง ที่ล้วนมีเม็ดเงินจาก สสส.แผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่งหนในสังคมไทย...
ด้วยความกังขาว่างบประมาณของ สสส.ปีละมากกว่าสองพันล้านบาท จะได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยใคร? กับความไม่โปร่งใสของกระบวนการสรรหาผู้จัดการที่ดำเนินการกันอย่างลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และรวบรัดยิ่งนัก...มิไยจะฟังคำท้วงติง จากทั่วทุกสารทิศ....
กับคำถามที่ว่า กรรมการสรรหามีใครบ้าง? ก็เพียงเพื่อสังคม สาธารณะจะรู้ได้ว่า....กรรมการแต่ละท่าน มีประวัติ เกียรติยศ ดีแค่ไหนหรือใครไม่เข้าท่า อันนำไปสู่การ วินิจฉัย ตัดสินใจเชื่อถือได้หรือไม่...???
กับคำถามที่ว่า มีหลักเกณฑ์การสรรหาเป็นเช่นไร? ก็เพื่อสังคม สาธารณะผู้กระหายในธรรมาภิบาลจะกล่าวขานถึงได้ว่ากระบวนการสรรหานี้ ถูกต้อง โปร่งใส เหมาะควร แค่ไหน? อย่างไร?
กับคำถามที่ว่า ใคร คือผู้สมัครบ้าง? ก็เพียงเพื่อได้พิจารณาเปรียบเทียบว่าใครคือผู้เหมาะสมเข้าตาประชาชน และเขาก็จะสามารถยืดหน้าท้าสายตามหาชนอย่างอาจอง สง่างาม....วานบอก...
แต่แทนที่ สสส.จะเปิดตัว เปิดใจทำทุกอย่างให้โปร่งใส..กลับไม่ทำ..ยิ่งมุดน้ำดำดินดิ้นหนีสายตามหาชน แยกองค์กรอิสระที่เกิดภายใต้เจตจำนงบริสุทธิ์ ทั้งเคยพิสูจน์ตนเองในยุคสงครามกับคนดี..ปุระชัย คราวที่ถูกการเมืองรุกไล่จนต้องซุกในอ้อมกอดอันอบอุ่นของภาคีนับพันองค์กรที่ชุมนุมใหญ่ที่ไบเทค บางนา เพื่อปกป้องรักษาองค์กรอิสระนี้เอาไว้....เอาไว้เพียงเพื่อวันนี้องค์กรนี้จะถูกแยกไปจากอ้อมกอดของมหาชน ไปเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมของหมอเด็กๆ ไม่กี่คนที่พยายามสร้างอาณาจักรส่วนตัวของกลุ่มตนบนกองมรดก “ภาษีบาป” มูลค่าปีละกว่าสองพันล้านบาท.....
คำถามคือทำไม? เพื่ออะไร? โดยใคร? และอย่างไร?
จากเอกสารรายงานประจำปีที่แถลงอย่างเป็นทางการล่าสุดคือปี 2550 ระบุถึงเม็ดเงินที่ สสส.ได้รับการจัดสรรจากภาษีเหล้า บุหรี่ ยอดเงินรวม 2,035 ล้านบาท ได้ถูกใช้สำหรับเป้าหมายกลุ่มปัจจัยเสี่ยงหลัก (บุหรี่ เหล้า ออกกำลังกาย และอุบัติเหตุ) เป็นวงเงินสูงสุดถึง 587.5 ล้านบาท (28.9%) เพื่อสุขภาวะองค์รวม 529 ล้านบาท (26%) พัฒนาระบบและนโยบาย 320.8 ล้านบาท (15.8%) และที่ต้องขีดเส้นใต้คือ งบการตลาดเพื่อสังคม 319.2 ล้านบาท 15.7%...เป็นงบ “เนื้อๆ” ทีเดียว...ฯลฯ
ปรากฏการณ์ที่เป็นร่องรอยสำหรับการตามรอยหรือแกะรอยกองมรดกภาษีบาปสองพันล้าน/ปี ได้แก่...
ปัญหาการอนุมัติโครงการ ซึ่งเปรียบเหมือนหนังไทยโบราณคือมีหลายแบบหลายแนว ทั้งชีวิต ซึม เศร้า บู๊ ตลก ......เช่น การอนุมัติโครงการส่วนใหญ่ต้องตกลงในวงนอกก่อนเสมอมี ผอ.สำนักฯ ต่างๆ เป็น Key man คอยปั้น ชง โยง โยกงบที่ระบุในกรอบงบประมาณทางการลงในช่องของกลุ่มองค์กร เครือข่ายที่เป็นที่รู้จักหรือตกลงเป็นการภายในกันก่อนแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สสส. เป็นผู้ถือติ้วชี้ขาดให้ หรือไม่ให้...หรือบางโครงการขนาดใหญ่ติ้วที่โยนเข้ากลางวงพิจารณานั้นมาจากผู้หลักผู้ใหญ่(ในวงการ) แต่นอกวงพิจารณาอย่างเป็นทางการ ก็มีมาให้เห็นเป็นระยะ....เมื่อเจรจาภาษาเดียวกัน (ต้องท่องคำขลังๆ อย่าง...สุขภาวะ/สุขภาวะองค์รวม) ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จัดพิธีกรรม พิธีการ อันสลับซับซ้อน (เอาไว้ร่อนคนนอกออกพ้นกองมรดก ?) คือมีทั้งพิธีการให้นักวิชาการ (พวกตน) มาอ่านงานผู้เสนอก่อนเข้าที่ประชุมวงใหญ่พิจารณาอีกทีหนึ่ง....
คำถามว่ากระบวนการ “เขาวงกต” เช่นนี้ ช่วยกลั่นกรองอะไรได้บ้าง....ในปรากฏการณ์ที่เป็นจริงก็คือ กลุ่มคน ชมรม องค์กร หรือ เครือข่าย ที่สามารถผ่านช่องทางหรือกระบวนการเขาวงกตนี้ ล้วนเป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยกันกับอย่างน้อย ผอ.สำนักฯ หรือระดับรองฯ ผู้บริหารองค์กรแทบทั้งสิ้น เม็ดเงินมากกว่าครึ่งของแต่ละปีหล่อเลี้ยงกลุ่มคนเก่า คนคุ้นเคยเอาไว้ ส่วนคนใหม่ สด ซิง walk in เข้ามาแบบไม่ต้องรู้จักใคร...เขียนใบสมัครที่หน้าเว็บเพจ ...ข้อมูลเชิงประจักษ์ก็คือเคยส่งโครงการชั้นดีเข้ามาในช่องทางนี้...นานกว่าครึ่งปีเห็นเงียบไปเฉยๆ โทร.ไปถาม ได้รับคำตอบว่า มีโครงการยื่นมาเยอะ 170 กว่าโครงการ แต่เพิ่งพิจารณาเสร็จไปแค่ 7 โครงการเท่านั้น... “รอหน่อย” เสียงปลายสายไม่ตอบกำหนดการชัดเจนให้ได้....ไม่รู้ว่าชาติหน้าถึงคิวหรือยัง?
กับอีกปรากฏการณ์เชิงประจักษ์ที่กลไกระดับ “แผนงานฯ” ที่ถืองบมหาศาลในแต่ละปี ถึงเวลาเทศกาลต้องรณรงค์ เพื่อนหญิงอยู่ในแผนงานฯ ชง งบ ผ่านเพื่อนชายที่เป็น Agent ติดต่อองค์กรกึ่งทางการที่ทำงานในระดับท้องถิ่น อัดงบระดับสิบล้านผ่านเข้าองค์กรนั้นไปกระจาย (หรือละลาย?) กับสาขาสมาชิก โดยมี “สินน้ำใจ” ในรูปแบบ “งบวิทยากรกระบวนการ” กว่าครึ่งล้านผ่านคืนมาทางเพื่อนชาย แบบชงเอง แบ่งๆ กันกิน...
เป็นบางตัวอย่างของการ “อนุมัติโครงการ” ในโครงสร้างการบริหารแบบเดิมๆ ที่แปลความหมายของคำว่า “ภาคี” หรือเครือข่ายความร่วมมือไปเป็น “บริวาร” หรือลูกน้อง-ลูกสมุน ในทางปฏิบัติเหยียดปลายเท้าก้าวเข้าสู่ความเคยชินทางการบริหารของระบบคิดเชิงอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม.... ทำให้มรดกภาษีบาปปีละสองพันล้านบาทนี้ แทนที่จะเป็นปุ๋ยรดน้ำพรวนดินให้ไม้ใหญ่น้อยในสวนเติบใหญ่เบิกบาน กลับกลายเป็นปุ๋ยเคมีที่เจ้าของใช้รดหล่อเลี้ยงบอนไซไว้ดูเล่น
ไม่นับที่ขีดเส้นใต้ไว้ในหมวดงบการตลาดเพื่อสังคม ยอดเงิน 319 ล้านบาทในปี 2550 ในความหมายของงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ต่างๆ ซึ่งในรูปการจัดจ่ายงานนั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่าจำกัดอยู่ในแวดวงคนกันเองแค่ไหน หรือรายไหนผูกปิ่นโตเถายาวอยู่ที่นี่
รวมทั้งยังมิได้วิพากษ์ประเด็นเรื่องความเหมาะสมของเนื้อหาการโฆษณา หรือรูปแบบการรณรงค์ที่ทุ่มเทงบมากกว่า 200 ล้านบาท เสนอคำหรือวลีเท่ห์ๆ ออกมาฮือฮาแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวเผาเงินไปเป็นร้อยๆ ล้านบาท...แล้วยังไง? คนเลิกเหล้าได้กี่คน? พอไฟวาบแล้ว...ออกพรรษาแล้วก็กลับมากินต่อ? ปีหน้าเอาเงินมาเผาใหม่...เอางั้นหรือ?
ตามลายแทงขุมทรัพย์สองพันล้านฯ ต่อปี ของ สสส.ถึงนาทีนี้ หากกล้ายอมรับความจริง ฟังเพื่อนรอบข้างอย่างมีสติ กลับมาอยู่ในลู่ทางอย่างที่ควรจะเป็นปล่อยวางอย่าสร้างอาณาจักรเฉพาะกลุ่มตน คืนองค์กรอิสระเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชนชาวไทย กลับสู่อ้อมกอดของสังคมไทย
เปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสร้างสรรค์ ด้วยเถิด....
เราต้องการการเปลี่ยนแปลง
Changes!
เดี๋ยวนี้.
ด้วยความกังขาว่างบประมาณของ สสส.ปีละมากกว่าสองพันล้านบาท จะได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยใคร? กับความไม่โปร่งใสของกระบวนการสรรหาผู้จัดการที่ดำเนินการกันอย่างลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และรวบรัดยิ่งนัก...มิไยจะฟังคำท้วงติง จากทั่วทุกสารทิศ....
กับคำถามที่ว่า กรรมการสรรหามีใครบ้าง? ก็เพียงเพื่อสังคม สาธารณะจะรู้ได้ว่า....กรรมการแต่ละท่าน มีประวัติ เกียรติยศ ดีแค่ไหนหรือใครไม่เข้าท่า อันนำไปสู่การ วินิจฉัย ตัดสินใจเชื่อถือได้หรือไม่...???
กับคำถามที่ว่า มีหลักเกณฑ์การสรรหาเป็นเช่นไร? ก็เพื่อสังคม สาธารณะผู้กระหายในธรรมาภิบาลจะกล่าวขานถึงได้ว่ากระบวนการสรรหานี้ ถูกต้อง โปร่งใส เหมาะควร แค่ไหน? อย่างไร?
กับคำถามที่ว่า ใคร คือผู้สมัครบ้าง? ก็เพียงเพื่อได้พิจารณาเปรียบเทียบว่าใครคือผู้เหมาะสมเข้าตาประชาชน และเขาก็จะสามารถยืดหน้าท้าสายตามหาชนอย่างอาจอง สง่างาม....วานบอก...
แต่แทนที่ สสส.จะเปิดตัว เปิดใจทำทุกอย่างให้โปร่งใส..กลับไม่ทำ..ยิ่งมุดน้ำดำดินดิ้นหนีสายตามหาชน แยกองค์กรอิสระที่เกิดภายใต้เจตจำนงบริสุทธิ์ ทั้งเคยพิสูจน์ตนเองในยุคสงครามกับคนดี..ปุระชัย คราวที่ถูกการเมืองรุกไล่จนต้องซุกในอ้อมกอดอันอบอุ่นของภาคีนับพันองค์กรที่ชุมนุมใหญ่ที่ไบเทค บางนา เพื่อปกป้องรักษาองค์กรอิสระนี้เอาไว้....เอาไว้เพียงเพื่อวันนี้องค์กรนี้จะถูกแยกไปจากอ้อมกอดของมหาชน ไปเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมของหมอเด็กๆ ไม่กี่คนที่พยายามสร้างอาณาจักรส่วนตัวของกลุ่มตนบนกองมรดก “ภาษีบาป” มูลค่าปีละกว่าสองพันล้านบาท.....
คำถามคือทำไม? เพื่ออะไร? โดยใคร? และอย่างไร?
จากเอกสารรายงานประจำปีที่แถลงอย่างเป็นทางการล่าสุดคือปี 2550 ระบุถึงเม็ดเงินที่ สสส.ได้รับการจัดสรรจากภาษีเหล้า บุหรี่ ยอดเงินรวม 2,035 ล้านบาท ได้ถูกใช้สำหรับเป้าหมายกลุ่มปัจจัยเสี่ยงหลัก (บุหรี่ เหล้า ออกกำลังกาย และอุบัติเหตุ) เป็นวงเงินสูงสุดถึง 587.5 ล้านบาท (28.9%) เพื่อสุขภาวะองค์รวม 529 ล้านบาท (26%) พัฒนาระบบและนโยบาย 320.8 ล้านบาท (15.8%) และที่ต้องขีดเส้นใต้คือ งบการตลาดเพื่อสังคม 319.2 ล้านบาท 15.7%...เป็นงบ “เนื้อๆ” ทีเดียว...ฯลฯ
ปรากฏการณ์ที่เป็นร่องรอยสำหรับการตามรอยหรือแกะรอยกองมรดกภาษีบาปสองพันล้าน/ปี ได้แก่...
ปัญหาการอนุมัติโครงการ ซึ่งเปรียบเหมือนหนังไทยโบราณคือมีหลายแบบหลายแนว ทั้งชีวิต ซึม เศร้า บู๊ ตลก ......เช่น การอนุมัติโครงการส่วนใหญ่ต้องตกลงในวงนอกก่อนเสมอมี ผอ.สำนักฯ ต่างๆ เป็น Key man คอยปั้น ชง โยง โยกงบที่ระบุในกรอบงบประมาณทางการลงในช่องของกลุ่มองค์กร เครือข่ายที่เป็นที่รู้จักหรือตกลงเป็นการภายในกันก่อนแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สสส. เป็นผู้ถือติ้วชี้ขาดให้ หรือไม่ให้...หรือบางโครงการขนาดใหญ่ติ้วที่โยนเข้ากลางวงพิจารณานั้นมาจากผู้หลักผู้ใหญ่(ในวงการ) แต่นอกวงพิจารณาอย่างเป็นทางการ ก็มีมาให้เห็นเป็นระยะ....เมื่อเจรจาภาษาเดียวกัน (ต้องท่องคำขลังๆ อย่าง...สุขภาวะ/สุขภาวะองค์รวม) ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จัดพิธีกรรม พิธีการ อันสลับซับซ้อน (เอาไว้ร่อนคนนอกออกพ้นกองมรดก ?) คือมีทั้งพิธีการให้นักวิชาการ (พวกตน) มาอ่านงานผู้เสนอก่อนเข้าที่ประชุมวงใหญ่พิจารณาอีกทีหนึ่ง....
คำถามว่ากระบวนการ “เขาวงกต” เช่นนี้ ช่วยกลั่นกรองอะไรได้บ้าง....ในปรากฏการณ์ที่เป็นจริงก็คือ กลุ่มคน ชมรม องค์กร หรือ เครือข่าย ที่สามารถผ่านช่องทางหรือกระบวนการเขาวงกตนี้ ล้วนเป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยกันกับอย่างน้อย ผอ.สำนักฯ หรือระดับรองฯ ผู้บริหารองค์กรแทบทั้งสิ้น เม็ดเงินมากกว่าครึ่งของแต่ละปีหล่อเลี้ยงกลุ่มคนเก่า คนคุ้นเคยเอาไว้ ส่วนคนใหม่ สด ซิง walk in เข้ามาแบบไม่ต้องรู้จักใคร...เขียนใบสมัครที่หน้าเว็บเพจ ...ข้อมูลเชิงประจักษ์ก็คือเคยส่งโครงการชั้นดีเข้ามาในช่องทางนี้...นานกว่าครึ่งปีเห็นเงียบไปเฉยๆ โทร.ไปถาม ได้รับคำตอบว่า มีโครงการยื่นมาเยอะ 170 กว่าโครงการ แต่เพิ่งพิจารณาเสร็จไปแค่ 7 โครงการเท่านั้น... “รอหน่อย” เสียงปลายสายไม่ตอบกำหนดการชัดเจนให้ได้....ไม่รู้ว่าชาติหน้าถึงคิวหรือยัง?
กับอีกปรากฏการณ์เชิงประจักษ์ที่กลไกระดับ “แผนงานฯ” ที่ถืองบมหาศาลในแต่ละปี ถึงเวลาเทศกาลต้องรณรงค์ เพื่อนหญิงอยู่ในแผนงานฯ ชง งบ ผ่านเพื่อนชายที่เป็น Agent ติดต่อองค์กรกึ่งทางการที่ทำงานในระดับท้องถิ่น อัดงบระดับสิบล้านผ่านเข้าองค์กรนั้นไปกระจาย (หรือละลาย?) กับสาขาสมาชิก โดยมี “สินน้ำใจ” ในรูปแบบ “งบวิทยากรกระบวนการ” กว่าครึ่งล้านผ่านคืนมาทางเพื่อนชาย แบบชงเอง แบ่งๆ กันกิน...
เป็นบางตัวอย่างของการ “อนุมัติโครงการ” ในโครงสร้างการบริหารแบบเดิมๆ ที่แปลความหมายของคำว่า “ภาคี” หรือเครือข่ายความร่วมมือไปเป็น “บริวาร” หรือลูกน้อง-ลูกสมุน ในทางปฏิบัติเหยียดปลายเท้าก้าวเข้าสู่ความเคยชินทางการบริหารของระบบคิดเชิงอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม.... ทำให้มรดกภาษีบาปปีละสองพันล้านบาทนี้ แทนที่จะเป็นปุ๋ยรดน้ำพรวนดินให้ไม้ใหญ่น้อยในสวนเติบใหญ่เบิกบาน กลับกลายเป็นปุ๋ยเคมีที่เจ้าของใช้รดหล่อเลี้ยงบอนไซไว้ดูเล่น
ไม่นับที่ขีดเส้นใต้ไว้ในหมวดงบการตลาดเพื่อสังคม ยอดเงิน 319 ล้านบาทในปี 2550 ในความหมายของงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ต่างๆ ซึ่งในรูปการจัดจ่ายงานนั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่าจำกัดอยู่ในแวดวงคนกันเองแค่ไหน หรือรายไหนผูกปิ่นโตเถายาวอยู่ที่นี่
รวมทั้งยังมิได้วิพากษ์ประเด็นเรื่องความเหมาะสมของเนื้อหาการโฆษณา หรือรูปแบบการรณรงค์ที่ทุ่มเทงบมากกว่า 200 ล้านบาท เสนอคำหรือวลีเท่ห์ๆ ออกมาฮือฮาแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวเผาเงินไปเป็นร้อยๆ ล้านบาท...แล้วยังไง? คนเลิกเหล้าได้กี่คน? พอไฟวาบแล้ว...ออกพรรษาแล้วก็กลับมากินต่อ? ปีหน้าเอาเงินมาเผาใหม่...เอางั้นหรือ?
ตามลายแทงขุมทรัพย์สองพันล้านฯ ต่อปี ของ สสส.ถึงนาทีนี้ หากกล้ายอมรับความจริง ฟังเพื่อนรอบข้างอย่างมีสติ กลับมาอยู่ในลู่ทางอย่างที่ควรจะเป็นปล่อยวางอย่าสร้างอาณาจักรเฉพาะกลุ่มตน คืนองค์กรอิสระเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชนชาวไทย กลับสู่อ้อมกอดของสังคมไทย
เปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสร้างสรรค์ ด้วยเถิด....
เราต้องการการเปลี่ยนแปลง
Changes!
เดี๋ยวนี้.