ASTVผู้จัดการรายวัน- ทางหลวงชนบท เร่งเดินหน้าโครงการถนนไร้ฝุ่น งบปี 53 ตามแผนไทยเข้มแข็ง ระยะ 1 วงเงิน 14,832 ล้านบาท เปิดให้ผู้รับเหมาเสนอราคาผ่านระบบอีอ๊อคชั่น วันที่ 8,15,21 ก.ย. นี้ตามลำดับ มั่นใจ 23 ก.ย. 52 เซ็นสัญญาเริ่มโครงการได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการถนนไร้ฝุ่น ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) ว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2552 ทช.ได้เปิดให้ผู้รับเหมาก่อสร้างยื่นเสนอราคาแข่งขัน ตามกระบวนการประกวดราคาทางอิเลคทรอนิกส์ (อี-อ๊อคชั่น) เป็นครั้งแรกที่ และจะเปิดครั้งที่ 2 วันที่ 15 ก.ย. 2552 และครั้งที่ 3 วันที่ 21 ก.ย. 2552 หลังจากที่ได้ประกาศร่างเงื่อนไขสัญญาก่อสร้าง (TOR)ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 5 ส.ค. วันที่ 13 ส.ค. และวันที่ 19 ส.ค.52 ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างรตรวจสอบคุณสมบัติ
ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2553นี้ จะดำเนินการก่อสร้างทั้งสิ้น 901โครงการ กระจายไป ทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 3,246 กม.มูลค่า 14,320 ล้านบาทและค่าที่ปรึกษาโครงการอีก 500 ล้านบาท รวมเป็น 14,832 ล้านบาท และปี 2554 ก่อสร้าง 1,983.5 กม.มูลค่าก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท และปี 2555 ก่อสร้าง 1,983.5 กม.มูลค่าก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท
“กรมฯได้ขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาไว้ประมาณ 700 กว่าราย ซึ่งเป็นผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ได้กำหนดไว้ และการดำเนินการนั้นจะนำภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลในทุกขั้นตอนของการก่อสร้างถนน เพื่อให้ได้ถนนที่มีคุณภาพ มีอายุการใช้งานยาวนาน มีความสะดวก ปลอดภัย และเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอนและพัฒนาความเป็นอยู่และการให้บริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนให้ดีขึ้น ส่งเสริมการคมนาคมขนส่ง ให้ขยายตัวอย่างมีระบบ เชื่อมโยงโครงข่ายทางให้สมบูรณ์ อย่างพอเพียงและยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน “นายวิชาญกล่าว
อย่างไรก็ตามโครงการถนนไร้ฝุ่นเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและการเดินทางสัญจรของประชาชนในชนบท และก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและประเทศชาติในภายรวม รวมถึงการกระจายรายได้ การจ้างงาน คนในท้องถิ่น ถึง 70,517 คน นอกจากนี้ยังประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเนื่องจากโรคที่เกิดจากฝุ่นละอองในอากาศจำนวน 683 ล้านบาทต่อปี ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์ของประชาชนจำนวน 484 ล้านบาทต่อปี และประหยัดค่าน้ำมันในการสัญจรของประชาชนในท้องถิ่นได้ปีละ 5,676 ล้านบาท
นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการถนนไร้ฝุ่น ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) ว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2552 ทช.ได้เปิดให้ผู้รับเหมาก่อสร้างยื่นเสนอราคาแข่งขัน ตามกระบวนการประกวดราคาทางอิเลคทรอนิกส์ (อี-อ๊อคชั่น) เป็นครั้งแรกที่ และจะเปิดครั้งที่ 2 วันที่ 15 ก.ย. 2552 และครั้งที่ 3 วันที่ 21 ก.ย. 2552 หลังจากที่ได้ประกาศร่างเงื่อนไขสัญญาก่อสร้าง (TOR)ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 5 ส.ค. วันที่ 13 ส.ค. และวันที่ 19 ส.ค.52 ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างรตรวจสอบคุณสมบัติ
ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ 2553นี้ จะดำเนินการก่อสร้างทั้งสิ้น 901โครงการ กระจายไป ทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 3,246 กม.มูลค่า 14,320 ล้านบาทและค่าที่ปรึกษาโครงการอีก 500 ล้านบาท รวมเป็น 14,832 ล้านบาท และปี 2554 ก่อสร้าง 1,983.5 กม.มูลค่าก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท และปี 2555 ก่อสร้าง 1,983.5 กม.มูลค่าก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท
“กรมฯได้ขึ้นทะเบียนผู้รับเหมาไว้ประมาณ 700 กว่าราย ซึ่งเป็นผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ได้กำหนดไว้ และการดำเนินการนั้นจะนำภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลในทุกขั้นตอนของการก่อสร้างถนน เพื่อให้ได้ถนนที่มีคุณภาพ มีอายุการใช้งานยาวนาน มีความสะดวก ปลอดภัย และเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอนและพัฒนาความเป็นอยู่และการให้บริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนให้ดีขึ้น ส่งเสริมการคมนาคมขนส่ง ให้ขยายตัวอย่างมีระบบ เชื่อมโยงโครงข่ายทางให้สมบูรณ์ อย่างพอเพียงและยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน “นายวิชาญกล่าว
อย่างไรก็ตามโครงการถนนไร้ฝุ่นเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและการเดินทางสัญจรของประชาชนในชนบท และก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและประเทศชาติในภายรวม รวมถึงการกระจายรายได้ การจ้างงาน คนในท้องถิ่น ถึง 70,517 คน นอกจากนี้ยังประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเนื่องจากโรคที่เกิดจากฝุ่นละอองในอากาศจำนวน 683 ล้านบาทต่อปี ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรถยนต์ของประชาชนจำนวน 484 ล้านบาทต่อปี และประหยัดค่าน้ำมันในการสัญจรของประชาชนในท้องถิ่นได้ปีละ 5,676 ล้านบาท