กรณีการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ที่มีต่อนักการเมือง 2 นาย และนายตำรวจระดับสูง 2 นาย จากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ ล้มตาย และต้องพิการไปชั่วชีวิตนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีประการหนึ่งว่า ผู้มีอำนาจ และข้าราชการตำรวจไทยหลายท่าน ไม่เคยคิดที่จะเรียนรู้บทเรียนในอดีต ไม่ว่าจะผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ มากี่ยุคกี่สมัย แต่ตำรวจชั่วๆ บางคน ยังคงพิสมัยที่จะย่ำเท้าอยู่กับวงจรอุบาทว์ ลุแก่อำนาจ และทำได้อยู่ประการเดียวคือ ปัดความผิดให้พ้นตัว เมื่อถึงคราวที่ต้องรับผิดชอบ
บาดแผลจาก 7 ตุลาคม 2551 ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ไม่ใช่กรณีแรก แต่เป็นหนึ่งในหลายกรณีที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเกิดขึ้นจากสาเหตุเดิมๆ คือการกระทำอันเกินกว่าเหตุ และละเมิดซึ่งหลักการอนุสัญญาระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน
ตัวอย่างอันดี มีให้เห็นมาแล้วทั้งในเหตุการณ์ 20 ธันวาคม 2545 กรณีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร.ออกคำสั่งสลายการชุมนุม ของกลุ่มชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ผลคือ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้าน และกลุ่มสิทธิมนุษยชนพากันยื่นฟ้องร้องให้เอาผิดผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้อง
4 ปีให้หลัง ในวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ศาลปกครองจังหวัดสงขลา พิพากษาคดีดังกล่าว ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย โดยตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุว่า
“คำว่า เสรีภาพ ในทางคดีปกครองจึงต้องหมายรวมถึงเสรีภาพตามกฎหมายมหาชนด้วย เมื่อเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 44 จึงก่อให้เกิดหน้าที่แก่หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะงดเว้นไม่กระทำการใดอันเป็นการละเมิดเสรีภาพดังกล่าว หากมีการกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นอำนาจของศาลที่จะให้ความคุ้มครอง มิฉะนั้นแล้วการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองเสรีภาพไว้ ก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่
เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 และกลุ่มผู้ชุมนุมตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติรับรองไว้ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้อำนาจตามที่กล่าวอ้างผลักดันให้มีการสลายการชุมนุม อันเป็นการกระทำทางปกครองที่จำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบหรือปราศจากอาวุธของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 กับกลุ่มผู้ชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมด้วยการใช้อำนาจตามกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 ได้รับความเสียหายโดยไม่อาจอยู่ชุมนุมต่อไป” (ไทยโพสต์, 2 มิย. 49)
(หมายเหตุ มาตรา 44 เรื่องเสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญปี 2544 ถูกนำมาใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 63 เรื่องสิทธิในการชุมนุม)
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็มาสอด เมื่อคดีที่อำเภอจะนะ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมไม่ทันลืม ตำรวจและทหารไทยก็ตกเป้าให้สังคมได้ประณามอีกรอบจากกรณีการสลายการชุมนุมที่หน้า สภ.อ. ตากใบ เมื่อ 25 ตุลาคม 2547 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ถูกจับกุมอีกกว่าพันคน และการจับกุมดังกล่าวยังกลายเป็นชนวนเหตุของการเสียชีวิตของชาวบ้านอีก 78 คนที่ถูกจับ และถูกขนส่งอย่างแออัดด้วยรถบรรทุกของทหารเพื่อมุ่งหน้าไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี คดีนี้รายงานของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่มีคุณหญิงอัมพร มีสุข เป็นประธานระบุชัดว่า
“การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมและการสลายการชุมนุม เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุม และผู้ที่ถูกควบคุมตัวหลังจากสลายการชุมนุมในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพในการเดินทางและในการเลือกถิ่นที่อยู่ภายในราชอาณาจักรสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ตามมาตร 4 มาตรา 36 มาตรา 48 และมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และกรณีนี้ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อปฏิญญาสากลและกติการะหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีอีกด้วย
กล่าวคือ เป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อ 3 ข้อ 5 ข้อ 13 (1) ข้อ 17 ข้อ 21 (2) และข้อ 25 (1) ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 12 และข้อ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) และข้อ 12 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights)
คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าหากได้มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับสถานการณ์และมีการใช้เจ้าหน้าที่ที่มีทักษะในการปฏิบัติเฉพาะสำหรับการสลายการชุมนุม น่าจะไม่มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต และเนื่องจากขาดการประสานงานที่ดี อาทิ ได้ปิดเส้นทางสัญจรบางเส้น เป็นเหตุให้ประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกบีบให้เดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณที่มีการชุมนุม รวมทั้งได้ปิดกั้นเส้นทางออกจากบริเวณสถานที่ชุมนุม จึงเป็นเหตุให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่สามารถออกจากบริเวณที่ชุมนุมได้” (มติชน, 26 กย. 2547)
ฉะนั้นการออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวของเหล่าสมาคมสีกากีภายใต้การขับเคลื่อนของนายพลทั้งหลายที่ออกมาค่อนขอดว่า ต่อไปนี้ตำรวจจะทำอะไรต้องถาม ป.ป.ช. แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ของท่านเหล่านี้อย่างน้อย 2 ประการคือ
1.ไม่รู้กรอบการทำงานของตนเองทั้งที่ดำรงตำแหน่งระดับบัญชาการกันทั้งนั้น ทำให้เกิดความสงสัยว่าแล้วในอนาคตพวกท่านจะทำงานภายใต้กรอบกฎหมายต่อไปได้อีกละหรือ ประชาชนจะไว้ใจได้อย่างไร ทางที่ดีที่สุด ท่านเหล่านั้นควรจะเสียสละ ลาออกจากตำแหน่งไป เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่เขารอบรู้ในกรอบหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทั้งตามหลักกฎหมายและหลักสากล ให้เข้ามาทำหน้าที่แทนท่านไม่ดีกว่าหรือ เป็นการประหยัดทั้งงบประมาณชาติ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น
2. ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระตามกฎหมาย มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของข้าราชการการเมืองและประจำตามที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้ ไม่ได้มีหน้าที่คอยแนะนำใครทั้งสิ้น
ตัวอย่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หลีกเลี่ยงการปะทะเพราะหวั่นจะซ้ำรอยเหตุการณ์ 7 ตุลาคม โดยปฏิเสธที่จะใช้กฎหมายพิเศษคุมม็อบเสื้อแดงในช่วงปลายปีที่แล้ว หรือแม้แต่การปฏิเสธที่จะดึงดันแถลงนโยบายให้ได้ แต่ใช้วิธีย้ายสถานที่ไปยังกระทรวงการต่างประเทศแทน ถือเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชม เพราะอย่างน้อยตัวอย่างที่คุณอภิสิทธิ์ทำในวันนั้น ก็ช่วยทำให้ประชาชนแยกออกได้ว่า การตัดสินใจของคนระดับผู้นำกับฆาตกรแตกต่างกันอย่างไร
บาดแผลจาก 7 ตุลาคม 2551 ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ไม่ใช่กรณีแรก แต่เป็นหนึ่งในหลายกรณีที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเกิดขึ้นจากสาเหตุเดิมๆ คือการกระทำอันเกินกว่าเหตุ และละเมิดซึ่งหลักการอนุสัญญาระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน
ตัวอย่างอันดี มีให้เห็นมาแล้วทั้งในเหตุการณ์ 20 ธันวาคม 2545 กรณีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร.ออกคำสั่งสลายการชุมนุม ของกลุ่มชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ผลคือ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก เรื่องนี้ทำให้ชาวบ้าน และกลุ่มสิทธิมนุษยชนพากันยื่นฟ้องร้องให้เอาผิดผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้อง
4 ปีให้หลัง ในวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ศาลปกครองจังหวัดสงขลา พิพากษาคดีดังกล่าว ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 1 ละเมิดสิทธิสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย โดยตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุว่า
“คำว่า เสรีภาพ ในทางคดีปกครองจึงต้องหมายรวมถึงเสรีภาพตามกฎหมายมหาชนด้วย เมื่อเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 44 จึงก่อให้เกิดหน้าที่แก่หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะงดเว้นไม่กระทำการใดอันเป็นการละเมิดเสรีภาพดังกล่าว หากมีการกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นอำนาจของศาลที่จะให้ความคุ้มครอง มิฉะนั้นแล้วการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองเสรีภาพไว้ ก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่
เมื่อคดีนี้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 และกลุ่มผู้ชุมนุมตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติรับรองไว้ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้อำนาจตามที่กล่าวอ้างผลักดันให้มีการสลายการชุมนุม อันเป็นการกระทำทางปกครองที่จำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบหรือปราศจากอาวุธของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 กับกลุ่มผู้ชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมด้วยการใช้อำนาจตามกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 ได้รับความเสียหายโดยไม่อาจอยู่ชุมนุมต่อไป” (ไทยโพสต์, 2 มิย. 49)
(หมายเหตุ มาตรา 44 เรื่องเสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญปี 2544 ถูกนำมาใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 63 เรื่องสิทธิในการชุมนุม)
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็มาสอด เมื่อคดีที่อำเภอจะนะ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมไม่ทันลืม ตำรวจและทหารไทยก็ตกเป้าให้สังคมได้ประณามอีกรอบจากกรณีการสลายการชุมนุมที่หน้า สภ.อ. ตากใบ เมื่อ 25 ตุลาคม 2547 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ถูกจับกุมอีกกว่าพันคน และการจับกุมดังกล่าวยังกลายเป็นชนวนเหตุของการเสียชีวิตของชาวบ้านอีก 78 คนที่ถูกจับ และถูกขนส่งอย่างแออัดด้วยรถบรรทุกของทหารเพื่อมุ่งหน้าไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี คดีนี้รายงานของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่มีคุณหญิงอัมพร มีสุข เป็นประธานระบุชัดว่า
“การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมและการสลายการชุมนุม เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุม และผู้ที่ถูกควบคุมตัวหลังจากสลายการชุมนุมในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพในการเดินทางและในการเลือกถิ่นที่อยู่ภายในราชอาณาจักรสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ตามมาตร 4 มาตรา 36 มาตรา 48 และมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และกรณีนี้ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อปฏิญญาสากลและกติการะหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีอีกด้วย
กล่าวคือ เป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อ 3 ข้อ 5 ข้อ 13 (1) ข้อ 17 ข้อ 21 (2) และข้อ 25 (1) ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 12 และข้อ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) และข้อ 12 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights)
คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าหากได้มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับสถานการณ์และมีการใช้เจ้าหน้าที่ที่มีทักษะในการปฏิบัติเฉพาะสำหรับการสลายการชุมนุม น่าจะไม่มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต และเนื่องจากขาดการประสานงานที่ดี อาทิ ได้ปิดเส้นทางสัญจรบางเส้น เป็นเหตุให้ประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกบีบให้เดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณที่มีการชุมนุม รวมทั้งได้ปิดกั้นเส้นทางออกจากบริเวณสถานที่ชุมนุม จึงเป็นเหตุให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่สามารถออกจากบริเวณที่ชุมนุมได้” (มติชน, 26 กย. 2547)
ฉะนั้นการออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวของเหล่าสมาคมสีกากีภายใต้การขับเคลื่อนของนายพลทั้งหลายที่ออกมาค่อนขอดว่า ต่อไปนี้ตำรวจจะทำอะไรต้องถาม ป.ป.ช. แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ของท่านเหล่านี้อย่างน้อย 2 ประการคือ
1.ไม่รู้กรอบการทำงานของตนเองทั้งที่ดำรงตำแหน่งระดับบัญชาการกันทั้งนั้น ทำให้เกิดความสงสัยว่าแล้วในอนาคตพวกท่านจะทำงานภายใต้กรอบกฎหมายต่อไปได้อีกละหรือ ประชาชนจะไว้ใจได้อย่างไร ทางที่ดีที่สุด ท่านเหล่านั้นควรจะเสียสละ ลาออกจากตำแหน่งไป เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่เขารอบรู้ในกรอบหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทั้งตามหลักกฎหมายและหลักสากล ให้เข้ามาทำหน้าที่แทนท่านไม่ดีกว่าหรือ เป็นการประหยัดทั้งงบประมาณชาติ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น
2. ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระตามกฎหมาย มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของข้าราชการการเมืองและประจำตามที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้ ไม่ได้มีหน้าที่คอยแนะนำใครทั้งสิ้น
ตัวอย่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หลีกเลี่ยงการปะทะเพราะหวั่นจะซ้ำรอยเหตุการณ์ 7 ตุลาคม โดยปฏิเสธที่จะใช้กฎหมายพิเศษคุมม็อบเสื้อแดงในช่วงปลายปีที่แล้ว หรือแม้แต่การปฏิเสธที่จะดึงดันแถลงนโยบายให้ได้ แต่ใช้วิธีย้ายสถานที่ไปยังกระทรวงการต่างประเทศแทน ถือเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชม เพราะอย่างน้อยตัวอย่างที่คุณอภิสิทธิ์ทำในวันนั้น ก็ช่วยทำให้ประชาชนแยกออกได้ว่า การตัดสินใจของคนระดับผู้นำกับฆาตกรแตกต่างกันอย่างไร