การเมืองไทยมักมีอะไรที่ดูแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเสมอ จนบางครั้ง นักวิชาการที่เรียนมาทางรัฐศาสตร์ต้องฉีกตำราการเมืองแบบตะวันตกทิ้ง
ในช่วงนี้ ที่เห็นแล้วสุดประหลาดคือ การแพร่ระบาดของลัทธิแก้กรรม
ลัทธินี้แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ มีผู้คนพากันหลงใหลและตกเป็นเหยื่อมากมาย ตั้งแต่ระดับชาวบ้านทั่วไป จนถึงระดับนักการเมือง ระดับนายทหาร รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทย
ลัทธิแก้กรรมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองไทย ซึ่งไม่ต่างกันนักกับอิทธิพลของบรรดาหมอดูและหมอเดาทั้งหลาย ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางการเมืองไทยได้
ความจริงแล้ว บรรดาผู้แอบอ้างว่า “รู้กรรม แก้กรรมได้” ส่วนใหญ่เป็นพวกหลอกลวงหาเงิน โดยอ้างว่าตัวท่านเองมีอำนาจพิเศษ สามารถดูหรือทายได้ว่าคนคนนี้เคยก่อเวรหรือทำกรรมอะไรมาจากชาติปางก่อน และสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของคนคนนั้นได้
ผมคิดว่าคนไทยทั่วไปก็คงเคยพบเคยเจอมาบ้าง ส่วนใหญ่มีที่มาจากบรรดาหมอดู ซึ่งหากดูเฉพาะเรื่องดวงธรรมดาก็จะไม่สามารถทำรายได้ให้มากนัก แต่ถ้าดูเสร็จแล้วต้องทำพิธีแก้กรรมด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มรายได้มากยิ่งขึ้น
เริ่มต้น เจ้าลัทธิแก้กรรมจะแสดงว่าตนมีพลังพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ อย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็เริ่มด้วยการทักว่า
“ดูหน้าตาแล้ว มีเคราะห์ร้ายนะ”
เมื่อมีเคราะห์ร้าย หมอดูเหล่านี้บางคนจะช่วยตรวจดวงชะตาให้ฟรี หรือไม่ก็ใช้วิธีนั่งทางในหรือนั่งสมาธิโดยไม่เก็บเงินเพิ่ม
แต่พอตรวจกรรมเก่าแล้ว ก็มักจะแอบอ้างว่ารู้กรรมเก่าของผู้ถูกตรวจกรรม ว่าชาติที่แล้วเคยทำกรรมอะไรมา และกำลังต้องรับกรรมหนักมาก
ดังนั้น ผลการตรวจเวรตรวจกรรมก็มักจะลงท้ายด้วยการเสนอว่า “ต้องทำพิธีแก้เวร แก้กรรม”
ถ้าหมอดูหรือผู้ทำนายกรรมดังกล่าว เห็นว่าผู้มีกรรมมีฐานะไม่ดีนัก ก็บอกให้ทำพิธีแก้กรรมกันแบบเล็กๆ ใช้เงินไม่มาก
แต่ถ้าผู้มีกรรมมีเงินมาก หรือเคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ เช่น คุณทักษิณ ก็ต้องทำพิธีใหญ่ แก้กันแบบหลายตลบ
บางครั้งต้องแก้กรรมกันแบบทั่วประเทศ
ทำพิธีทางภาคเหนือครั้งหนึ่ง ภาคใต้ครั้งหนึ่ง อีสานครั้งหนึ่ง แล้วก็ต้องทำต่อที่ภาคกลางอีกครั้งหนึ่ง
นี่ดี...ที่หมอทำนายกรรมของคุณทักษิณไม่เก่งกาจมากนัก จึงทำนายกรรมได้เพียงไม่ก็ชาติ ถ้าเจอหมอที่เก่งกาจมากๆ ก็จะรู้ว่า คุณทักษิณน่าจะเกิดมาอย่างน้อยก็นับเป็นหลายแสนชาติแล้วก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน และแต่ละชาติคุณทักษิณก็ทำกรรมไว้จำนวนมาก
เมื่อมีกรรมมากล้นเหลือประมาณ พิธีแก้กรรมแบบทั่วประเทศก็อาจไม่พอ คงต้องทำกันต่อไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตของคุณทักษิณที่เหลืออยู่เป็นแน่
บางครั้ง เมื่อทำพิธีกันแบบใหญ่โตมากๆ โดยเชิญบรรดาพระอาวุโสเข้าร่วมด้วย เล่นเอาชาวบ้านหลงคิดไปว่า พิธีแก้กรรม คือพิธีทางพุทธศาสนา
แต่ถ้าย้อนศึกษาพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าไม่เคยทำพิธีแก้เวรแก้กรรมให้กับใคร
แม้แต่บรรดาพระอรหันต์ผู้สืบทอดพุทธศาสนารุ่นต่อมา ก็ไม่เคยมีเรื่องราวหรือมีบันทึกว่าท่านเหล่านี้ได้ทำพิธีตรวจกรรม แก้กรรม แก้ชะตา อาจจะเนื่องจากว่า หากบรรดาพระสงฆ์ท่านใดร่วมทำพิธีดังกล่าวก็เท่ากับแอบอ้างว่าตนเองมีอำนาจพิเศษเหนือฟ้าดิน
ผู้คนที่อ้างว่า “แก้กรรมได้” น่าจะถือว่าเป็นเทวดาชั้นพิเศษจริงๆ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หรือไม่ก็คือ พวกลวงโลกสุดๆ หากพระสงฆ์เข้าร่วมทำพิธีหลอกลวงแบบนี้ ก็เท่ากับท่านได้ร่วมทำการหลอกลวงผู้คนด้วย
คนไทยมักจะหลงเชื่ออะไรง่ายๆ จึงต้องกลายเป็นเหยื่อของผู้ที่แอบอ้างว่า “มีอำนาจพิเศษ” ขนาดเปลี่ยนชะตากรรมของผู้คนได้
ถ้าเปลี่ยนได้จริง ทำไมบรรดาผู้รู้ชะตาและเปลี่ยนชะตาได้ จึงไม่เปลี่ยนชะตาตนเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ต้องมาหากินแอบอ้างหลอกผู้คนต่อไป
แต่ที่น่าสงสารสุดๆ น่าจะเป็น ‘คนที่แก้กรรม’ เอง เพราะนอกจากต้องจ่ายเงินไปเป็นจำนวนมากเพื่อแก้กรรมแล้ว ยังไม่ตระหนักรู้ว่า “กรรมนั้นแก้ไม่ได้ด้วยการทำพิธีกรรม”
หากทำพิธีใหญ่โต ยิ่งเชิญผู้คนมามากมาย ก็อาจจะกลายเป็นการก่อกรรมก่อเวรขึ้นใหม่ ไม่ใช่แก้กรรม แต่เพิ่มกรรม
อย่างเช่นกรณีคุณทักษิณ มีการจัดทำพิธีแก้กรรมใหญ่มาก เท่ากับประกาศให้คนที่นับถือท่านหลงเชื่อว่า ท่านคือคนที่มีบุญบารมีสูง มีอดีตชาติยิ่งใหญ่มาก่อน เป็นถึงกษัตริย์หรือเจ้าเมือง
นี่คือ การแผ่ ‘อัตตา’ เท่ากับทำพิธีเสริม ‘อัตตา’ ตัวเอง และทำให้ผู้คนหลงงมงายกับเรื่องไร้สาระ
คุณทักษิณไม่ได้ทำพิธีเพื่อเพิ่มและเสริมอัตตาตนเองเท่านั้น ท่านยังหวังว่า หากแก้กรรมแล้ว ก็จะกลับมามีอำนาจใหม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาฝ่ายที่กลัวว่าท่านจะกลับมายิ่งใหญ่อีก ก็ต้องเตรียมวางแผนการเพื่อโค่นล้มท่านต่อ
ดังนั้น พิธีกรรมใหญ่ก็เท่ากับสร้างกรรมใหม่ เกิดการจองเวรจองกรรมกันมากขึ้น และสร้างเสริมเพิ่มศัตรูขึ้นมาใหม่
อย่างเช่นเพื่อนผมคนหนึ่ง เคยอยู่ฝ่ายเสื้อแดง วันก่อนก็โทร.มาบอกผมว่าจะไม่ขอร่วมวงกับพวกสีแดงอีกแล้ว
ผมสงสัย และถามเขาว่า “ทำไม”
ท่านก็บอกว่า “คุณทักษิณ เป็นนายทุนที่หลงงมงายว่าตัวเป็นจ้าวศักดินา ยิ่งกว่าขุนนางศักดินาหรือบรรดาอำมาตย์ เพราะไปติดหลงคิดบ้าๆ ว่า ตัวเองคืออดีตจ้าวผู้ยิ่งใหญ่”
ท่านกล่าวต่อว่า
“จะเอาอดีตเจ้าชาติก่อนมาเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทยได้อย่างไร หากท่านกลับมามีอำนาจใหม่ ท่านก็อาจจะสร้างระบบเผด็จการแบบศักดินาขึ้นมาใหม่เพราะท่านติดหลงความเป็นจ้าวศักดินาอยู่”
แต่ใครเล่าจะบอกได้ว่า พอทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดากรรมเวรทั้งหลายจะหมดไปจริงๆ
หากเวรกรรมหมด (หมดไปจริง) และท่านทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ อีก ท่านก็ต้องสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มอีก
อย่าลืมนะ!
ครั้งที่แล้ว ตอนคุณทักษิณเป็นนายกฯ ท่านก็มีส่วนหรือมีฐานะเป็นประธานในการ ‘สั่งฆ่า’ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ายาเสพติดไปกว่า 2,000 ศพ
ครั้งที่แล้วอีกเช่นกัน ท่านก็มีคำสั่งให้ ‘อุ้ม’ และ ‘ฆ่า’ ประชาชนในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปมากกว่า 100 ศพ จนก่อเกิดสงครามรบราฆ่ากันมาจนทุกวันนี้
ถ้าท่านกลับมามีอำนาจใหม่ (หลังจากแก้กรรมเรียบร้อยแล้ว) จะมีผู้คนตายกันอีกเท่าไหร่...............???
ท่านคงต้องสั่งฆ่าบรรดาผู้นำเสื้อเหลืองและพวกต่อต้าน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น คนพวกนี้ก็จะออกมาขัดขวางล้มอำนาจท่านอีก
ผมจึงสงสัยว่าถ้าทำ ‘พิธีแก้กรรม’ โดยมีเจตนาเพื่อกลับคืนสู่อำนาจ และเพื่อทำกรรมต่อ กรรมนั้นก็น่าจะมีแต่สะสมเพิ่มพูนขึ้น ไม่ได้ลดลง
ท่านอดีตนายกฯ ก็จะต้องเผชิญเคราะห์กรรมที่หนักหน่วงกว่าเดิมอีก
งานนี้ ผมคงนำเสนอ ‘วิถีการแก้กรรมแบบพุทธ’ ซึ่งมีเจตนามุ่งเน้นไม่ทำกรรมต่อ ก้าวสู่การเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ และเป็นวิถีไปสู่การลดละอัตตา ลดทุกข์ และการไม่หลงติดในอำนาจวาสนา
แต่การอธิบายเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายนัก เพราะต้องตอบคำถามหลายคำถาม อย่างเช่น อะไร คือ ที่มาแห่งอัตตา อะไรคือ อนัตตา และอะไรคือ ที่มาแห่งความทุกข์ จะแก้ทุกข์แก้กรรมจริงๆ ได้อย่างไร
สิ่งสำคัญ การจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็ต้องทำความเข้าใจหลักพื้นฐานของพุทธศาสนา รวมทั้งหลักธรรมที่มีชื่อว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งหลักธรรมข้อนี้ก็เข้าใจได้ไม่ง่ายนัก
ผลงานชิ้นนี้ ผมหวังว่า อย่างน้อยสุดคงช่วยให้ผู้หลงแก้กรรมแบบผิดๆ ลองหันมาทำการแก้กรรมกันด้วยวิถีพุทธบ้าง (ยังมีต่อ)
ในช่วงนี้ ที่เห็นแล้วสุดประหลาดคือ การแพร่ระบาดของลัทธิแก้กรรม
ลัทธินี้แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ มีผู้คนพากันหลงใหลและตกเป็นเหยื่อมากมาย ตั้งแต่ระดับชาวบ้านทั่วไป จนถึงระดับนักการเมือง ระดับนายทหาร รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทย
ลัทธิแก้กรรมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองไทย ซึ่งไม่ต่างกันนักกับอิทธิพลของบรรดาหมอดูและหมอเดาทั้งหลาย ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางการเมืองไทยได้
ความจริงแล้ว บรรดาผู้แอบอ้างว่า “รู้กรรม แก้กรรมได้” ส่วนใหญ่เป็นพวกหลอกลวงหาเงิน โดยอ้างว่าตัวท่านเองมีอำนาจพิเศษ สามารถดูหรือทายได้ว่าคนคนนี้เคยก่อเวรหรือทำกรรมอะไรมาจากชาติปางก่อน และสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของคนคนนั้นได้
ผมคิดว่าคนไทยทั่วไปก็คงเคยพบเคยเจอมาบ้าง ส่วนใหญ่มีที่มาจากบรรดาหมอดู ซึ่งหากดูเฉพาะเรื่องดวงธรรมดาก็จะไม่สามารถทำรายได้ให้มากนัก แต่ถ้าดูเสร็จแล้วต้องทำพิธีแก้กรรมด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มรายได้มากยิ่งขึ้น
เริ่มต้น เจ้าลัทธิแก้กรรมจะแสดงว่าตนมีพลังพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ อย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็เริ่มด้วยการทักว่า
“ดูหน้าตาแล้ว มีเคราะห์ร้ายนะ”
เมื่อมีเคราะห์ร้าย หมอดูเหล่านี้บางคนจะช่วยตรวจดวงชะตาให้ฟรี หรือไม่ก็ใช้วิธีนั่งทางในหรือนั่งสมาธิโดยไม่เก็บเงินเพิ่ม
แต่พอตรวจกรรมเก่าแล้ว ก็มักจะแอบอ้างว่ารู้กรรมเก่าของผู้ถูกตรวจกรรม ว่าชาติที่แล้วเคยทำกรรมอะไรมา และกำลังต้องรับกรรมหนักมาก
ดังนั้น ผลการตรวจเวรตรวจกรรมก็มักจะลงท้ายด้วยการเสนอว่า “ต้องทำพิธีแก้เวร แก้กรรม”
ถ้าหมอดูหรือผู้ทำนายกรรมดังกล่าว เห็นว่าผู้มีกรรมมีฐานะไม่ดีนัก ก็บอกให้ทำพิธีแก้กรรมกันแบบเล็กๆ ใช้เงินไม่มาก
แต่ถ้าผู้มีกรรมมีเงินมาก หรือเคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ เช่น คุณทักษิณ ก็ต้องทำพิธีใหญ่ แก้กันแบบหลายตลบ
บางครั้งต้องแก้กรรมกันแบบทั่วประเทศ
ทำพิธีทางภาคเหนือครั้งหนึ่ง ภาคใต้ครั้งหนึ่ง อีสานครั้งหนึ่ง แล้วก็ต้องทำต่อที่ภาคกลางอีกครั้งหนึ่ง
นี่ดี...ที่หมอทำนายกรรมของคุณทักษิณไม่เก่งกาจมากนัก จึงทำนายกรรมได้เพียงไม่ก็ชาติ ถ้าเจอหมอที่เก่งกาจมากๆ ก็จะรู้ว่า คุณทักษิณน่าจะเกิดมาอย่างน้อยก็นับเป็นหลายแสนชาติแล้วก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน และแต่ละชาติคุณทักษิณก็ทำกรรมไว้จำนวนมาก
เมื่อมีกรรมมากล้นเหลือประมาณ พิธีแก้กรรมแบบทั่วประเทศก็อาจไม่พอ คงต้องทำกันต่อไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตของคุณทักษิณที่เหลืออยู่เป็นแน่
บางครั้ง เมื่อทำพิธีกันแบบใหญ่โตมากๆ โดยเชิญบรรดาพระอาวุโสเข้าร่วมด้วย เล่นเอาชาวบ้านหลงคิดไปว่า พิธีแก้กรรม คือพิธีทางพุทธศาสนา
แต่ถ้าย้อนศึกษาพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าไม่เคยทำพิธีแก้เวรแก้กรรมให้กับใคร
แม้แต่บรรดาพระอรหันต์ผู้สืบทอดพุทธศาสนารุ่นต่อมา ก็ไม่เคยมีเรื่องราวหรือมีบันทึกว่าท่านเหล่านี้ได้ทำพิธีตรวจกรรม แก้กรรม แก้ชะตา อาจจะเนื่องจากว่า หากบรรดาพระสงฆ์ท่านใดร่วมทำพิธีดังกล่าวก็เท่ากับแอบอ้างว่าตนเองมีอำนาจพิเศษเหนือฟ้าดิน
ผู้คนที่อ้างว่า “แก้กรรมได้” น่าจะถือว่าเป็นเทวดาชั้นพิเศษจริงๆ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หรือไม่ก็คือ พวกลวงโลกสุดๆ หากพระสงฆ์เข้าร่วมทำพิธีหลอกลวงแบบนี้ ก็เท่ากับท่านได้ร่วมทำการหลอกลวงผู้คนด้วย
คนไทยมักจะหลงเชื่ออะไรง่ายๆ จึงต้องกลายเป็นเหยื่อของผู้ที่แอบอ้างว่า “มีอำนาจพิเศษ” ขนาดเปลี่ยนชะตากรรมของผู้คนได้
ถ้าเปลี่ยนได้จริง ทำไมบรรดาผู้รู้ชะตาและเปลี่ยนชะตาได้ จึงไม่เปลี่ยนชะตาตนเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ต้องมาหากินแอบอ้างหลอกผู้คนต่อไป
แต่ที่น่าสงสารสุดๆ น่าจะเป็น ‘คนที่แก้กรรม’ เอง เพราะนอกจากต้องจ่ายเงินไปเป็นจำนวนมากเพื่อแก้กรรมแล้ว ยังไม่ตระหนักรู้ว่า “กรรมนั้นแก้ไม่ได้ด้วยการทำพิธีกรรม”
หากทำพิธีใหญ่โต ยิ่งเชิญผู้คนมามากมาย ก็อาจจะกลายเป็นการก่อกรรมก่อเวรขึ้นใหม่ ไม่ใช่แก้กรรม แต่เพิ่มกรรม
อย่างเช่นกรณีคุณทักษิณ มีการจัดทำพิธีแก้กรรมใหญ่มาก เท่ากับประกาศให้คนที่นับถือท่านหลงเชื่อว่า ท่านคือคนที่มีบุญบารมีสูง มีอดีตชาติยิ่งใหญ่มาก่อน เป็นถึงกษัตริย์หรือเจ้าเมือง
นี่คือ การแผ่ ‘อัตตา’ เท่ากับทำพิธีเสริม ‘อัตตา’ ตัวเอง และทำให้ผู้คนหลงงมงายกับเรื่องไร้สาระ
คุณทักษิณไม่ได้ทำพิธีเพื่อเพิ่มและเสริมอัตตาตนเองเท่านั้น ท่านยังหวังว่า หากแก้กรรมแล้ว ก็จะกลับมามีอำนาจใหม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาฝ่ายที่กลัวว่าท่านจะกลับมายิ่งใหญ่อีก ก็ต้องเตรียมวางแผนการเพื่อโค่นล้มท่านต่อ
ดังนั้น พิธีกรรมใหญ่ก็เท่ากับสร้างกรรมใหม่ เกิดการจองเวรจองกรรมกันมากขึ้น และสร้างเสริมเพิ่มศัตรูขึ้นมาใหม่
อย่างเช่นเพื่อนผมคนหนึ่ง เคยอยู่ฝ่ายเสื้อแดง วันก่อนก็โทร.มาบอกผมว่าจะไม่ขอร่วมวงกับพวกสีแดงอีกแล้ว
ผมสงสัย และถามเขาว่า “ทำไม”
ท่านก็บอกว่า “คุณทักษิณ เป็นนายทุนที่หลงงมงายว่าตัวเป็นจ้าวศักดินา ยิ่งกว่าขุนนางศักดินาหรือบรรดาอำมาตย์ เพราะไปติดหลงคิดบ้าๆ ว่า ตัวเองคืออดีตจ้าวผู้ยิ่งใหญ่”
ท่านกล่าวต่อว่า
“จะเอาอดีตเจ้าชาติก่อนมาเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทยได้อย่างไร หากท่านกลับมามีอำนาจใหม่ ท่านก็อาจจะสร้างระบบเผด็จการแบบศักดินาขึ้นมาใหม่เพราะท่านติดหลงความเป็นจ้าวศักดินาอยู่”
แต่ใครเล่าจะบอกได้ว่า พอทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดากรรมเวรทั้งหลายจะหมดไปจริงๆ
หากเวรกรรมหมด (หมดไปจริง) และท่านทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ อีก ท่านก็ต้องสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มอีก
อย่าลืมนะ!
ครั้งที่แล้ว ตอนคุณทักษิณเป็นนายกฯ ท่านก็มีส่วนหรือมีฐานะเป็นประธานในการ ‘สั่งฆ่า’ บรรดาพ่อค้าแม่ค้ายาเสพติดไปกว่า 2,000 ศพ
ครั้งที่แล้วอีกเช่นกัน ท่านก็มีคำสั่งให้ ‘อุ้ม’ และ ‘ฆ่า’ ประชาชนในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปมากกว่า 100 ศพ จนก่อเกิดสงครามรบราฆ่ากันมาจนทุกวันนี้
ถ้าท่านกลับมามีอำนาจใหม่ (หลังจากแก้กรรมเรียบร้อยแล้ว) จะมีผู้คนตายกันอีกเท่าไหร่...............???
ท่านคงต้องสั่งฆ่าบรรดาผู้นำเสื้อเหลืองและพวกต่อต้าน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น คนพวกนี้ก็จะออกมาขัดขวางล้มอำนาจท่านอีก
ผมจึงสงสัยว่าถ้าทำ ‘พิธีแก้กรรม’ โดยมีเจตนาเพื่อกลับคืนสู่อำนาจ และเพื่อทำกรรมต่อ กรรมนั้นก็น่าจะมีแต่สะสมเพิ่มพูนขึ้น ไม่ได้ลดลง
ท่านอดีตนายกฯ ก็จะต้องเผชิญเคราะห์กรรมที่หนักหน่วงกว่าเดิมอีก
งานนี้ ผมคงนำเสนอ ‘วิถีการแก้กรรมแบบพุทธ’ ซึ่งมีเจตนามุ่งเน้นไม่ทำกรรมต่อ ก้าวสู่การเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ และเป็นวิถีไปสู่การลดละอัตตา ลดทุกข์ และการไม่หลงติดในอำนาจวาสนา
แต่การอธิบายเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายนัก เพราะต้องตอบคำถามหลายคำถาม อย่างเช่น อะไร คือ ที่มาแห่งอัตตา อะไรคือ อนัตตา และอะไรคือ ที่มาแห่งความทุกข์ จะแก้ทุกข์แก้กรรมจริงๆ ได้อย่างไร
สิ่งสำคัญ การจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็ต้องทำความเข้าใจหลักพื้นฐานของพุทธศาสนา รวมทั้งหลักธรรมที่มีชื่อว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งหลักธรรมข้อนี้ก็เข้าใจได้ไม่ง่ายนัก
ผลงานชิ้นนี้ ผมหวังว่า อย่างน้อยสุดคงช่วยให้ผู้หลงแก้กรรมแบบผิดๆ ลองหันมาทำการแก้กรรมกันด้วยวิถีพุทธบ้าง (ยังมีต่อ)