ASTVผู้จัดการรายวัน - บีเอ็มดับเบิลยู รุกหนักปูพรมโปรดักต์หลากหลายเอาใจลูกค้า ชูเครื่องยนต์ดีเซลเหนือกว่าไฮบริด ทั้งสมรรถนะและการประหยัดน้ำมัน ล่าสุดเปิดตัว 730Ld ราคา 7.599 ล้านบาท เผยกำลังศึกษาแผนทำรถให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 ด้านบิ๊กบอส “มิคาเอล คอร์ดิส” สวดคู่แข่งเล่นสงครามราคาหวังยอดขาย เมินนโยบายลดกระหน่ำ เดินหน้าจัดงานใหญ่ BMW Xpo วันที่ 10-13 กันยายนนี้ ณ เซ็นทรัลเวิล์ด
นายมิคาเอล คอร์ดิส ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ปีนี้ตลาดรถยนต์เมืองไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ 7 เดือนที่ผ่านมายอดขายรวมลดลงกว่า 20% แต่ในส่วนตลาดรถหรูนั้นถือว่าได้รับผลกระทบน้อย และคาดว่ายอดขายรวมทุกยี่ห้อจะทำได้เทียบเท่าปีที่แล้ว หรือประมาณ 6,800 คัน ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 30%
“ยอดขายบีเอ็มดับเบิลยูในเดือนสิงหาคมทำได้ 222 คัน ขยายตัว 20% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขณะที่ยอดสะสม 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ขายได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2551 ดังนั้นเชื่อว่าถึงสิ้นปีบริษัทจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และมียอดขายเติบโตกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ 1,876 คัน แน่นอน”
ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้เตรียมแผนงานไว้มากมายอย่างวันที่ 10-13 กันยายนนี้ จะจัด BMW Xpo ที่เซ็นทรัลเวิล์ด กับข้อเสนอพิเศษสุดคุ้มสำหรับลูกค้าที่ออกรถภายในงาน พร้อมกิจกรรมร่วมสนุกอันหลากหลาย ขณะเดียวกันยังนำรถยนต์ในสายการผลิตทั้งหมด 24 รุ่นมาอวดโฉม โดยไฮไลต์อยู่ที่การเปิดตัวครั้งแรกของ ซีรีย์ 7 เครื่องยนต์ดีเซล รุ่น 730Ld ราคา 7.599 ล้านบาท (ประกอบในประเทศ)
ซีรีย์ 7 ถือเป็นอนุกรมล่าสุดที่มีเครื่องยนต์ดีเซลทำตลาด หลังจากบริษัทได้การตอบรับเป็นอย่างดีใน ซีรีย์ 3,5 รวมถึง X3,X5 ทั้งนี้รถยนต์รุ่นดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเสริมกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน โดยเฉพาะ 740Li ที่หลังเปิดตัวมียอดขายกว่า 60 แล้ว และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี ซีรีย์ 7 จะครองอันดับหนึ่งในเซกเมนท์รถซาลูนขนาดใหญ่ได้แน่นอน(ชนะ เอส-คลาส)
นอกจากนี้บริษัทยังเสริมไลน์โปรดักต์ใหม่อย่าง Z4 ไฮไลน์ ราคา 5.049 ล้านบาท รวมถึง320d และ520d รุ่น DVD เนวิเกเตอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นการพยายามทำโปรดักต์ให้ตรงกับความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามบริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาการทำตลาดรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูให้รองรับ แก็สโซฮอล์ อี20 เช่นกัน
“เรากำลังพิจารณาแผนการพัฒนารถยนต์ให้รองรับแก๊สโซฮอล์ อี20 ซึ่งทีมวิศวกรบีเอ็มดับเบิลยูต้องทำงานอย่างหนัก เนื่องจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์เราเลยไปไกลแล้ว เพราะอย่างที่รู้กันว่าแอลกอฮอล์นั้นไม่ถูกกับพวกอลูมิเนียม และยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ส่วนเรื่องแก็สโซฮอล์ อี85 เราคงไม่สนใจ”
ต่อข้อถามว่าการสนับสนุนรถยนต์ไฮบริดที่ประกอบในประเทศของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีสรรพสามิตแค่ 10% หรือลดหย่อนภาษีนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ ส่งผลให้ทำราคาขายปลีกไม่สูงมาก ประเด็นนี้นายคอร์ดิส กล่าวว่า ในหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้ใช้ประเภทหรือเทคโนโลยีการขับเคลื่อนรถ เป็นหลักเกณฑ์การเก็บภาษี แต่จะเก็บตามปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกมา แต่ในเมื่อประเทศไทยเดินตามรูปแบบนี้ บริษัทก็ยอมรับ
“การพัฒนายานยนต์รุ่นใหม่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเรื่องมาตรฐานไอเสียจึงเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมๆกับอัตราการบริโภคน้ำมัน ซึ่งในยุโรปและหลายประเทศนอกญี่ปุ่นแก้ปัญหา ด้วยการใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ปัจจุบันพัฒนาเทคโนโลยี ไปเยอะ ขณะเดียวกันยังให้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย”
ปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย 2 ใน 3 ของบริษัทเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ถ้ามองในแง่เทคโนโลยี เครื่องยนต์ดีเซลไม่มีอะไรแพ้ไฮบริด ทั้งอัตราการบริโภคน้ำมัน และการปล่อยไอเสีย ที่สำคัญราคายังถูกกว่ามาก ส่วนค่ายที่ทำตลาดรถไฮบริดเมืองไทย ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องแบตเตอรี่ของรถไฮบริด ซึ่งมีวันหมดอายุและแน่นอนว่าจะมีภาระค่าใช้จ่ายตามมาให้ผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามในงาน แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 ที่กำลังจะจัดขึ้น และบีเอ็มดับเบิลยู เตรียมเปิดตัว ซีรีย์ 7 ไฮบริด และ เอ็กซ์6 ไฮบริดนั้น บริษัทยังไม่มีแผนนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพราะคาดว่าจะมีราคาสูงมาก เมื่อรวมภาษีนำเข้า
นายมิคาเอล คอร์ดิส กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตลาดรถหรูมีการแข่งขันอย่างหนัก โดยเฉพาะการเล่นสงครามราคา แต่ในส่วนของบริษัทไม่มีนโยบายดังกล่าว เพราะเชื่อว่าการลดราคาที่ไม่สมเหตุสมผลจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
“รถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่นมีความคุ้มค่าต่อราคาสูงอยู่แล้วเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ในส่วนของ 520d คอร์ปอเรต ลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่เคยทำตลาดและราคาขายถูกกว่ารุ่นปกติถึง 7 แสนบาท คงไม่ใช่การลดราคา แต่ถือเป็นรถรุ่นใหม่ที่เราได้ตัดออปชันหลายอย่างต่างจากสเปกปกติ และผลิตจำนวนจำกัด ในขณะที่คู่แข่งเอารถเดิมที่ขายอยู่แล้วมาลดราคาเพื่อหวังยอดขาย ”
นายมิคาเอล คอร์ดิส ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ปีนี้ตลาดรถยนต์เมืองไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ 7 เดือนที่ผ่านมายอดขายรวมลดลงกว่า 20% แต่ในส่วนตลาดรถหรูนั้นถือว่าได้รับผลกระทบน้อย และคาดว่ายอดขายรวมทุกยี่ห้อจะทำได้เทียบเท่าปีที่แล้ว หรือประมาณ 6,800 คัน ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 30%
“ยอดขายบีเอ็มดับเบิลยูในเดือนสิงหาคมทำได้ 222 คัน ขยายตัว 20% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขณะที่ยอดสะสม 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ขายได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2551 ดังนั้นเชื่อว่าถึงสิ้นปีบริษัทจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และมียอดขายเติบโตกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ 1,876 คัน แน่นอน”
ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้เตรียมแผนงานไว้มากมายอย่างวันที่ 10-13 กันยายนนี้ จะจัด BMW Xpo ที่เซ็นทรัลเวิล์ด กับข้อเสนอพิเศษสุดคุ้มสำหรับลูกค้าที่ออกรถภายในงาน พร้อมกิจกรรมร่วมสนุกอันหลากหลาย ขณะเดียวกันยังนำรถยนต์ในสายการผลิตทั้งหมด 24 รุ่นมาอวดโฉม โดยไฮไลต์อยู่ที่การเปิดตัวครั้งแรกของ ซีรีย์ 7 เครื่องยนต์ดีเซล รุ่น 730Ld ราคา 7.599 ล้านบาท (ประกอบในประเทศ)
ซีรีย์ 7 ถือเป็นอนุกรมล่าสุดที่มีเครื่องยนต์ดีเซลทำตลาด หลังจากบริษัทได้การตอบรับเป็นอย่างดีใน ซีรีย์ 3,5 รวมถึง X3,X5 ทั้งนี้รถยนต์รุ่นดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเสริมกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน โดยเฉพาะ 740Li ที่หลังเปิดตัวมียอดขายกว่า 60 แล้ว และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี ซีรีย์ 7 จะครองอันดับหนึ่งในเซกเมนท์รถซาลูนขนาดใหญ่ได้แน่นอน(ชนะ เอส-คลาส)
นอกจากนี้บริษัทยังเสริมไลน์โปรดักต์ใหม่อย่าง Z4 ไฮไลน์ ราคา 5.049 ล้านบาท รวมถึง320d และ520d รุ่น DVD เนวิเกเตอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นการพยายามทำโปรดักต์ให้ตรงกับความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามบริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาการทำตลาดรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูให้รองรับ แก็สโซฮอล์ อี20 เช่นกัน
“เรากำลังพิจารณาแผนการพัฒนารถยนต์ให้รองรับแก๊สโซฮอล์ อี20 ซึ่งทีมวิศวกรบีเอ็มดับเบิลยูต้องทำงานอย่างหนัก เนื่องจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์เราเลยไปไกลแล้ว เพราะอย่างที่รู้กันว่าแอลกอฮอล์นั้นไม่ถูกกับพวกอลูมิเนียม และยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ส่วนเรื่องแก็สโซฮอล์ อี85 เราคงไม่สนใจ”
ต่อข้อถามว่าการสนับสนุนรถยนต์ไฮบริดที่ประกอบในประเทศของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีสรรพสามิตแค่ 10% หรือลดหย่อนภาษีนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ ส่งผลให้ทำราคาขายปลีกไม่สูงมาก ประเด็นนี้นายคอร์ดิส กล่าวว่า ในหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้ใช้ประเภทหรือเทคโนโลยีการขับเคลื่อนรถ เป็นหลักเกณฑ์การเก็บภาษี แต่จะเก็บตามปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกมา แต่ในเมื่อประเทศไทยเดินตามรูปแบบนี้ บริษัทก็ยอมรับ
“การพัฒนายานยนต์รุ่นใหม่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเรื่องมาตรฐานไอเสียจึงเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมๆกับอัตราการบริโภคน้ำมัน ซึ่งในยุโรปและหลายประเทศนอกญี่ปุ่นแก้ปัญหา ด้วยการใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ปัจจุบันพัฒนาเทคโนโลยี ไปเยอะ ขณะเดียวกันยังให้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย”
ปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย 2 ใน 3 ของบริษัทเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ถ้ามองในแง่เทคโนโลยี เครื่องยนต์ดีเซลไม่มีอะไรแพ้ไฮบริด ทั้งอัตราการบริโภคน้ำมัน และการปล่อยไอเสีย ที่สำคัญราคายังถูกกว่ามาก ส่วนค่ายที่ทำตลาดรถไฮบริดเมืองไทย ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องแบตเตอรี่ของรถไฮบริด ซึ่งมีวันหมดอายุและแน่นอนว่าจะมีภาระค่าใช้จ่ายตามมาให้ผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามในงาน แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 ที่กำลังจะจัดขึ้น และบีเอ็มดับเบิลยู เตรียมเปิดตัว ซีรีย์ 7 ไฮบริด และ เอ็กซ์6 ไฮบริดนั้น บริษัทยังไม่มีแผนนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพราะคาดว่าจะมีราคาสูงมาก เมื่อรวมภาษีนำเข้า
นายมิคาเอล คอร์ดิส กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตลาดรถหรูมีการแข่งขันอย่างหนัก โดยเฉพาะการเล่นสงครามราคา แต่ในส่วนของบริษัทไม่มีนโยบายดังกล่าว เพราะเชื่อว่าการลดราคาที่ไม่สมเหตุสมผลจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
“รถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่นมีความคุ้มค่าต่อราคาสูงอยู่แล้วเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ในส่วนของ 520d คอร์ปอเรต ลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่เคยทำตลาดและราคาขายถูกกว่ารุ่นปกติถึง 7 แสนบาท คงไม่ใช่การลดราคา แต่ถือเป็นรถรุ่นใหม่ที่เราได้ตัดออปชันหลายอย่างต่างจากสเปกปกติ และผลิตจำนวนจำกัด ในขณะที่คู่แข่งเอารถเดิมที่ขายอยู่แล้วมาลดราคาเพื่อหวังยอดขาย ”