xs
xsm
sm
md
lg

ศก.ไทยเริ่มฟื้นแต่ยังเปราะบางจากการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- ส.อ.ท.เผยเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดและมีสัญญาฟื้นตัวแต่ยอมรับว่าไม่ชัดเจนยังคงเปราะบางจากการเมืองในประเทศที่ไม่นิ่งและเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอนโดยเฉพาะดัชนีเศรษฐกิจต่างๆ ในสหรัฐยังผันผวน พบออร์เดอร์ส่วนใหญ่ระยะสั้นและใช้สต็อกเก่า ขณะที่ ลงทุนใหม่ยังไม่กระเตื้อง หวังงบกระตุ้นศก.ออกฤทธิ์ช่วงสิ้นปี ขณะที่ซีพีมองเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัว 2-3% หลังไตรมาส 4 จีดีพีพลิกกลับมาเป็นบวกได้ ยอมรับไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเป็นแบบV`shape แต่ขอเห็นแบบ U shape แทน

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมุมมองของภาคเอกชนถึงจุดต่ำสุดแล้วและมีสัญญาณฟื้นตัวแต่ไม่ชัดเจนเพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงทางด้านการเมือง และราคาน้ำมันที่ผันผวนอยู่ ดังนั้นจึงคงจะต้องติดตามในช่วงไตรมาส 4 ถึงงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาค่อนข้างมาก

“ การเมืองไม่แน่นอนมีผลกระทบค่อนข้างมากกับการท่องเที่ยว ขณะที่ราคาน้ำมันก็ยังกังวลเพราะหากขยับไประดับ 80-90 เหรียญต่อบาร์เรลก็จะมีปัญหาเช่นกันแต่ถ้าอยู่ระดับ 70 เหรียญต่อบาร์เรลคงจะไม่มากจึงทำให้เศรษฐกิจไทยน่าจะค่อยๆ ฟื้นมากกว่า”นายสันติกล่าว

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวเป็นรูปตัวเจกลับข้างคือผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วและกำลังฟื้นตัวแต่การฟื้นตัวจะนิ่งไม่ขยายตัวเท่ากับปี 2551 และจะไปมากกว่าหรือเท่ากับปี 2551 ในปลายปี 2553แทนเนื่องจากส่วนตัวมองว่ายังมีปัจจัยทั้งภายในคือการเมืองของประเทศไม่นิ่งยังคงมีความคลุมเคลือเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่าจะหยุดหรือเคลื่อนไหวอย่างไรเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจขยายการลงทุน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกคือเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ชัดเจนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าสุดข้อมูลทางเศรษฐกิจยังพบการตกงานเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงปัญหาการปิดสถาบันการเงินและหากพิจารณาจากคำสั่งซื้อของต่างประเทศก็พบว่าเป็นการทำสัญญาซื้อขายระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ซึ่งถือเป็นสัญญาณภาพรวมว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแต่ยังคงเปราะบาง

“ เราดูออร์เดอร์ที่เข้ามาพบว่าเป็นสัญญาสั้นๆ และหากดูตัวเลขการนำเข้า เดือนมิ.ย. – 29% ก.ค.- 34% สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้มีการผลิตเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้นจึงมาจากสินค้าค้างสต็อกเป็นส่วนใหญ่

ส่วนในประเทศมียอดขายเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ไม่มีการทำสัญญาเป็นการชี้ให้เห็นว่ายอดซื้อเหล่านี้พร้อมที่จะไม่มีเมื่อไหร่ก็ได้”นายธนิตกล่าว

สำหรับภาวะการลงทุนในประเทศซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็พบว่านักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนเกือบทั้งหมดแม้ว่าจะได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)แล้วบางส่วนแต่ก็ยังไม่ลงทุนจริงเนื่องจากยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศค่อนข้างสูง ประกอบกับสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้เท่าที่ควรจะเป็นทำให้การลงทุนในประเทศแทบไม่ขยับซึ่งหากยังคงเป็นเช่นนี้ไปอีกจะกระทบต่อแรงงานในเดือนเม.ย. 53 ที่จะมีนักศึกษาจบใหม่อีกประมาณ 5 แสนคน

ซีพีคาดหลังไตรมาส 4 จีดีพีพลิกกลับมาเป็นบวกได้

นายอาชว์ เตาลานนท์ รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่กลางปีนี้ คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)ในไตรมาส 3 จะติดลบลดลงเหลือ 2.5-2.6% ส่วนไตรมาส 4 ปีนี้จีดีพีจะพลิกกลับมาเป็นบวก ส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจไทยติดลบประมาณ 4 % แต่ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2-3% ขึ้นกับสถานการณ์การเมืองเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน ซึ่งการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยจะคิดว่าจะไปอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยการเมืองเป็นตัวถ่วงโดยเฉพาะประเด็นการเมืองเป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะการเมืองไทยมีความเปราะบางและไม่แน่นอน ทำให้กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่ยังน่าเป็นห่วง ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ

ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆโดยปีหน้ามีโอกาสเห็นราคาน้ำมันแตะ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดว่าเฉลี่ยทั้งปีราคาน้ำมันอยู่ที่ 80-85เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นรวมทั้งราคาสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนี้ ส่งผลดีต่อเกษตรกรไทยในการปลูกพืชพลังงานไม่ว่าจะเป็นมันสำปะหลัง อ้อยและปาล์มน้ำมัน ซึ่งรัฐควรมีความชัดเจนที่จัดสรรงบโครงการไทยเข้มแข็งในการพัฒนาระบบชลประทานให้สมบูรณ์ในเขตพื้นที่เกษตรกรรม 25 ล้านไร่ หากพัฒนาระบบชลประทานได้สมบูรณ์เชื่อว่าไทยจะผลิตข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นเป็น 32 ล้านตันในพื้นที่ดังกล่าวจากเดิมที่ผลิตข้าวเปลือกได้เพียง 28 ล้านตันในพื้นที่ 60 ล้านไร่ โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ประหยัดได้นำมาปลูกพืชพลังงานแทน

นายอาชว์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯในเขตดุสิตว่า ไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากเป็นการประกาศใช้ชั่วคราวและจำกัดบางพื้นที่ โดยประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ แต่หากมีการบังคับใช้นานหลายเดือนย่อมมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นแน่นอน

นายสารสิน วีระผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปีนี้น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของรัฐบาลน่าจะส่งผลดี ส่วนเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ดีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการเมืองและนโยบายของรัฐ ทุกวันนี้บริษัทเอกชนไทยมีความแข็งแกร่ง เพียงแต่นโยบายและรัฐบาลยังไม่พร้อม เนืี่องจากปัจจัยลบการเมืองที่ยังมีการเล่นนอกกติกา ทำให้รัฐบาลทำงานได้ไม่เต็มที่ จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นแบบตัว L แทน
กำลังโหลดความคิดเห็น