ASTVผู้จัดการรายวัน – สพท.เล็งใช้สถานทูตไทยในต่างประเทศเป็นหน้าร้านโปรโมทโฮมสเตย์ไทย พร้อมหารือแบงก์อิสลาม และ องค์กรปกครองท้องถิ่น มอบอินเซนทีฟ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และลดหย่อนภาษีแก่ชาวบ้านที่ทำโฮมสเตย์ ด้านเฟสต้า จี้ “ศศิธารา” เป็นแม่งานจัดประชุมเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการท่องเที่ยว รับมือเปิดเสรีอาเซียนปีหน้า
นายเสกสรร นาควงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) เปิดเผยว่า ได้หารือ กับ คณะกรรมการโฮมสเตย์ เพื่อหาทางช่วยผู้ประกอบการโฮมสเตย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านตามชุมชนต่างๆทั่วประเทศ โดยเบื้องต้น สพท. จะตั้งเป็นโครงการอินเซนทีฟให้แก่โฮมสเตย์ที่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านที่จัดทำที่พักแบบโฮมสเตย์มีแรงกระตุ้นในการที่จะพัฒนาสินค้าและบริการ
ทั้งนี้ สพท.ยังได้เจรจากับธนาคารอิสลาม และตกลงที่จะปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ชาวบ้านโฮมสเตย์ เพื่อนำไปปรับปรุงที่พัก และจัดซื้ออุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับคอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก และเตรียมจัดทำไดเร็กทอรี่โฮมสเตย์ไทย จัดพิมพ์เป็นแผ่นพับ โบร์ชัวร์ ไปวางไว้ตามสถานฑูต และสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ
“ธนาคารอิสลาม จัดสรรวงเงินสำหรับปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย วงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งโฮมสเตย์ จะเป็นกลุ่มหนึ่งที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือในเงินกู้ก้อนนี้”
นอกจากนั้น สพท.ยังหารือกับองค์การบริหารท้องถิ่น เพื่อขอลดอัตราภาษีแก่ชาวบ้านที่เปิดที่พักเป็นโฮมสเตย์ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะลดภาษีให้ แต่ทั้งนี้ คงต้องไปศึกษาในรายละเอียดก่อนว่า จะสามารถลดได้ในอัตราเท่าใด
นายเสกสรร กล่าวอีกว่า สพท. ยังเตรียมหารือกับคณะกรรมการโฮมสเตย์ พิจารณากฎเกณฑ์การให้ใบประกาศแก่โฮมสเตย์ที่ได้มาตรฐาน โดยให้กฎเกณฑ์ยืดหยุ่นได้มากขึ้น แต่คงไว้ซึ่งประเด็นหลัก คือ สะอาด สะดวก และ ปลอดภัย
ปัจจุบัน พฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวปรับเปลี่ยน หันมาสนใจรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตชุมทชนมากขึ้น ตลาดกลุ่มนี้ที่เติบโตสูงได้แก่ ประเทศในกลุ่มเอเชีย ยุโรป เกาหลี และ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ เกษียณอายุการทำงานแล้ว ก็ยิ่งต้องการเดินทางท่องเที่ยวและอยู่กับธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจประเมิน เพื่อรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย ประจำปี 2552 มีจำนวนโฮมสเตย์ เข้ารับการตรวจทั้งสิ้น 69 ราย โดยมี 5 ราย ไม่ผ่านการประเมิน โดยมีข้อต้องปรับปรุงหลายประการ เช่น ไม่มีแผนที่ชุมชน ที่แสดงแหล่งท่องเที่ยวและโฮมสเตย์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าใจภาพรวมและสภาพแวดล้อมทางกายภาพของชุมชน ไม่มีผู้ประสานงานรอรับ ตู้ยามีเชื้อรา ขยะล้นถัง โถส้วมไม่แข็งแรงไม่สะอาด หน้าต่างบ้านต่ำเป็นอันตรายสำหรับเด็ก ห้องน้ำสว่างน้อย ไม่มีโซนสูบบุหรี่ให้นักท่องเที่ยว ขาดผังโครงสร้างแสดงการบริหาร เป็นต้น
นายเสกสรร กล่าวว่า สาเหตุที่ สพท.ต้องจัดจ้างมหาวิทยาลัย ให้ตรวจประเมินมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย ทุกๆปีนั้น ก็เพื่อให้ชาวบ้านที่ทำโฮมสเตย์มีความกระตือรือร้น ในการที่จะพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองอยู่เสมอ หากปล่อยให้โฮมสเตย์ทรุดโทรม สพท.ก็จะยึดใบประกาศคืน
***จี้รับมือเปิดเสรีท่องเที่ยว
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ในฐานะโฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) เปิดเผยว่า จะเสนอเรื่องถึงน.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้เป็นแม่งานจัดสัมมนา ให้ความรู้แก่คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อให้ทุกคนตื่นตัว และพร้อมที่จะวางแผนรับมือกับการเปิดเสรีการค้าอาเซียน ในภาคบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งจะเริ่มประกาศใช้ 70% ในปี 2553 และเปิดเต็ม 100% ในปี 2556
“การสัมมนาครั้งนี้เพื่อระดมความคิดจากคนในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการได้รับทราบ เมื่อเปิดเสรีจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ ซึ่งตามจริงแล้วรัฐควรจะต้องบอกให้เอกชนทราบและเตรียมตัวอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนเปิดเสรี เพื่อจะได้ปรับตัวได้ทัน”
สำหรับเฟสต้า ยอมรับว่าขณะนี้มีความกังวลว่า ช่วงแรกของการเปิดเสรี ผู้ประกอบการคนไทยจะต้องเสียเปรียบคู่แข่งขันชาวต่างชาติที่จะแห่เข้ามาลงทุนอย่างแน่นอน หากเราไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดีในทุกด้าน เช่น ด้านกฎหมาย ด้านภาษา โดยเฉพาะด้านกฎหมาย
อย่างไรก็ตามในประเด็นดังกล่าว เฟสต้าจะนำเข้าที่ประชุมหารือกับสมาชิก ทำความเข้าใจใน 2 เรื่อง ได้แก่ เม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และ การสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้แท้จริงแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาธุรกิจของประเทศไทย ถูกครอบงำด้วยชาวต่างชาติในลักษณะนอมินี จำนวนมาก ราว 5-10% ของการลงทุนทั้งหมด
นายเสกสรร นาควงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) เปิดเผยว่า ได้หารือ กับ คณะกรรมการโฮมสเตย์ เพื่อหาทางช่วยผู้ประกอบการโฮมสเตย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านตามชุมชนต่างๆทั่วประเทศ โดยเบื้องต้น สพท. จะตั้งเป็นโครงการอินเซนทีฟให้แก่โฮมสเตย์ที่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านที่จัดทำที่พักแบบโฮมสเตย์มีแรงกระตุ้นในการที่จะพัฒนาสินค้าและบริการ
ทั้งนี้ สพท.ยังได้เจรจากับธนาคารอิสลาม และตกลงที่จะปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ชาวบ้านโฮมสเตย์ เพื่อนำไปปรับปรุงที่พัก และจัดซื้ออุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับคอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพัก และเตรียมจัดทำไดเร็กทอรี่โฮมสเตย์ไทย จัดพิมพ์เป็นแผ่นพับ โบร์ชัวร์ ไปวางไว้ตามสถานฑูต และสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ
“ธนาคารอิสลาม จัดสรรวงเงินสำหรับปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย วงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งโฮมสเตย์ จะเป็นกลุ่มหนึ่งที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือในเงินกู้ก้อนนี้”
นอกจากนั้น สพท.ยังหารือกับองค์การบริหารท้องถิ่น เพื่อขอลดอัตราภาษีแก่ชาวบ้านที่เปิดที่พักเป็นโฮมสเตย์ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะลดภาษีให้ แต่ทั้งนี้ คงต้องไปศึกษาในรายละเอียดก่อนว่า จะสามารถลดได้ในอัตราเท่าใด
นายเสกสรร กล่าวอีกว่า สพท. ยังเตรียมหารือกับคณะกรรมการโฮมสเตย์ พิจารณากฎเกณฑ์การให้ใบประกาศแก่โฮมสเตย์ที่ได้มาตรฐาน โดยให้กฎเกณฑ์ยืดหยุ่นได้มากขึ้น แต่คงไว้ซึ่งประเด็นหลัก คือ สะอาด สะดวก และ ปลอดภัย
ปัจจุบัน พฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวปรับเปลี่ยน หันมาสนใจรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตชุมทชนมากขึ้น ตลาดกลุ่มนี้ที่เติบโตสูงได้แก่ ประเทศในกลุ่มเอเชีย ยุโรป เกาหลี และ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ เกษียณอายุการทำงานแล้ว ก็ยิ่งต้องการเดินทางท่องเที่ยวและอยู่กับธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจประเมิน เพื่อรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย ประจำปี 2552 มีจำนวนโฮมสเตย์ เข้ารับการตรวจทั้งสิ้น 69 ราย โดยมี 5 ราย ไม่ผ่านการประเมิน โดยมีข้อต้องปรับปรุงหลายประการ เช่น ไม่มีแผนที่ชุมชน ที่แสดงแหล่งท่องเที่ยวและโฮมสเตย์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าใจภาพรวมและสภาพแวดล้อมทางกายภาพของชุมชน ไม่มีผู้ประสานงานรอรับ ตู้ยามีเชื้อรา ขยะล้นถัง โถส้วมไม่แข็งแรงไม่สะอาด หน้าต่างบ้านต่ำเป็นอันตรายสำหรับเด็ก ห้องน้ำสว่างน้อย ไม่มีโซนสูบบุหรี่ให้นักท่องเที่ยว ขาดผังโครงสร้างแสดงการบริหาร เป็นต้น
นายเสกสรร กล่าวว่า สาเหตุที่ สพท.ต้องจัดจ้างมหาวิทยาลัย ให้ตรวจประเมินมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย ทุกๆปีนั้น ก็เพื่อให้ชาวบ้านที่ทำโฮมสเตย์มีความกระตือรือร้น ในการที่จะพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองอยู่เสมอ หากปล่อยให้โฮมสเตย์ทรุดโทรม สพท.ก็จะยึดใบประกาศคืน
***จี้รับมือเปิดเสรีท่องเที่ยว
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว ในฐานะโฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) เปิดเผยว่า จะเสนอเรื่องถึงน.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้เป็นแม่งานจัดสัมมนา ให้ความรู้แก่คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อให้ทุกคนตื่นตัว และพร้อมที่จะวางแผนรับมือกับการเปิดเสรีการค้าอาเซียน ในภาคบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งจะเริ่มประกาศใช้ 70% ในปี 2553 และเปิดเต็ม 100% ในปี 2556
“การสัมมนาครั้งนี้เพื่อระดมความคิดจากคนในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการได้รับทราบ เมื่อเปิดเสรีจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ ซึ่งตามจริงแล้วรัฐควรจะต้องบอกให้เอกชนทราบและเตรียมตัวอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนเปิดเสรี เพื่อจะได้ปรับตัวได้ทัน”
สำหรับเฟสต้า ยอมรับว่าขณะนี้มีความกังวลว่า ช่วงแรกของการเปิดเสรี ผู้ประกอบการคนไทยจะต้องเสียเปรียบคู่แข่งขันชาวต่างชาติที่จะแห่เข้ามาลงทุนอย่างแน่นอน หากเราไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดีในทุกด้าน เช่น ด้านกฎหมาย ด้านภาษา โดยเฉพาะด้านกฎหมาย
อย่างไรก็ตามในประเด็นดังกล่าว เฟสต้าจะนำเข้าที่ประชุมหารือกับสมาชิก ทำความเข้าใจใน 2 เรื่อง ได้แก่ เม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และ การสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้แท้จริงแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาธุรกิจของประเทศไทย ถูกครอบงำด้วยชาวต่างชาติในลักษณะนอมินี จำนวนมาก ราว 5-10% ของการลงทุนทั้งหมด
