xs
xsm
sm
md
lg

มาร์คฮุค2หมัดโค้งท้าย หวั

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “มาร์ค”ร่ายมนต์กล่อมเอกชนท่องเที่ยว ยาหอม เชื่อปาฎิหาริย์เกิดแน่ ถ้าทุกฝ่ายช่วยกัน พร้อมส่งสัญญาณเพิ่มอีก 2 ยุทธศาสตร์กระตุ้นท่องเที่ยวโค้งสุดท้ายปีนี้ ฝันดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 14 ล้านคน เดินหน้าจัดระเบียบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ประเดิมจัดการปัญหาภัยนักท่องเที่ยวที่สนามมบินสุวรรณภูมิ
ปลุกทุกฝ่าย”เลิกกินบุญเก่า” แต่ต้องสร้างมรดกให้ลูกหลาน” ด้านชุมพล เตรียมเดินหน้าทำประชาพิจาณ ท่องเที่ยววาระแห่งชาติ เทียบแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ

วานนี้(13ส.ค.52)ในงานปาฐกถา “ปาฎิหาริย์...ท่องเที่ยวไทย!กับนายกฯอภิสิทธิ์” ซึ่งจัดโดยสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) ซึ่งประกอบด้วย 8 สมาคมท่องเที่ยว ซึ่งมีภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมรับฟังเกือบ 1,000 คน โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกันทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน
เชื่อว่าปาฎิหาริย์ของภาคท่องเที่ยวไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยรัฐบาลยินดีและพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือด้วยการต่ออายุมาตรการต่างๆที่ออกไปแล้วตามเห็นสมควร และ การหามาตรการใหม่ๆเข้ามาเสริม เน้นกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวได้ในระยะสั้นช่วงไฮซีซั่นของปีนี้ ล่าสุดได้เตรียมการต่ออายุโครงการประกันภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จากเดิมจะสิ้นสุด ต.ค.52 นี้ โดยจะขยายเวลาให้ถึง มี.ค.53 เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว
**ชู 2ยุทธศาตร์กระตุ้มโค้งสุดท้าย****
สำหรับในช่วงไฮซีซั่นปีนี้รัฐบาลจะร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่าน 2 ยุทธศาสตร์ เพื่อเจาะตลาดเดิมและขยายฐานตลาดใหม่ ได้แก่ 1.การจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ เน้นเจาะเป็นรายตลาดโดยใช้สื่อท้องถิ่นที่เข้าถึงตัวนักท่องเที่ยวเป้าหมายแทนการใช้สื่อระดับโลก โดยให้สำนักงาน
ททท.ในต่างประเทศทั้ง 24 แห่ง ไปเร่งศึกษาตลาดแล้วกลับมารายงานโดยเร่งด่วน 2.สร้างมาตรการจูงใจนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉพาะกลุ่ม โดยดูจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวในแต่ละตลาด เน้นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุด นั่นคือกลยุทธ์จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบลด แจกแถม ด้วยวิธีจับมือกับบริษัทนำเที่ยวและ สายการบิน จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายร่วมกัน เน้นที่ตลาดเอเชีย และ
ตะวันออกกลาง เป็นหลัก อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้ามาแล้วเกิดการจับจ่ายใช้สอยมากกว่ากลุ่มยุโรป ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ดี ขณะที่กลุ่มยุโรป จะเน้นเพียงโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์

โดยทั้ง 2 ยุทธศาสตร์ นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะไปร่วมหารือกับภาคเอกชน เพื่อจัดทำแผนโดยจะนำกลับมาเสนอภายใน 2 สัปดาห์ คาดว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันทำให้สำเร็จ เชื่อว่าในปีนี้ประเทศไทยจะได้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคน

“รัฐบาลเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยและส่งเสริมเศรษฐกิจโดยสัญญาว่าจะทำงานโดยรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน ดังนั้น จะเห็นว่าทุกมาตรการที่เสนอมาจะผ่านความเห็นชอบจาก ครม. เพื่อให้เกิดการทำงานให้เป็นรูปธรรมเร็วที่สุด ดังนั้นปัจจัยเรื่องการบริหารเราไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่จะต้องเดินหน้านับจากนี้ไป คือ รัฐและเอกชนต้องเลิกกินบุญเก่า แล้วหันมาสร้างอะไรไว้ให้กับลูกหลาน โดยการหันมาทบทวนระบบการจัดการที่มีปัญหา เพราะข่าวร้ายของประเทสไทยไม่ใช่เรื่องการระบาดของไข้หวัด 2009 แต่เป็นเรื่องปัญหาที่เกิดภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เช่น การกรีดกระเป๋านักท่องเที่ยว การรีดไถ
และปัญหาเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่เข้ามาแย่งนักท่องเที่ยวแข่งขันกับธุรกิจโรงแรม เป็นต้น”

สำหรับมาตรการที่ออกไปแล้ว รัฐบาลรับปากที่จะติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อม ซึ่งยอมรับว่ามีปัญหาติดขัดเรื่องระเบียบปฎิบัติ ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งรํฐบาลได้สั่งการให้สถาบันการเงินช่วยผ่อนผัน พร้อมให้ธนาคารออมสิน
เข้ามาดูแลเพิ่มเติมจากเดิมที่มีเพียงธนาคารเอสเอ็มอีดูแลเพียงรายเดียว โดยหากการกู้ยืมครั้งนี้ทำให้ธนาคารเกิดความเสียหาย รัฐบาลในฐานะผู้ออกนโยบายจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินนั้นๆทันที

***จี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ*****
สำหรับประเด็นที่ผลักดันให้ท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ เชื่อว่าในด้านนโยบายไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือทำอย่างไรให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายนโยบายไปแล้วถึงแม้จะไม่ใช่เป็นหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว เร่งดำเนินการทันที เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายไปกลับเกิดความรู้สึกว่าไม่ใช่งานหลักของตัวเอง แล้วมาอ้างว่า
ยังไม่ได้รับหนังสือเวียน ทั้งที่ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ทุกหน่วยงานจะรับทราบร่วมกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ภาคเอกชนต้องการให้นายกรัฐมนตรีเข้ามากำกับดูแลเป็นหัวหน้าทีมวาระแห่งชาติฉบับนี้เองนั้น โดยส่วนตัวมองว่า การเป็นผู้นำประเทศต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง หากเข้าไปยุ่งมากเกรงว่าจะเป็นการล้วง รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวเกินไป
แต่ขอยืนยันว่า จะติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตามสัปดาห์ หน้าจะเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจสอบปัญหาที่ทำให้เสียภาพลักษณ์ และความคืบหน้าของการแก้ไข ซึ่งที่ผ่านมาได้มอบหมายให้ รมว.กระทรวงคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้จัดการ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างของการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่ตรงไปตรงมา
ดดยการทำงานของรัฐบาลครั้งนี้จะดูโครงสร้างของอุตสวาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ เพราะไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ดีติดอัยดับโลกแต่กลับไม่ได้รับคำยกย่องเรื่องการให้บริการ

***เล็งทำประชาพิจาณท่องเที่ยว*****
ทางด้านนายชุมพล สิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.52) ผ่านทุกด่านตรวจคนเข้าเมือง รวมแล้ว 5.6 ล้านคน โดยช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ ดังนั้น มั่นใจว่าใน 5 เดือนถัดมา(มิ.ย.-ต.ค.52) จำนวนนักท่องเที่ยวต้องไม่น้อยกว่า 5 เดือนแรก
ทำให้มั่นใจว่า 10 เดือนแรกปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมแล้วจะไม่น้อยกว่า 11.2 ล้านคน ขณะที่ 2 เดือนสุดท้าย(พ.ย.-ธ.ค.) ซึ่งเข้าช่วงไฮซีซั่น คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเดือยละ 1.1 ล้านคน ดังนั้นภาพรวมทั้งปี เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 13.5 ล้านคน แต่หากรัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยวฯมีมาตรการออกมากระตุ้นเพิ่มเดิม เชื่อว่า
ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะได้ไม่น้อยกว่าปีก่อน หรือราว 14.6 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 5 แสนล้านบาท เน้นเจาะตลาด จีน และ ยี่ปุ่นเป็นหลัก เพราะนักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายสูง

สำหรับเรื่องท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ จะต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ซึงหลักการร่งแผนเสร็จ จะต้องเปิดทำประชาพิจาณในทุกจังหวัดของประเทสก่อนนำมาใช้จริง โดยวิธีการจัดทำจะคล้ายกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษบกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย 4 แผนการทำงาน ได้แก่ 1.แผนงานหลัก 2.แผนปฎิบัติการ3.แผนควบคุมและ 4.แผนการติดตามประเมินผล

“สิ่งสำคัญคือแผนงานหลักต้องชัดเจน เช่นเรื่องแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมอบให้ สำนักพัฒนาการท่องเที่ยวไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยว 2,160 แห่ง แบ่งประเทศไทยเป็น 7 พื้นที่ ประชาพิจารณว่าแหล่งท่องเที่ยวเสื่อโทรมจริงหรือไม่ ส่วนตลาดต่างประเทศ มอบให้ ททท.ไปร่วมกับภาคเอกชน จัดทำแพกเกจทัวร์ นำเสนอขายนักท่องเที่ยวในตลาดต่างประเทศ
เจาะนักท่องเที่ยวทั้งที่มาซ้ำและมาครั้งแรก โดยมีเส้นทางใหม่และหลากหลายมานำเสนอไม่น้อยกว่า 5 เส้นทาง ระยะเวลาพัก 3-7 วัน การตรวจสอบข้อมูลสายการบินที่บินเข้าประเทศไทยว่ามีจำนวนที่นั่งรวมกันทั้งหมดเท่าใด เพื่อมาประมวลผลการทำกิจกรรมส่งเสริมทั้งระยะสั้นและระยะยาว” นายชุมพล กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น