ASTVผู้จัดการรายวัน-ภาคอสังหาฯชงเรื่องกระทรวงอุตฯขยายสิทธิบ้านบีโอไอสู่เขต 2 ครอบคุม12 จังหวัด เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้มีรายได้น้อย มีบ้านของตนเอง พร้อมเสนอปรับราคาขายห้องชุดจาก 1 ล้าน ขยับเป็น 1.2 ล้าน รองรับการเรียกร้องในอนาคต ชี้ ห้องชุดทั้งตึกขาย 1 ล้านยาก! เหตุบางห้องมุมดี ราคาแพง แนะคละราคาขายห้องชุด
ภายหลังจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้ปรับปรุงเงื่อนไขในกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง หรือ บ้านบีโอไอ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯต่างยื่นขอดำเนินการบ้านบีโอไออย่างมาก
โดยวานนี้ ( 27 ) ทางธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) พร้อมด้วย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร , สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมแถลงข่าวเรื่อง “ เอกชนสนับ สนุนนโยบายบ้านBOI เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ” ซึ่งได้รับเกียรติจากนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรมเป็นประธานแถลงข่าว
นายชาญชัยกล่าวว่า การปรับปรุงเงื่อนไขบ้านบีโอไอ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น เพราะได้รับการสนองตอบจากภาคเอกชน โดยพิจารณาจากสถิติข้อมูลการส่งเสริมการลงทุน ณ วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการบ้านบีโอไอ เพิ่มขึ้น 25 โครงการ ซึ่งมากกว่าในช่วงก่อนปรับเงื่อนไขที่ปีนี้ มีเพียง 5 โครงการเท่านั้น หรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 400% มูลค่าการลงทุนที่เพิ่มรวม 1,892.6 ล้านบาท มีจำนวนที่อยู่อาศัยเพิ่มถึง 8,690 ยูนิต ซึ่งประกอบด้วย โครงการในเขตกรุงเทพฯ 3 โครงการ เป็นคอนโดฯทั้งหมด รวม 2,250 ยูนิต และที่เหลือเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ ในจ.ปทุมธานี , นนทบุรี ฉะเชิงเทรา,นครปฐม, สมุทรปราการ และสมุทรสาคร จำนวน 6,440 ยูนิต
อนึ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯระบุว่า ในปี 51 มีโครงการอสังหาฯที่ขอรับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 21 โครงการ ลดลง 34% เทียบกับปี 50 ส่วนจำนวนหน่วย 6,573 ยูนิต ลดลง 52%
ขยายสิทธิบ้านบีโอไอสู่ตจว.
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธอส.กล่าวยอมรับว่า การปรับเกณฑ์บ้านบีโอไอใหม่ จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชนผ่านโครงการของภาคเอกชนที่จะเสนอตัวเข้ามาทำ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา โครงการบ้านเอื้ออาทร สถานที่ตั้งไม่เอื้ออำนวยให้แก่ผู้อยู่อาศัย อีกทั้ง หากมีการขยายสิทธิไปสู่ภูมิภาคตามหัวเมืองเศรษฐกิจ เช่น จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา จะยิ่งเพิ่มโอกาสแก่ผู้มีรายได้ให้มีทางเลือกมากขึ้น
ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า เดิมทีการปรับเกณฑ์จะมีผลต่อตลาดอสังหาฯในปี 53 แต่ปัจจุบันกลับเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยเห็นได้จากมีโครงการที่อยู่อาศัยขอรับการส่งเสริมการลงทุนเติบโตถึง 400% ซึ่งกว่า 30-40%ของฐานกำลังซื้อต้องการบ้านระดับราคา 1 ล้านบาทบวกลบ
อย่างไรก็ดี หากภาครัฐมีการขยายสิทธิไปสู่โครงการที่ตั้งในเขต 2 ซึ่งจะครอบคลุม 12 จังหวัด เช่น จ.ภูเก็ต ราคาที่ดินค่อนข้างแพง ,ระยอง เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม, จ.ชลบุรีรวมถึงพัทยา , อยุธยา และฉะเชิงเทรา ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ จะมีความแตกต่างในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ บางจังหวัดราคาที่ดินแพงมาก ค่าครองชีพสูงอย่างมาก หากผู้มีรายได้น้อย สามารถมีทางเลือก จะช่วยส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยได้แทนการเช่า
ขณะที่นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวเสริมว่า การเพิ่มสิทธิไปสู่ต่างจังหวัด จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ทางการก่อสร้าง เกิดการจ้างงาน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องย้ายภูมิลำเนาเข้าสู่เมืองกรุงเทพฯ
“ หากรมว.อุตสาหกรรมอยากเห็นจำนวนบ้านบีโอไอออกสู่ตลาดได้มากถึง 20,000 ยูนิต การขยายสิทธิไปสู่ต่างจังหวัดจะช่วยได้ ”
ชงคละราคาคอนโดฯบีโอไอ
นายอธิป กล่าวยอมรับว่า แม้จะมีการปรับหลักเกณฑ์บ้านบีโอไอ แต่ทางสมาคมฯเตรียมเสนอให้มีการราคาขายห้องชุดหรือคอนโดฯ เพิ่มจาก 1 ล้านบาท เป็น 1.2 ล้านบาท เพื่อรองรับไประยะข้างหน้า หากเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้าง ต้นทุนที่ดิน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในประเด็นห้องชุดคอนโดฯที่ให้ทั้งอาคารจำหน่ายราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทนั้น ตรงนี้อาจจะมีปัญหา เพราะในแต่ละห้องชุดก็มีความแตกต่างกัน บางห้องชุดในห้องมุมที่ราคาอาจจะสูงกว่าที่เกณฑ์บีโอไอกำหนด
ดังนั้น ตนเตรียมจะเสนอให้มีการผ่อนปรนในเรื่องราคาขาย โดยให้มีการผสมระหว่างห้องชุดที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท กับห้องชุดที่ราคาตั้งแต่2-3 ล้านบาทขึ้นไปอยู่ในอาคารเดียวกัน
“ แนวทางดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ซื้อมีทางเลือก เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลที่เอื้ออำนวยต่อผู้ซื้อ สะดวกในการเดินทาง และสอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า เช่น หากเป็นโซนรัชดาภิเษก น่าจะพัฒนาห้องชุดตามเกณฑ์บีโอไอได้เยอะ แต่ถ้าเป็นโซนสุขุมวิท จะเป็นห้องชุดที่มีพื้นมาก เป็นต้น ”นายอธิปกล่าว
สำหรับเงื่อนไขใหม่ของบ้านบีโอไอ คือ ผู้ประกอบการจะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 50 หน่วย (เดิม 150 หน่วย ) สำหรับทุกเขต โดยโครงการที่ตั้งในเขต 1 กรณีการก่อสร้างอาคารชุด ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 28 ตรม. (เดิม 31 ตรม.) และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน 1 ล้านบาท (เดิม 6 แสนบาท) ส่วนบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตรม. และจำหน่ายไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อหน่วย
กานดาฯ-ศุภาลัยแจมบ้านบีโอไอ
ในส่วนความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการอสังหาฯที่จะเริ่มเข้ามาลงตลาดบ้านบีโอไอนั้น พบว่า มีหลายบริษัทให้ความสนใจที่จะเข้ามาสร้างสินค้า เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้น้อย
นายอิสระ กล่าวว่า บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กำลังเตรียมยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการบ้านบีโอไอ โดยจะพัฒนาโครงการในรูปแบบทาวน์เฮาส์ บริเวณประชาอุทิศ จำนวน 200 ยูนิต ระดับราคา 1.2 ล้านบาท
นายอธิป กล่าวเช่นเดียวกันว่า บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กำลังยื่นเรื่องให้แก่บีโอไอ เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯระดับราคา 1 ล้านบาท แต่จะเริ่มพัฒนาในปี 2553 อย่างไรก็ดี หากข้อเสนอในเรื่องของราคาขายต่อห้องชุดในคอนโดฯสามารถผสมราคาขายที่อยู่ในหลักเกณฑ์ของบีโอไอและมากกว่า ทางบริษัทฯจะดำเนินการในปีนี้ทันที แต่หากไม่ได้ ก็คงต้องไปพัฒนาโครงการตามชานเมือง.
ภายหลังจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้ปรับปรุงเงื่อนไขในกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง หรือ บ้านบีโอไอ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯต่างยื่นขอดำเนินการบ้านบีโอไออย่างมาก
โดยวานนี้ ( 27 ) ทางธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) พร้อมด้วย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร , สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมแถลงข่าวเรื่อง “ เอกชนสนับ สนุนนโยบายบ้านBOI เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ” ซึ่งได้รับเกียรติจากนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรมเป็นประธานแถลงข่าว
นายชาญชัยกล่าวว่า การปรับปรุงเงื่อนไขบ้านบีโอไอ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น เพราะได้รับการสนองตอบจากภาคเอกชน โดยพิจารณาจากสถิติข้อมูลการส่งเสริมการลงทุน ณ วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการบ้านบีโอไอ เพิ่มขึ้น 25 โครงการ ซึ่งมากกว่าในช่วงก่อนปรับเงื่อนไขที่ปีนี้ มีเพียง 5 โครงการเท่านั้น หรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 400% มูลค่าการลงทุนที่เพิ่มรวม 1,892.6 ล้านบาท มีจำนวนที่อยู่อาศัยเพิ่มถึง 8,690 ยูนิต ซึ่งประกอบด้วย โครงการในเขตกรุงเทพฯ 3 โครงการ เป็นคอนโดฯทั้งหมด รวม 2,250 ยูนิต และที่เหลือเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ ในจ.ปทุมธานี , นนทบุรี ฉะเชิงเทรา,นครปฐม, สมุทรปราการ และสมุทรสาคร จำนวน 6,440 ยูนิต
อนึ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯระบุว่า ในปี 51 มีโครงการอสังหาฯที่ขอรับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 21 โครงการ ลดลง 34% เทียบกับปี 50 ส่วนจำนวนหน่วย 6,573 ยูนิต ลดลง 52%
ขยายสิทธิบ้านบีโอไอสู่ตจว.
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธอส.กล่าวยอมรับว่า การปรับเกณฑ์บ้านบีโอไอใหม่ จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชนผ่านโครงการของภาคเอกชนที่จะเสนอตัวเข้ามาทำ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา โครงการบ้านเอื้ออาทร สถานที่ตั้งไม่เอื้ออำนวยให้แก่ผู้อยู่อาศัย อีกทั้ง หากมีการขยายสิทธิไปสู่ภูมิภาคตามหัวเมืองเศรษฐกิจ เช่น จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา จะยิ่งเพิ่มโอกาสแก่ผู้มีรายได้ให้มีทางเลือกมากขึ้น
ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า เดิมทีการปรับเกณฑ์จะมีผลต่อตลาดอสังหาฯในปี 53 แต่ปัจจุบันกลับเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยเห็นได้จากมีโครงการที่อยู่อาศัยขอรับการส่งเสริมการลงทุนเติบโตถึง 400% ซึ่งกว่า 30-40%ของฐานกำลังซื้อต้องการบ้านระดับราคา 1 ล้านบาทบวกลบ
อย่างไรก็ดี หากภาครัฐมีการขยายสิทธิไปสู่โครงการที่ตั้งในเขต 2 ซึ่งจะครอบคลุม 12 จังหวัด เช่น จ.ภูเก็ต ราคาที่ดินค่อนข้างแพง ,ระยอง เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม, จ.ชลบุรีรวมถึงพัทยา , อยุธยา และฉะเชิงเทรา ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ จะมีความแตกต่างในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ บางจังหวัดราคาที่ดินแพงมาก ค่าครองชีพสูงอย่างมาก หากผู้มีรายได้น้อย สามารถมีทางเลือก จะช่วยส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยได้แทนการเช่า
ขณะที่นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวเสริมว่า การเพิ่มสิทธิไปสู่ต่างจังหวัด จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ทางการก่อสร้าง เกิดการจ้างงาน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องย้ายภูมิลำเนาเข้าสู่เมืองกรุงเทพฯ
“ หากรมว.อุตสาหกรรมอยากเห็นจำนวนบ้านบีโอไอออกสู่ตลาดได้มากถึง 20,000 ยูนิต การขยายสิทธิไปสู่ต่างจังหวัดจะช่วยได้ ”
ชงคละราคาคอนโดฯบีโอไอ
นายอธิป กล่าวยอมรับว่า แม้จะมีการปรับหลักเกณฑ์บ้านบีโอไอ แต่ทางสมาคมฯเตรียมเสนอให้มีการราคาขายห้องชุดหรือคอนโดฯ เพิ่มจาก 1 ล้านบาท เป็น 1.2 ล้านบาท เพื่อรองรับไประยะข้างหน้า หากเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้าง ต้นทุนที่ดิน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในประเด็นห้องชุดคอนโดฯที่ให้ทั้งอาคารจำหน่ายราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทนั้น ตรงนี้อาจจะมีปัญหา เพราะในแต่ละห้องชุดก็มีความแตกต่างกัน บางห้องชุดในห้องมุมที่ราคาอาจจะสูงกว่าที่เกณฑ์บีโอไอกำหนด
ดังนั้น ตนเตรียมจะเสนอให้มีการผ่อนปรนในเรื่องราคาขาย โดยให้มีการผสมระหว่างห้องชุดที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท กับห้องชุดที่ราคาตั้งแต่2-3 ล้านบาทขึ้นไปอยู่ในอาคารเดียวกัน
“ แนวทางดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ซื้อมีทางเลือก เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลที่เอื้ออำนวยต่อผู้ซื้อ สะดวกในการเดินทาง และสอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า เช่น หากเป็นโซนรัชดาภิเษก น่าจะพัฒนาห้องชุดตามเกณฑ์บีโอไอได้เยอะ แต่ถ้าเป็นโซนสุขุมวิท จะเป็นห้องชุดที่มีพื้นมาก เป็นต้น ”นายอธิปกล่าว
สำหรับเงื่อนไขใหม่ของบ้านบีโอไอ คือ ผู้ประกอบการจะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 50 หน่วย (เดิม 150 หน่วย ) สำหรับทุกเขต โดยโครงการที่ตั้งในเขต 1 กรณีการก่อสร้างอาคารชุด ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 28 ตรม. (เดิม 31 ตรม.) และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน 1 ล้านบาท (เดิม 6 แสนบาท) ส่วนบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตรม. และจำหน่ายไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อหน่วย
กานดาฯ-ศุภาลัยแจมบ้านบีโอไอ
ในส่วนความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการอสังหาฯที่จะเริ่มเข้ามาลงตลาดบ้านบีโอไอนั้น พบว่า มีหลายบริษัทให้ความสนใจที่จะเข้ามาสร้างสินค้า เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้น้อย
นายอิสระ กล่าวว่า บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กำลังเตรียมยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการบ้านบีโอไอ โดยจะพัฒนาโครงการในรูปแบบทาวน์เฮาส์ บริเวณประชาอุทิศ จำนวน 200 ยูนิต ระดับราคา 1.2 ล้านบาท
นายอธิป กล่าวเช่นเดียวกันว่า บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กำลังยื่นเรื่องให้แก่บีโอไอ เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯระดับราคา 1 ล้านบาท แต่จะเริ่มพัฒนาในปี 2553 อย่างไรก็ดี หากข้อเสนอในเรื่องของราคาขายต่อห้องชุดในคอนโดฯสามารถผสมราคาขายที่อยู่ในหลักเกณฑ์ของบีโอไอและมากกว่า ทางบริษัทฯจะดำเนินการในปีนี้ทันที แต่หากไม่ได้ ก็คงต้องไปพัฒนาโครงการตามชานเมือง.