“...สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน...”
“...พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ในโครงการต่างๆ มันไม่ได้เป็นตัวเงินที่เอามาแจก คนนั้นเอาไปเท่านี้ คนนี้เอาไปเท่านั้น เงินใช้เมื่อไหร่ก็หมด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ให้เป็นสิ่งถาวร เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับบ้านเรา คู่กับแผ่นดินเรา ทรงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เชิดหน้าชูตาประเทศชาติ..”
การเปิดใจระหว่างบรรยายพิเศษหัวข้อ “พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย” ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงานรับใช้ฯ มาร่วม 40 ปี ในงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “ร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชินี” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่หอประชุมกองทัพเรือ เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฟัง คงจะพอทำให้เกิดความสว่างไสวทางปัญญาอยู่บ้าง
นั่นเพราะในวันเดียวกันนั้นอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทมายาวนานเช่นกันอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนสังคมดังๆ อีกครั้งในงานเดียวกัน ถึงเรื่องที่บ้านเมืองเรากำลังเผชิญหน้ากับ “สงครามที่สาหัสมาก” และแม้ว่า “ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด”
และหนทางจะรับมือกับเรื่องนี้ทั้งสองท่านชี้ช่องในฐานะของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนกลายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถืออย่างน่าสนใจ โดยท่านทั้งสองกล่าวว่าจะสามารถรับมือได้ก็ด้วย การถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60 ปี โดยให้เราทุกคนช่วยกัน
การเปิดใจของผู้ใกล้ชิดสถาบันอย่างทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นการเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมี และนัยระหว่างบรรทัดนั้น ก็มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าที่หนังสือพิมพ์บางฉบับจะดึงดัง รวบรัดไปพาดหัวข่าวเอาง่ายๆ ว่า พ่อหลวงแม่หลวงอยากเห็นคนไทยสามัคคี ไม่แตกแยก
เพราะคำพูดข้างต้นของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ รวมถึงพล.ต.อ.วสิษฐนั้น ได้ชี้ไปถึงต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดว่า ที่บ้านเมืองต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้าย เพราะปรากฏว่ามีขบวนการบ่อนทำลายสถาบันฯ เกิดขึ้น โดยคนเหล่านี้ใช้วิธีล่อหลอก ย้อมหัวประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งที่ขาดข้อมูล หรือตั้งใจจะถูกเขาหลอก เพราะเศษเงินที่เขาโยนให้ และก็กลายไปเป็นเครื่องมือให้เขาใช้ทำร้ายทำลายสถาบันอันเป็นที่รัก ทำลายบ้านเมืองในที่สุด
คำพูดของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ที่กล่าวพร้อมน้ำตาในวันนั้น มีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ “พระองค์ท่านทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน...”
นั่นจึงทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า แล้วเหตุไฉนประชาชนบางกลุ่ม จึงยอมให้นักการเมืองสามานย์ ‘ที่หวังจะเอามากกว่าให้’ มาปั่นหัวหลอกใช้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้กับมัน ไม่ว่าจะยอมตกเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองกับการลบล้างโทษ ปลดเปลื้องความผิดของตนเอง
นักการเมืองอย่าง นช.ทักษิณนั้น ย่างเท้าก้าวเข้ามาในแวดวงการเมืองไทย และมีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศเพียง 5 ปี นับแต่ พ.ศ. 2544 – 2549
ถามว่าคุณทักษิณเอาจากประชาชนไปเท่าไรแล้ว และมากกว่าที่เคยให้ประชาชนมากน้อยแค่ไหน เอาแค่หลักๆ ที่อ้างอิงเป็นตัวเลขได้ และมีหลักฐานยืนยันดูได้จากรายงานการตรวจสอบทุจริตรัฐบาลทักษิณของ คตส. ทั้ง 13 คดี ที่แม้จะส่งขึ้นศาลได้ 5 คดีเท่านั้น แต่ตัวเงินที่ชาติต้องเสียไปเพื่อแลกกับโอกาสให้ทักษิณเข้ามาเป็นใหญ่รวมแล้วสูงถึง 1 แสนแปดหมื่นล้านบาท (อ้างอิงตัวเลขความเสียหายจากรายงานของ คตส.ที่ปรากฏเป็นข่าวในรายงาน “เปิด 13 คดีบ่วงรัดคอ” ทักษิณ-ครอบครัวชินวัตร “ต้นเหตุหนีตั้งหลักที่อังกฤษ”, มติชน, 12 สิงหาคม 2551) ประกอบด้วย
* คดีการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX (รวมสายพานลำเลียง), คดีท่อร้อยสายไฟใต้ดินสนามบินสุวรรณภูมิ
* คดีการเลี่ยงภาษีเงินได้จากการขายหุ้น (หุ้นชินคอร์ป) ศาลอาญาตัดสินแล้วเมื่อ 31 ก.ค. 2551 พิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนละ 3 ปี และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน เป็นเวลา 2 ปี จำเลยอุทธรณ์เมื่อ 20 พ.ย. 2551
* คดีเงินกู้ (Exim Bank)
* คดีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว
* คดีจัดซื้อกล้ายาง
* คดีการจ้างก่อสร้างและการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องปฏิบัติการกลาง (Central Lab)
* คดีแอร์พอร์ตลิงค์
* คดีการปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทย (กฤษดามหานคร)
* คดีการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนโดยการเคหะแห่งชาติ (โครงการบ้านเอื้ออาทร)
* กรณีร่ำรวยผิดปกติ (76,000 ล้านบาท) จากการแปลงภาษีสรรพสามิตและอื่นๆ
* คดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.
* คดีการจัดซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ที่ดินรัชดาภิเษก) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี ส่วนคุณหญิงพจมาน ให้ยกฟ้อง
ข้ออ้างเรื่องข้อหาต่างๆ เหล่านี้ล้วนถูกตั้งขึ้นจากหน่วยงานที่มาจากคณะรัฐประหาร ก็ล้วนเป็นการอ้างเพื่อใช้ต่อสู้ทางศาลเท่านั้น โดยที่คุณทักษิณก็รู้อยู่แก่ใจว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มนักวิชาการตามสถาบันการศึกษาชั้นนำมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ลูกหลานตระกูลชินวัตรได้มีโอกาสเข้าไปร่ำเรียน และเสียงดังกล่าวก็อื้ออึงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ที่จะมีรัฐประหารแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อำนาจระบอบทักษิณที่เคยยื่นมือยื่นไม้เข้าไปแทรกแซงกระบวนการอิสระ และกระบวนการยุติธรรมต้องสิ้นฤทธิ์ลง และได้ทำงานที่ตัวมันเองอย่างที่สมควรกระทำ
ที่น่าอเนจอนาถที่สุดก็คือ เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจจะสู้ความจริงที่ปรากฏ คุณทักษิณก็เลือกจะหนีความจริงไปเอ็ดตะโรอยู่นอกประเทศ หาช่องทางทำลายความสุขสงบของบ้านเกิดตนเอง นัยว่า “เมื่อข้าไม่ได้ ก็อย่าหมายว่าใครจะได้ด้วย”
เมื่อพิจารณามาจนถึงบรรทัดนี้ ลำพังคนสติดีทั่วไปก็น่าจะบวกลบคูณหารได้ว่า ที่คุณทักษิณ เอาไปจากคนไทยมันมากเท่าไหร่แล้ว และยังไม่นับถึงนโยบายการบริหารประเทศที่คุณทักษิณนำไปบิดเบือนใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงมากกว่าที่จะตั้งใจให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดีมีชีวิตที่ดี
ก็..กี่ศพแล้วที่ต้องสูญไปกับนโยบายทำสงครามยาเสพติดของคุณทักษิณ
... กี่ครอบครัวแล้วที่หนี้สินต้องเท่าทวีคูณ จากนโยบายหว่านเงินกู้ของคุณ
... อีกกี่โรงพยาบาลที่คุณภาพการรักษาต้องสูญสิ้น และเสื่อมถอย เพียงเพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคโง่ๆ นั่น
14 ตุลาคม 2549 นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ออกมาหนุนให้ยกเลิกนโยบาย 30 รักษาทุกโรค ด้วยเหตุที่ว่า “ในสังคมทุนนิยมเสรีของไทยนั้น มีทั้งคนรวยมากๆ คนรายได้ปานกลาง และคนยากจนช่วยตัวเองไม่ได้ ในการดำเนินนโยบายสาธารณะจะต้องหาความสมดุลให้ได้ว่า รัฐจะช่วยเหลือผู้ที่ยากจนมากได้อย่างไรก่อน ใครมีรายได้ก่อนน่าจะช่วยตัวเอง ต้องมีการจำกัดให้ชัดเจนว่า เรามีเงินเท่าไหร่ และนโยบายนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ และจะช่วยคนจนได้อย่างไร และต้องช่วยอย่างแท้จริง เป็นการช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้าในคนจน”
หลักการข้างต้นนั้น ถูกนำมาใช้ในการบรรเทาความทุกข์ยาก และโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ยากไร้ในสังคมไทยมานานแล้ว ...
ก็โครงการแพทย์ชนบทเคลื่อนที่ของสมเด็จย่า ไงล่ะ
นี่ล่ะรากฐานของหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับประเทศไทย
“...พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ในโครงการต่างๆ มันไม่ได้เป็นตัวเงินที่เอามาแจก คนนั้นเอาไปเท่านี้ คนนี้เอาไปเท่านั้น เงินใช้เมื่อไหร่ก็หมด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ให้เป็นสิ่งถาวร เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับบ้านเรา คู่กับแผ่นดินเรา ทรงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เชิดหน้าชูตาประเทศชาติ..”
การเปิดใจระหว่างบรรยายพิเศษหัวข้อ “พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย” ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงานรับใช้ฯ มาร่วม 40 ปี ในงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “ร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชินี” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่หอประชุมกองทัพเรือ เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฟัง คงจะพอทำให้เกิดความสว่างไสวทางปัญญาอยู่บ้าง
นั่นเพราะในวันเดียวกันนั้นอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทมายาวนานเช่นกันอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนสังคมดังๆ อีกครั้งในงานเดียวกัน ถึงเรื่องที่บ้านเมืองเรากำลังเผชิญหน้ากับ “สงครามที่สาหัสมาก” และแม้ว่า “ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด”
และหนทางจะรับมือกับเรื่องนี้ทั้งสองท่านชี้ช่องในฐานะของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนกลายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถืออย่างน่าสนใจ โดยท่านทั้งสองกล่าวว่าจะสามารถรับมือได้ก็ด้วย การถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60 ปี โดยให้เราทุกคนช่วยกัน
การเปิดใจของผู้ใกล้ชิดสถาบันอย่างทั้งสองท่านที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นการเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมี และนัยระหว่างบรรทัดนั้น ก็มีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าที่หนังสือพิมพ์บางฉบับจะดึงดัง รวบรัดไปพาดหัวข่าวเอาง่ายๆ ว่า พ่อหลวงแม่หลวงอยากเห็นคนไทยสามัคคี ไม่แตกแยก
เพราะคำพูดข้างต้นของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ รวมถึงพล.ต.อ.วสิษฐนั้น ได้ชี้ไปถึงต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดว่า ที่บ้านเมืองต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้าย เพราะปรากฏว่ามีขบวนการบ่อนทำลายสถาบันฯ เกิดขึ้น โดยคนเหล่านี้ใช้วิธีล่อหลอก ย้อมหัวประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งที่ขาดข้อมูล หรือตั้งใจจะถูกเขาหลอก เพราะเศษเงินที่เขาโยนให้ และก็กลายไปเป็นเครื่องมือให้เขาใช้ทำร้ายทำลายสถาบันอันเป็นที่รัก ทำลายบ้านเมืองในที่สุด
คำพูดของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ที่กล่าวพร้อมน้ำตาในวันนั้น มีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ “พระองค์ท่านทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน...”
นั่นจึงทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า แล้วเหตุไฉนประชาชนบางกลุ่ม จึงยอมให้นักการเมืองสามานย์ ‘ที่หวังจะเอามากกว่าให้’ มาปั่นหัวหลอกใช้ทำประโยชน์ส่วนตัวให้กับมัน ไม่ว่าจะยอมตกเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองกับการลบล้างโทษ ปลดเปลื้องความผิดของตนเอง
นักการเมืองอย่าง นช.ทักษิณนั้น ย่างเท้าก้าวเข้ามาในแวดวงการเมืองไทย และมีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศเพียง 5 ปี นับแต่ พ.ศ. 2544 – 2549
ถามว่าคุณทักษิณเอาจากประชาชนไปเท่าไรแล้ว และมากกว่าที่เคยให้ประชาชนมากน้อยแค่ไหน เอาแค่หลักๆ ที่อ้างอิงเป็นตัวเลขได้ และมีหลักฐานยืนยันดูได้จากรายงานการตรวจสอบทุจริตรัฐบาลทักษิณของ คตส. ทั้ง 13 คดี ที่แม้จะส่งขึ้นศาลได้ 5 คดีเท่านั้น แต่ตัวเงินที่ชาติต้องเสียไปเพื่อแลกกับโอกาสให้ทักษิณเข้ามาเป็นใหญ่รวมแล้วสูงถึง 1 แสนแปดหมื่นล้านบาท (อ้างอิงตัวเลขความเสียหายจากรายงานของ คตส.ที่ปรากฏเป็นข่าวในรายงาน “เปิด 13 คดีบ่วงรัดคอ” ทักษิณ-ครอบครัวชินวัตร “ต้นเหตุหนีตั้งหลักที่อังกฤษ”, มติชน, 12 สิงหาคม 2551) ประกอบด้วย
* คดีการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX (รวมสายพานลำเลียง), คดีท่อร้อยสายไฟใต้ดินสนามบินสุวรรณภูมิ
* คดีการเลี่ยงภาษีเงินได้จากการขายหุ้น (หุ้นชินคอร์ป) ศาลอาญาตัดสินแล้วเมื่อ 31 ก.ค. 2551 พิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนละ 3 ปี และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน เป็นเวลา 2 ปี จำเลยอุทธรณ์เมื่อ 20 พ.ย. 2551
* คดีเงินกู้ (Exim Bank)
* คดีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว
* คดีจัดซื้อกล้ายาง
* คดีการจ้างก่อสร้างและการจัดซื้ออุปกรณ์ห้องปฏิบัติการกลาง (Central Lab)
* คดีแอร์พอร์ตลิงค์
* คดีการปล่อยเงินกู้ธนาคารกรุงไทย (กฤษดามหานคร)
* คดีการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนโดยการเคหะแห่งชาติ (โครงการบ้านเอื้ออาทร)
* กรณีร่ำรวยผิดปกติ (76,000 ล้านบาท) จากการแปลงภาษีสรรพสามิตและอื่นๆ
* คดีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.
* คดีการจัดซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ที่ดินรัชดาภิเษก) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 ให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี ส่วนคุณหญิงพจมาน ให้ยกฟ้อง
ข้ออ้างเรื่องข้อหาต่างๆ เหล่านี้ล้วนถูกตั้งขึ้นจากหน่วยงานที่มาจากคณะรัฐประหาร ก็ล้วนเป็นการอ้างเพื่อใช้ต่อสู้ทางศาลเท่านั้น โดยที่คุณทักษิณก็รู้อยู่แก่ใจว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มนักวิชาการตามสถาบันการศึกษาชั้นนำมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ลูกหลานตระกูลชินวัตรได้มีโอกาสเข้าไปร่ำเรียน และเสียงดังกล่าวก็อื้ออึงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ที่จะมีรัฐประหารแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อำนาจระบอบทักษิณที่เคยยื่นมือยื่นไม้เข้าไปแทรกแซงกระบวนการอิสระ และกระบวนการยุติธรรมต้องสิ้นฤทธิ์ลง และได้ทำงานที่ตัวมันเองอย่างที่สมควรกระทำ
ที่น่าอเนจอนาถที่สุดก็คือ เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจจะสู้ความจริงที่ปรากฏ คุณทักษิณก็เลือกจะหนีความจริงไปเอ็ดตะโรอยู่นอกประเทศ หาช่องทางทำลายความสุขสงบของบ้านเกิดตนเอง นัยว่า “เมื่อข้าไม่ได้ ก็อย่าหมายว่าใครจะได้ด้วย”
เมื่อพิจารณามาจนถึงบรรทัดนี้ ลำพังคนสติดีทั่วไปก็น่าจะบวกลบคูณหารได้ว่า ที่คุณทักษิณ เอาไปจากคนไทยมันมากเท่าไหร่แล้ว และยังไม่นับถึงนโยบายการบริหารประเทศที่คุณทักษิณนำไปบิดเบือนใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงมากกว่าที่จะตั้งใจให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดีมีชีวิตที่ดี
ก็..กี่ศพแล้วที่ต้องสูญไปกับนโยบายทำสงครามยาเสพติดของคุณทักษิณ
... กี่ครอบครัวแล้วที่หนี้สินต้องเท่าทวีคูณ จากนโยบายหว่านเงินกู้ของคุณ
... อีกกี่โรงพยาบาลที่คุณภาพการรักษาต้องสูญสิ้น และเสื่อมถอย เพียงเพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคโง่ๆ นั่น
14 ตุลาคม 2549 นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ออกมาหนุนให้ยกเลิกนโยบาย 30 รักษาทุกโรค ด้วยเหตุที่ว่า “ในสังคมทุนนิยมเสรีของไทยนั้น มีทั้งคนรวยมากๆ คนรายได้ปานกลาง และคนยากจนช่วยตัวเองไม่ได้ ในการดำเนินนโยบายสาธารณะจะต้องหาความสมดุลให้ได้ว่า รัฐจะช่วยเหลือผู้ที่ยากจนมากได้อย่างไรก่อน ใครมีรายได้ก่อนน่าจะช่วยตัวเอง ต้องมีการจำกัดให้ชัดเจนว่า เรามีเงินเท่าไหร่ และนโยบายนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ และจะช่วยคนจนได้อย่างไร และต้องช่วยอย่างแท้จริง เป็นการช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้าในคนจน”
หลักการข้างต้นนั้น ถูกนำมาใช้ในการบรรเทาความทุกข์ยาก และโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ยากไร้ในสังคมไทยมานานแล้ว ...
ก็โครงการแพทย์ชนบทเคลื่อนที่ของสมเด็จย่า ไงล่ะ
นี่ล่ะรากฐานของหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับประเทศไทย