xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตพรุควนเคร็ง…สัญญาณหายนะภาคใต้!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

เมื่อระยะสิบวันมานี้ มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้น แต่หามีใครให้ความสนใจแต่ประการใดไม่ เพราะเป็นเรื่องของไฟไหม้และเป็นไฟไหม้พรุแห่งหนึ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักชื่อ นั่นคือพรุควนเคร็ง แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญญาณอันตรายร้ายแรงว่ากำลังเกิดหายนะขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง

และเมื่อเกิดหายนะขึ้นในภาคใต้ตอนกลางแล้ว ก็ย่อมส่งผลกระทบไปทั้งภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่างด้วย

แต่เรื่องนี้ไม่มีใครสนใจ ที่ไม่สนใจก็เพราะไม่รู้และไม่เข้าใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้กินใบบุญของคนภาคใต้มาร่วม 50-60 ปี ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณา และแก้ไขปัญหาให้ภาคใต้พ้นจากหายนะที่ว่านั้น

ก่อนอื่นอยากทำความรู้จักกับพรุควนเคร็งเสียก่อน เพราะชื่อก็ประหลาดนัก เนื่องจากไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษาถิ่นแต่โบราณ ที่ยังคงใช้กันอยู่ในพื้นที่แถบนั้น เช่น ตำบลตะเครี๊ยะ ตำบลพังยาง อำเภอระโนด บ้านพังเถียะ บ้านเฉียงพง เป็นต้น

พรุควนเคร็งนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ก็ได้ พื้นที่ชุ่มน้ำนี้หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ำไม่มากนัก แต่ก็มีตลอดปี พูดให้เห็นภาพได้ง่ายก็คือเป็นพื้นที่ที่มีน้ำสูงระดับแค่หัวเข่าหรือมากน้อยกว่านั้นก็ไม่มาก มีต้นจูดขึ้นตามธรรมชาติอยู่เกือบเต็มพื้นที่

พรุควนเคร็งตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของจังหวัดพัทลุงกับจังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นพื้นที่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติทะเลน้อยของจังหวัดพัทลุง โดยอุทยานแห่งชาติดังกล่าวนี้มีพื้นที่ติดอยู่กับทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นทะเลสาบสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีอยู่ในประเทศไทย

พรุควนเคร็งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ทะเลน้อยนั้นเป็นพื้นที่แหล่งน้ำที่ไม่ลึกนัก มีความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศน์และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง ส่วนทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ อุดมสมบูรณ์ด้วยกุ้ง หอย ปู ปลามาแต่โบราณ เป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้และแหล่งทำมาหากินของคนภาคใต้ตอนกลางมายาวนาน

ดังนั้นทะลสาบสงขลา ทะเลน้อย และพรุควนเคร็ง จึงเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำ แหล่งทรัพยากรอาหาร และเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านที่ถักทอจูดขาย และเป็นแหล่งนิเวศน์ของสัตว์สงวน สัตว์น้ำ สัตว์บกนานาชนิดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ทะเลสาบสงขลาเป็นแหล่งน้ำใหญ่ ถ่ายเทไปถึงทะเลน้อย น้ำจากทะเลน้อยก็เชื่อมต่อถ่ายเทถึงพรุควนเคร็ง ดังนั้นในฐานะแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ก็ประจักษ์ชัดว่าความมีหรือความไม่มีน้ำของแหล่งใดแหล่งหนึ่งย่อมกระทบถึงกัน และสะท้อนถึงกัน
เมื่อ 50-60 ปีก่อนทะเลสาบสงขลาลึก ขนาดใช้ไม้ถ่อหยั่งบางทีก็ไม่ถึง จึงส่งผลให้ทะเลน้อยอุดมสมบูรณ์ตลอดปี เมื่อทะเลน้อยอุดมสมบูรณ์ พรุควนเคร็งก็อุดมสมบูรณ์ตามตลอดปีเช่นเดียวกัน

แต่มาบัดนี้ทะเลสาบสงขลาตื้นเขิน แม้มีความพยายามจะผลักดันแก้ไข แต่อดีตนายกรัฐมนตรีที่งี่เง่าบางคนอวดตนว่ามีความรู้เกินใคร เข้าใจเอาเองว่าทะเลสาบคือทะเลเดียวกับอ่าวไทย จนทำให้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบต้องชะงักงันมาจนถึงบัดนี้

ทะเลสาบสงขลาตื้นเขินจนกระทั่งความร้อนเพิ่มขึ้น ทำให้สัตว์น้ำล้มหายตายจากและสูญพันธุ์มากมาย ส่งผลกระทบไปถึงทะเลน้อยให้เกิดความตื้นเขินและน้ำไม่อุดมสมบูรณ์ตลอดปีเหมือนแต่ก่อน แล้วกระทบไปถึงพรุควนเคร็งด้วย ทำให้เกิดความแห้งแล้งขึ้น และทำลายระบบนิเวศน์ ตลอดจนพืช สัตว์หลายเผ่าพันธุ์ต้องสูญพันธุ์และล้มหายตายจาก

ตั้งแต่โบราณกาลมา ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางได้ทำมาหากิน ได้พึ่งพาอาศัยทะเลสาบสงขลา ทะเลน้อยและพรุควนเคร็งในทุกด้าน ไม่ว่าด้านแหล่งน้ำ ด้านอาหาร ด้านความอุดมสมบูรณ์และความสมดุลของสภาพแวดล้อม แต่มาบัดนี้มีแต่ความแห้งแล้ง และหายนะรออยู่เบื้องหน้า

การเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้พรุควนเคร็งที่กินพื้นที่เพลิงไหม้ถึง 6,000 ไร่ หมายถึงอะไรเล่า? มันไม่ใช่เพลิงไหม้ธรรมดา แต่มันสะท้อนความหมายแห่งหายนะที่กำลังเข้ามาเยือนพี่น้องภาคใต้ตอนกลางและภาคใต้ทั้งหมด

ทำไมจึงเกิดเหตุไฟไหม้? ที่ไฟไหม้ก็เพราะพรุควนเคร็งแห้งแล้งขาดน้ำ จนต้นจูดที่อยู่เต็มเกือบทั้งพื้นที่ก็แห้งเฉาตาม สายลมแรงกล้าของลมพลัดไม่ว่าลมพลัดหลวง ลมพลัดกลาง หรือลมพลัดยาของฤดูกาลนี้ ยิ่งเพิ่มความแห้งแล้งและความร้อนมากขึ้น

ดังนั้นจึงล่อแหลมต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้ เมื่อแหล่งชุ่มน้ำเกิดความแห้งแล้งปานนี้ พอมีเชื้อเพลิงเชื้อไฟเข้าไปถึงเท่านั้น ก็เกิดเพลิงลุกไหม้เผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว

เพลิงไหม้พรุควนเคร็งคราวนี้ไม่ต่างอันใดกับเมื่อครั้งขงเบ้งวางเพลิงเผาทัพโจโฉสิบหมื่นในสงครามทุ่งพกบ๋อง แต่นั่นเป็นป่าแขมซึ่งมีหญ้าแขมแห้งสูงระดับศีรษะเป็นอาณาบริเวณกว้าง

ขงเบ้งลวงทัพของโจโฉซึ่งนำโดยแฮหัวตุ้นให้ถลำลึกเข้ามาในพื้นที่ป่าแขมแห้งแห่งทุ่งพกบ๋อง พอถึงเวลาทำการเข้าแล้ว แค่ไม่กี่ชั่วยามกองทัพสิบหมื่นของโจโฉก็มลายหายไปในกองเพลิง

ความรุนแรงของเพลิงในครั้งนั้นเป็นประการใด ลองนึกดูเอาเถิดว่าความรุนแรงนั้นก็เกิดขึ้นในพรุควนเคร็ง ณ เวลานี้ด้วย ดังนั้นหายนะจากเพลิงไหม้ครั้งนี้จึงทำลายแหล่งนิเวศน์ แหล่งทรัพยากร อาหาร และภาวะแวดล้อมของพรุควนเคร็งที่ป่วยหนักอยู่แล้วให้ถึงกาลหายนะ

กระทบลงมาถึงอุทยานแห่งชาติทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้อีกด้วย

จังหวัดสงขลา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประชากรหนาแน่นรวมกันแล้วร่วมครึ่งหนึ่งของประชากรภาคใต้ เอากันแค่ผู้แทนราษฎรของสามจังหวัดนี้ก็มีจำนวนร่วม 30 คน

แต่เป็น 30 คนที่ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ต่อหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ใจกลางของภาคใต้ ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสรรพสัตว์ รวมทั้งประชากรภาคใต้ที่กำลังได้รับผลและจะต้องได้รับผลแห่งหายนะนี้ต่อไปอีกไม่รู้นานเท่าใด

หากฟื้นคืนธรรมชาติให้แก่พรุควนเคร็งดังเดิมไม่ได้ ทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาก็จะตายตามไปด้วย พี่น้องประชาชนในพื้นที่สามจังหวัด คือสงขลา พัทลุงและนครศรีธรรมราชก็จะประสบหายะในที่สุด และย่อมส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งภาคใต้อย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วจะทำกันอย่างไร? จึงจะฟื้นคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินดังเดิม ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ภาคใต้ดังเดิม

พี่น้องประชาชนภาคใต้ทรหดอดทนเสียสละกล้าหาญมาแต่บรรพกาล เรื่องน้อยเรื่องใหญ่หากเกี่ยวกับตนก็ไม่เคยก่นร้องป่าวประกาศให้ใครช่วย แม้กระทั่งยามน้ำท่วมบ้านจนแม้หมูหมาไม่มีที่อาศัย แต่เป็นยามแผ่นดินไทยวิกฤต พี่น้องภาคใต้ยังสู้ทิ้งบ้านเรือนขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กับพี่น้องร่วมชาติ จนบาดเจ็บพิการล้มตายไปมากราย

ดังนั้นเราจึงไม่อาจนิ่งเฉยต่อหายนะใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นครั้งนี้ แต่ที่จะทำประการใดนั้นก็ดูอับจนยิ่งนัก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบรรดาข้าราชการประจำในพื้นที่ก็หามีผู้ใดที่จะมีความใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหานี้หรือที่พอมีบ้างโดยเฉพาะจากภาคประชาชนก็มีกำลังอันจำกัดนัก คือจำกัดทั้งกำลังความรู้ กำลังความสามารถในการแก้ไขปัญหา

แม้ในส่วนกลางเล่าก็แทบหาคนมีความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาของพรุควนเคร็ง ทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาแทบไม่ได้เลย ไม่เห็นหรือว่าเวลาผ่านมาร่วมสิบวันแล้ว ทั้งส่วนกลาง ทั้งระดับรัฐบาล ระดับกระทรวง แม้แต่ ส.ส. ในพื้นที่ก็ยังไม่มีใครรู้ประสีประสาเลย

แต่ประเทศไทยของเรานี้ยังโชคดีที่เรามีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ที่ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในสภาพความเป็นไปในราชอาณาจักรแห่งนี้

ทรงศึกษา ทรงรวบรวมข้อมูล และได้พระราชทานกระแสพระราชดำริในการอนุรักษ์พื้นที่พรุควนเคร็งมาร่วม 20 ปีแล้ว ดังนั้นปัญหาอันวิกฤตอันแผ่นดินไร้ที่พึ่งพาอาศัยได้แล้วเช่นนี้ ก็ยังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะทรงพระราชทานพระราชดำริและแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งหลาย แม้กระทั่งข้าราชการประจำ ถึงไม่รู้ไม่เข้าใจที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตอันกำลังเกิดเป็นหายนะในภาคใต้ก็ตาม แต่ถ้าหากยังรู้ที่จะเข้าไปเฝ้าฯ เพื่อขอรับพระบรมราชวินิจฉัยและพระราชดำริในการแก้ไขหายนะครั้งนี้ ก็ยังพอมีความหวังและนี่ก็คือความหวังที่พี่น้องประชาชนภาคใต้กำลังรอคอยอยู่

รีบขอเข้าเฝ้าฯ กราบพระบาท ขอรับพระราชทานแนวทางและวิธีการฟื้นคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินภาคใต้โดยไวเถิด.
กำลังโหลดความคิดเห็น