ข้าราชการ โดยตัวศัพท์หมายถึงผู้ทำงานรับใช้พระมหากษัตริย์ โดยรับพระราชทานเงินเดือนจากองค์ประมุขของรัฐ ข้าราชการจึงเป็นข้าแห่งการของราชะ เมื่อเป็นเช่นนี้ในบางสังคมที่ไม่มีกษัตริย์จึงเรียกผู้ทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ข้ารัฐการ แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนไว้ว่า คำว่า ราช อาจจะหมายถึงการปกครองบริหารก็ได้ เช่น เมื่ออังกฤษปกครองอินเดียใช้คำว่า British Raj
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลที่ทำงานให้กับภาครัฐโดยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และในระดับที่สูงก็ต้องมีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เช่น นายทหารชั้นสัญญาบัตร จนถึงระดับสูงสุดคือระดับนายพล ข้าราชการพลเรือนระดับที่เป็นอธิบดี ปลัดกระทรวง รวมตลอดทั้งตำแหน่งทางวิชาการ เช่น ศาสตราจารย์ หรือผู้บริหารในมหาวิทยาลัย เช่น อธิการบดี ต้องมีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งทั้งสิ้น คณะมนตรีก็ต้องมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รวมทั้งมีการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง
แต่สถานภาพของข้าราชการไทยก็มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะสัจธรรมของโลก ซึ่งพอจะแยกแยะได้เป็น 3 ช่วง ดังต่อไปนี้
ช่วงที่หนึ่ง ขุนนางภายใต้ระบบศักดินา ข้าราชการในยุคนี้คือข้าราชการที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึง 24 มิถุนายน 2475 ข้าราชการที่ทำงานในยุคนี้นั้นมีการพัฒนาสูงสุดในยุคพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อมีการจัดแบ่งในทางทฤษฎีแยกระหว่างฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนนั้นแบ่งออกเป็นจตุสดมภ์ อันได้แก่ เวียง วัง คลัง นา และมีอัครเสนาบดีฝ่ายมหาดไทย คือเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์เป็นผู้บังคับบัญชา ฝ่ายทหารนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงในรายละเอียด แต่มีการอนุมานว่ามีอัครเสนาบดีฝ่ายทหารคือ ฝ่ายกลาโหม ซึ่งได้แก่เจ้าพระยามหาเสนา น่าจะบังคับบัญชาจตุรงคเสนา อันได้แก่ ช้าง ม้า ราบ และช่าง ซึ่งได้มาจากอินเดียคือ ช้าง ม้า ราบและรถศึก แต่มาเปลี่ยนรถศึกเป็นช่างแทน เพราะรถศึกไม่เหมาะสมกับภูมิประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในยุคพระเพทราชได้แบ่งเป็นการควบคุมการบริหารโดยแบ่งเป็นฝ่ายภาคเหนือและฝ่ายภาคใต้ โดยฝ่ายภาคเหนืออยู่ภายใต้อัครเสนาบดีฝ่ายมหาดไทย ส่วนภาคใต้อยู่ในการดูแลของอัครเสนาบดีฝ่ายกลาโหม จึงเกิดมีคำถามว่ากลาโหมจะมีจตุสดมภ์อยู่ภายใต้การดูแลด้วยได้หรือไม่ ซึ่งน่าไม่แตกต่างจากฝ่ายภาคเหนือ
แต่ที่สำคัญคือ ขุนนางในยุคศักดินานี้เป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ใน 3 ตัวแปรที่ทำให้ตัวเองแตกต่างจากประชาชนที่เป็นไพร่ อันได้แก่ ทรัพย์ศฤงคาร (wealth) สถานะทางสังคม (status) และอำนาจ (power) นอกจากนี้ ขุนนางยังแตกต่างจากคนอื่นที่เป็นไพร่ หรือแตกต่างจากขุนนางด้วยกันเองด้วยตัวแปร 4 ตัว คือ ยศ (เช่น พระยา) ราชทินนาม (เช่น จักรีศรีองครักษ์) ตำแหน่ง (เช่น สมุหนายก) ศักดินา (หนึ่งหมื่น)
ขุนนางในระบบดังกล่าวซึ่งเป็นคนของกษัตริย์ทำการปกครองบริหารประเทศมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่การรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนมีการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อปี 2435 ในยุคล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 โดยทรงเปลี่ยนแปลงระบบจตุสดมภ์มาเป็น 12 กระทรวงแบบตะวันตก การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นถือเป็นการปฏิรูปครั้งที่สอง ในครั้งแรกคือยุคพระบรมไตรโลกนาถตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ขุนนางระบบศักดินาในยุคนี้ก็ยังคงมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับที่กล่าวมาแล้ว หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงในความชำนัญการ เช่น การรู้ภาษาต่างประเทศ และวิทยาการสมัยใหม่แทนความรู้แบบเดิม
ช่วงที่สอง ยุคอำมาตยาธิปไตย เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เหล่าข้าราชการของรัฐก็ไม่ได้รับการสถาปนาเป็นพระยา พระ หลวง ขุน อีกต่อไป เนื่องจากมีการยกเลิกระบบดังกล่าว แม้ภายหลังจะพยายามรื้อฟื้นโดยการเสนอร่างพระราชบัญญัติก็ไม่ได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา แต่ข้าราชการในยุคนี้เป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองบริหาร และทำหน้าที่ในการบริหารประเทศในด้านต่างๆ มีจำนวนไม่น้อยที่ศึกษาจบจากต่างประเทศจนทำให้อำนาจการเมือง การปกครอง การบริหารผ่องถ่ายจากสถาบันพระมหากษัตริย์ไปสู่เหล่าข้าราชการยุคใหม่นี้ ผู้ซึ่งมีบทบาทมากที่สุดได้แก่ข้าราชการทหาร ซึ่งสนับสนุนโดยข้าราชการพลเรือน อันจะเห็นได้จากข้อมูลที่ว่า ระหว่าง 24 มิถุนายน 2475 จนถึง 16 กันยายน 2500 เป็นระยะเวลา 25 ปีนั้น นายกรัฐมนตรีที่มีภูมิหลังเป็นทหารคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประมาณ 14 ปีครึ่ง พระยาพหลพลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ประมาณ 5 ปีครึ่ง หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ดำรงตำแหน่งอยู่ประมาณปีกว่าๆ รวมเบ็ดเสร็จใน 25 ปี นายกรัฐมนตรีที่มีภูมิหลังเป็นทหารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 21 ปีครึ่ง
และหลังจากการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2500 นายพจน์ สารสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ 90 วัน จากนั้น พลโทถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ประมาณหนึ่งปี จนมีการปฏิวัติโดยจอมพลสฤษดิ์อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ตั้งแต่ตุลาคม 2501 จนถึง 14 ตุลาคม 2516 ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของทหารคือภายใต้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประมาณ 5 ปี และจอมพลถนอม กิตติขจร อีกประมาณ 10 ปี
จะเห็นว่า 41 ปีเต็มตั้งแต่ปี 2475 จนถึงปี 2516 ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบการปกครองที่ข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนมีอำนาจสูงสุด และมีการเรียกยุคนี้ว่า ยุคอำมาตยาธิปไตย ในยุคนี้ข้าราชการไทยคืออำมาตยาธิปัตย์ มีอำนาจ วาสนา บารมี ครบถ้วนทั้งสามตัวแปร คือ ทรัพย์ศฤงคาร สถานะทางสังคมและอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการทหาร มีรถประจำทางของแต่ละเหล่าทัพ มีโรงพยาบาลของแต่ละเหล่าทัพ มีสนามกีฬาของแต่ละเหล่าทัพ มีโรงเรียนสำหรับบุตรหลานของแต่ละเหล่าทัพ และหน่วยราชการที่พยายามเลียนแบบก็คือกรมตำรวจในสมัยนั้น ในยุคนี้ประเทศไทยจึงอยู่ภายใต้การปกครองแบบอำมาตยาธิปไตย และข้าราชการไทยก็มีฐานะเป็น อำมาตยาธิปัตย์
ช่วงที่สาม ยุคขององคกราธิปไตย หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ปี 2516 บทบาทของอำมาตยาธิปัตย์ก็ยังคงมีอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยครึ่งใบ และในความเป็นจริงกลับมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามที่จะกลับมาสู่การมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 แต่หลังจากพฤษภาทมิฬ (17-20 พฤษภาคม 2535) ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อำนาจของเหล่าข้าราชการทหารและพลเรือนก็ลดน้อยลง มาแสดงบทบาทอีกครั้งหนึ่งหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประชาธิปไตยและความตื่นตัวทางการเมืองได้ก้าวมาถึงจุดที่อำมาตยาธิปัตย์ทั้งทหารและพลเรือนไม่สามารถแสดงบทบาทได้เหมือนก่อน และมีแนวโน้มว่าสถานะและบทบาทจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผู้ซึ่งอยู่ในกรอบของจรรยาชีพ (professionalism) กลายเป็น organization personnel หรือองคกราธิปัตย์ภายใต้การปกครองบริหารโดยองคกราธิปไตย (bureaucracy)
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง บทบาททางการเมืองจะอยู่ที่ประชาชนและผู้ได้รับการเลือกตั้งภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ส่วนบทบาทในการบริหารโดยใช้ความรู้ความชำนาญการอยู่ภายใต้องคกราธิปไตยสาธารณะ (public bureaucracy)
แต่ที่ยังค้างอยู่ก็คือ การที่ข้าราชการจำนวนหนึ่งไม่สามารถจะสลัดทิ้งซึ่งค่านิยมและบุคลิกของขุนนางภายใต้ระบบศักดินา และอำนาจราชศักดิ์ของอำมาตยาธิปัตย์ จึงเกิดคำถามจากข้าราชการบางคนว่า การแบ่งการบริหารออกมาเป็นแท่งๆ เช่น ที่กระทรวงศึกษาธิการ และการไม่มีการกำหนดซีจะส่งผลอย่างไรต่อ เครื่องแบบและเครื่องราชอิสริยาภรณ์
คำถามเหล่านี้ก็สะท้อนถึงความยากลำบากในการปรับตัวของคนที่ทำงานในฐานะผู้บริหารภาครัฐ แต่การคาดหวังของข้าราชการบางคนที่จะกลับไปสู่สถานภาพแบบเดิมคงจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์ที่ยึดถือหลักสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคระหว่างประชาชน และการบริหารที่ยึดหลักความรู้ ความสามารถ การรับใช้ประชาชน และการบริการสังคมเป็นเกณฑ์
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลที่ทำงานให้กับภาครัฐโดยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และในระดับที่สูงก็ต้องมีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เช่น นายทหารชั้นสัญญาบัตร จนถึงระดับสูงสุดคือระดับนายพล ข้าราชการพลเรือนระดับที่เป็นอธิบดี ปลัดกระทรวง รวมตลอดทั้งตำแหน่งทางวิชาการ เช่น ศาสตราจารย์ หรือผู้บริหารในมหาวิทยาลัย เช่น อธิการบดี ต้องมีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งทั้งสิ้น คณะมนตรีก็ต้องมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รวมทั้งมีการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง
แต่สถานภาพของข้าราชการไทยก็มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะสัจธรรมของโลก ซึ่งพอจะแยกแยะได้เป็น 3 ช่วง ดังต่อไปนี้
ช่วงที่หนึ่ง ขุนนางภายใต้ระบบศักดินา ข้าราชการในยุคนี้คือข้าราชการที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึง 24 มิถุนายน 2475 ข้าราชการที่ทำงานในยุคนี้นั้นมีการพัฒนาสูงสุดในยุคพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อมีการจัดแบ่งในทางทฤษฎีแยกระหว่างฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนนั้นแบ่งออกเป็นจตุสดมภ์ อันได้แก่ เวียง วัง คลัง นา และมีอัครเสนาบดีฝ่ายมหาดไทย คือเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์เป็นผู้บังคับบัญชา ฝ่ายทหารนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงในรายละเอียด แต่มีการอนุมานว่ามีอัครเสนาบดีฝ่ายทหารคือ ฝ่ายกลาโหม ซึ่งได้แก่เจ้าพระยามหาเสนา น่าจะบังคับบัญชาจตุรงคเสนา อันได้แก่ ช้าง ม้า ราบ และช่าง ซึ่งได้มาจากอินเดียคือ ช้าง ม้า ราบและรถศึก แต่มาเปลี่ยนรถศึกเป็นช่างแทน เพราะรถศึกไม่เหมาะสมกับภูมิประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในยุคพระเพทราชได้แบ่งเป็นการควบคุมการบริหารโดยแบ่งเป็นฝ่ายภาคเหนือและฝ่ายภาคใต้ โดยฝ่ายภาคเหนืออยู่ภายใต้อัครเสนาบดีฝ่ายมหาดไทย ส่วนภาคใต้อยู่ในการดูแลของอัครเสนาบดีฝ่ายกลาโหม จึงเกิดมีคำถามว่ากลาโหมจะมีจตุสดมภ์อยู่ภายใต้การดูแลด้วยได้หรือไม่ ซึ่งน่าไม่แตกต่างจากฝ่ายภาคเหนือ
แต่ที่สำคัญคือ ขุนนางในยุคศักดินานี้เป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ใน 3 ตัวแปรที่ทำให้ตัวเองแตกต่างจากประชาชนที่เป็นไพร่ อันได้แก่ ทรัพย์ศฤงคาร (wealth) สถานะทางสังคม (status) และอำนาจ (power) นอกจากนี้ ขุนนางยังแตกต่างจากคนอื่นที่เป็นไพร่ หรือแตกต่างจากขุนนางด้วยกันเองด้วยตัวแปร 4 ตัว คือ ยศ (เช่น พระยา) ราชทินนาม (เช่น จักรีศรีองครักษ์) ตำแหน่ง (เช่น สมุหนายก) ศักดินา (หนึ่งหมื่น)
ขุนนางในระบบดังกล่าวซึ่งเป็นคนของกษัตริย์ทำการปกครองบริหารประเทศมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่การรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนมีการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อปี 2435 ในยุคล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 โดยทรงเปลี่ยนแปลงระบบจตุสดมภ์มาเป็น 12 กระทรวงแบบตะวันตก การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นถือเป็นการปฏิรูปครั้งที่สอง ในครั้งแรกคือยุคพระบรมไตรโลกนาถตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ขุนนางระบบศักดินาในยุคนี้ก็ยังคงมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับที่กล่าวมาแล้ว หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงในความชำนัญการ เช่น การรู้ภาษาต่างประเทศ และวิทยาการสมัยใหม่แทนความรู้แบบเดิม
ช่วงที่สอง ยุคอำมาตยาธิปไตย เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เหล่าข้าราชการของรัฐก็ไม่ได้รับการสถาปนาเป็นพระยา พระ หลวง ขุน อีกต่อไป เนื่องจากมีการยกเลิกระบบดังกล่าว แม้ภายหลังจะพยายามรื้อฟื้นโดยการเสนอร่างพระราชบัญญัติก็ไม่ได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา แต่ข้าราชการในยุคนี้เป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองบริหาร และทำหน้าที่ในการบริหารประเทศในด้านต่างๆ มีจำนวนไม่น้อยที่ศึกษาจบจากต่างประเทศจนทำให้อำนาจการเมือง การปกครอง การบริหารผ่องถ่ายจากสถาบันพระมหากษัตริย์ไปสู่เหล่าข้าราชการยุคใหม่นี้ ผู้ซึ่งมีบทบาทมากที่สุดได้แก่ข้าราชการทหาร ซึ่งสนับสนุนโดยข้าราชการพลเรือน อันจะเห็นได้จากข้อมูลที่ว่า ระหว่าง 24 มิถุนายน 2475 จนถึง 16 กันยายน 2500 เป็นระยะเวลา 25 ปีนั้น นายกรัฐมนตรีที่มีภูมิหลังเป็นทหารคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประมาณ 14 ปีครึ่ง พระยาพหลพลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ประมาณ 5 ปีครึ่ง หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ดำรงตำแหน่งอยู่ประมาณปีกว่าๆ รวมเบ็ดเสร็จใน 25 ปี นายกรัฐมนตรีที่มีภูมิหลังเป็นทหารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 21 ปีครึ่ง
และหลังจากการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2500 นายพจน์ สารสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ 90 วัน จากนั้น พลโทถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ประมาณหนึ่งปี จนมีการปฏิวัติโดยจอมพลสฤษดิ์อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ตั้งแต่ตุลาคม 2501 จนถึง 14 ตุลาคม 2516 ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของทหารคือภายใต้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประมาณ 5 ปี และจอมพลถนอม กิตติขจร อีกประมาณ 10 ปี
จะเห็นว่า 41 ปีเต็มตั้งแต่ปี 2475 จนถึงปี 2516 ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบการปกครองที่ข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนมีอำนาจสูงสุด และมีการเรียกยุคนี้ว่า ยุคอำมาตยาธิปไตย ในยุคนี้ข้าราชการไทยคืออำมาตยาธิปัตย์ มีอำนาจ วาสนา บารมี ครบถ้วนทั้งสามตัวแปร คือ ทรัพย์ศฤงคาร สถานะทางสังคมและอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการทหาร มีรถประจำทางของแต่ละเหล่าทัพ มีโรงพยาบาลของแต่ละเหล่าทัพ มีสนามกีฬาของแต่ละเหล่าทัพ มีโรงเรียนสำหรับบุตรหลานของแต่ละเหล่าทัพ และหน่วยราชการที่พยายามเลียนแบบก็คือกรมตำรวจในสมัยนั้น ในยุคนี้ประเทศไทยจึงอยู่ภายใต้การปกครองแบบอำมาตยาธิปไตย และข้าราชการไทยก็มีฐานะเป็น อำมาตยาธิปัตย์
ช่วงที่สาม ยุคขององคกราธิปไตย หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ปี 2516 บทบาทของอำมาตยาธิปัตย์ก็ยังคงมีอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยครึ่งใบ และในความเป็นจริงกลับมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามที่จะกลับมาสู่การมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 แต่หลังจากพฤษภาทมิฬ (17-20 พฤษภาคม 2535) ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อำนาจของเหล่าข้าราชการทหารและพลเรือนก็ลดน้อยลง มาแสดงบทบาทอีกครั้งหนึ่งหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประชาธิปไตยและความตื่นตัวทางการเมืองได้ก้าวมาถึงจุดที่อำมาตยาธิปัตย์ทั้งทหารและพลเรือนไม่สามารถแสดงบทบาทได้เหมือนก่อน และมีแนวโน้มว่าสถานะและบทบาทจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผู้ซึ่งอยู่ในกรอบของจรรยาชีพ (professionalism) กลายเป็น organization personnel หรือองคกราธิปัตย์ภายใต้การปกครองบริหารโดยองคกราธิปไตย (bureaucracy)
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง บทบาททางการเมืองจะอยู่ที่ประชาชนและผู้ได้รับการเลือกตั้งภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ส่วนบทบาทในการบริหารโดยใช้ความรู้ความชำนาญการอยู่ภายใต้องคกราธิปไตยสาธารณะ (public bureaucracy)
แต่ที่ยังค้างอยู่ก็คือ การที่ข้าราชการจำนวนหนึ่งไม่สามารถจะสลัดทิ้งซึ่งค่านิยมและบุคลิกของขุนนางภายใต้ระบบศักดินา และอำนาจราชศักดิ์ของอำมาตยาธิปัตย์ จึงเกิดคำถามจากข้าราชการบางคนว่า การแบ่งการบริหารออกมาเป็นแท่งๆ เช่น ที่กระทรวงศึกษาธิการ และการไม่มีการกำหนดซีจะส่งผลอย่างไรต่อ เครื่องแบบและเครื่องราชอิสริยาภรณ์
คำถามเหล่านี้ก็สะท้อนถึงความยากลำบากในการปรับตัวของคนที่ทำงานในฐานะผู้บริหารภาครัฐ แต่การคาดหวังของข้าราชการบางคนที่จะกลับไปสู่สถานภาพแบบเดิมคงจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์ที่ยึดถือหลักสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคระหว่างประชาชน และการบริหารที่ยึดหลักความรู้ ความสามารถ การรับใช้ประชาชน และการบริการสังคมเป็นเกณฑ์