ชาวพันธมิตรฯ ตื่นตัวและรวมตัวกันเข้าได้เร็วเพราะการจุดเทียนปัญญาของแกนนำ อำนาจปัญญาอันเกิดจากความรู้ทันระบอบทักษิณ ทำให้สามารถต่อสู้เอาชนะอำนาจในระบอบทักษิณได้เป็นขั้นๆ
กระนั้น ระบอบทักษิณเป็นเพียงด่านแรกของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยการล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ ซึ่งในทุกขั้นตอน กลุ่มอำนาจทั้งเก่าและใหม่จะหาทางสกัดกั้น ขัดขวาง ทำลาย ทุกรูปแบบ ทั้งแจ้งและมืด ทั้งตรงและอ้อม เช่นใช้ข้อกฎหมายกลั่นแกล้ง (แจ้งข้อหาร้ายแรงต่อแกนนำ) ใช้อาวุธข่มขู่ทำร้าย (ยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุม และรุมยิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นต้น) จำเป็นที่เราจะต้องสร้างเสริมความเข้มแข็งให้แก่ตนเองในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางความคิดและทางจัดตั้ง
ทางความคิด คือจุดเทียนปัญญาและติดอาวุธความคิดทฤษฎี
ทางจัดตั้ง คือก่อตั้งสภาฯ พันธมิตรฯ และสาขาพรรคการเมืองใหม่
ทางความคิด การจุดเทียนปัญญาเป็นสิ่งที่ชาวพันธมิตรฯ คุ้นเคยและตระหนักในความสำคัญเป็นอย่างดี ส่วนการติดอาวุธความคิดทฤษฎี เป็นกระบวนการต่อเนื่องของการจุดเทียนปัญญา
การจุดเทียนปัญญา มุ่งนำเสนอความจริง ทำความจริงให้ปรากฏ ทำความมืดให้สว่าง เกิดปัญญารู้ทัน เช่น การเปิดโปงถึงความชั่วร้ายในด้านต่างๆ ของระบอบทักษิณ ทำให้คนไทยหูตาสว่าง ตื่นตัว พร้อมร่วมทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น
การติดอาวุธความคิดทฤษฎี ตั้งอยู่ฐานการจุดเทียนปัญญา ผู้ที่ตื่นตัว เข้าร่วมขบวนการการเมืองภาคประชาชน ประกาศตัวเป็นพันธมิตรฯ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ นอกจากต้องหูตาสว่าง รู้ทันเล่ห์กลของนักการเมืองน้ำเน่าทั้งในและนอกระบอบทักษิณแล้ว ยังต้องยกระดับความคิด ความรู้ความเข้าใจของตนให้สูงขึ้น สามารถมองเห็นทิศทาง เป้าหมายที่จะต้องบรรลุ และจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปให้ถึง เกิดวิสัยทัศน์และทัศนคติใหม่ๆ ที่จะส่งเสริมให้ตนเองพร้อมยิ่งขึ้นสำหรับการปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทย
การติดอาวุธความคิดทฤษฎีของชาวพันธมิตรฯ ในความเข้าใจของผู้เขียน ก็คือการติดอาวุธ “ปัญญาแกนพันธมิตรฯ” (ดูบทความประจำวันที่ 23 มิ.ย.52 ในเว็บไซต์ผู้จัดการ หรือบทความประจำวันที่ 24 มิ.ย.52 ในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี/ผู้จัดการ)
ปัญญาแกนพันธมิตรฯ ประกอบด้วย “จิตใจ” “อุดมการณ์” และ “ท่วงทำนอง”
“จิตใจ” -- เสียสละ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ อดทน
“อุดมการณ์” -- สร้างการเมืองใหม่ สร้างสังคมอุดมธรรม
“ท่วงทำนอง” -- ไม่ตัดอดีต ไม่จำนนปัจจุบัน ยึดมั่นอนาคต
“จิตใจ” คือตัวฐานที่ชาวพันธมิตรฯ ต้องเสริมสร้างให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชาวพันธมิตรฯ ในห้วงการต่อสู้ 193 วัน ที่เราต้องเผชิญกับการบีบคั้น กลั่นแกล้ง และทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บจำนวนมาก แต่เราก็สามารถยืนหยัดและฟันฝ่ามาได้ด้วยชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
ปัจจุบัน จิตใจดังกล่าวของชาวพันธมิตรฯ มีปรากฏอยู่ทั่วไป พันธมิตรฯ ทั้งเก่าและใหม่ต่างถือเอาสิ่งนี้เป็นมาตรฐานเรียกร้องตัวเอง เพื่อทำให้ตนเองมีความเป็น “ชาวพันธมิตรฯ” ที่แท้จริง
เมื่อมีจิตใจซึ่งเป็นตัวฐานมั่นคง การเสริมสร้างปัญญาในระดับสูงขึ้นไปก็ทำได้ง่าย พร้อมจะติดอาวุธความคิดทฤษฎีที่มีความเป็นระบบยิ่งขึ้น
“อุดมการณ์” คือผลสรุปขององค์ความรู้ ปัญญา ที่มีต่อสิ่งต่างๆ ที่กำลังเป็นไปในประเทศไทยและทั้งโลก เป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าถึงต้นตอของปัญหาที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ เช่น มองเห็นว่า ต้นตอของปัญหาประเทศไทยคือการเมืองน้ำเน่า ในระบบการเมืองแบบเก่า ทางออกของปัญหาคือการล้างการเมืองน้ำเน่า สร้างระบบการเมืองแบบใหม่
ปัจจุบัน พันธมิตรฯ มีอุดมการณ์เบื้องต้นคือสร้างการเมืองใหม่ ด้วยหลักยึดเบื้องต้นดังนี้
1. “การเมืองใหม่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการต่อสู้ของเราเอง โดย “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” ทำการ “สร้างอำนาจประชาชน” ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของปัญญา
2. อำนาจประชาชน ซึ่งเป็นอำนาจปัญญา ในความหมายของการเมืองใหม่ ก็คืออำนาจกำหนดจากเบื้องล่าง ทำหน้าที่กำกับการใช้อำนาจเบื้องบน
อีกนัยหนึ่ง หัวใจของการเมืองใหม่ที่เราจะสร้างขึ้นนี้ ก็คือระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน ที่อำนาจมวลมหาชนเบื้องล่างจะเป็นตัวกำหนดการใช้อำนาจเบื้องบน
3. ยิ่งกว่านั้น ระบบประชาธิปไตยมวลมหาชนนี้ จะทำหน้าที่เป็น “องค์ธรรมแกน” ของสังคมอุดมธรรม ที่มวลมหาชนชาวไทยจะร่วมกันสร้างขึ้นในอนาคตด้วย
การที่ชาวพันธมิตรฯ มีอุดมการณ์ เกิดวิสัยทัศน์และทัศนคติที่ถูกต้อง ก็เพราะได้ใช้วิธีคิดวิธีทำงานที่ถูกต้อง นั่นคือมี “ท่วงทำนอง” ในการคิดและทำงานที่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง เอาธรรมนำหน้า มุ่งแสวงหาสัจธรรมจากความเป็นจริง ไม่คิดไม่ทำอะไรที่เหินห่างจากความเป็นจริง ไม่ยึดติดอัตตา ไม่บูชาตำรา ไม่บ้าคัมภีร์
อีกนัยหนึ่งก็คือ เชื่อมั่นในสิ่งรู้และเข้าใจในระหว่างการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เชื่อมั่นในอัจฉริยภาพของมวลชน เชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่ของอำนาจมวลมหาชน
“ท่วงทำนอง” วิธีคิดวิธีทำงานของชาวพันธมิตรฯ ประกอบด้วย 1. ไม่ตัดอดีต 2. ไม่จำนนปัจจุบัน 3. ยึดมั่นอนาคต
1. ไม่ตัดอดีต
หมายถึงการมองเห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทางธรรมชาติ ทางสังคม และทางความคิด คือต้องมองเห็นกระบวนการของความเป็นไปตั้งแต่ต้นจนจบ มองเห็นเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละกระบวนการเล็กภายในกระบวนการใหญ่ทั้งหมด และมองเห็นตัวแปรหลักที่คอยกำกับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละกระบวนการตั้งแต่ต้นจนปลาย
วิธีการมองโลกเช่นนี้ จะทำให้เราเข้าถึงเหตุแห่งปัญหา หรือเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง หรือกฎเกณฑ์การพัฒนาของสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุด สามารถมองเห็นสิ่งดีที่สืบต่อกันมา และมองเห็นสิ่งเลวที่คอยขัดขวางทำลายกระบวนการพัฒนาของสิ่งดีนั้น
ด้วยท่วงทำนองดังกล่าว ทำให้เรารู้จักแยกแยะสิ่งดีออกจากสิ่งเลว นำเอาสิ่งที่ดีในอดีตมาปรับใช้กับสิ่งที่เราประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในปัจจุบัน ไม่ปฏิเสธอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษ
เช่นการนำระบบธรรมาธิปไตยในยุคศักดินา ระบบเสรีประชาธิปไตยของสังคมทุนนิยม และระบบประชาธิปไตยประชาชนของสังคมนิยมเอกลักษณ์จีน มาปรับใช้ในระบบประชาธิปไตยมวลมหาชนที่เราชาวพันธมิตรฯ กำลังสร้างขึ้น (ตามแนวคิดสร้างสังคมอุดมธรรม)
กระนั้น ระบอบทักษิณเป็นเพียงด่านแรกของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยการล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ ซึ่งในทุกขั้นตอน กลุ่มอำนาจทั้งเก่าและใหม่จะหาทางสกัดกั้น ขัดขวาง ทำลาย ทุกรูปแบบ ทั้งแจ้งและมืด ทั้งตรงและอ้อม เช่นใช้ข้อกฎหมายกลั่นแกล้ง (แจ้งข้อหาร้ายแรงต่อแกนนำ) ใช้อาวุธข่มขู่ทำร้าย (ยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุม และรุมยิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นต้น) จำเป็นที่เราจะต้องสร้างเสริมความเข้มแข็งให้แก่ตนเองในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางความคิดและทางจัดตั้ง
ทางความคิด คือจุดเทียนปัญญาและติดอาวุธความคิดทฤษฎี
ทางจัดตั้ง คือก่อตั้งสภาฯ พันธมิตรฯ และสาขาพรรคการเมืองใหม่
ทางความคิด การจุดเทียนปัญญาเป็นสิ่งที่ชาวพันธมิตรฯ คุ้นเคยและตระหนักในความสำคัญเป็นอย่างดี ส่วนการติดอาวุธความคิดทฤษฎี เป็นกระบวนการต่อเนื่องของการจุดเทียนปัญญา
การจุดเทียนปัญญา มุ่งนำเสนอความจริง ทำความจริงให้ปรากฏ ทำความมืดให้สว่าง เกิดปัญญารู้ทัน เช่น การเปิดโปงถึงความชั่วร้ายในด้านต่างๆ ของระบอบทักษิณ ทำให้คนไทยหูตาสว่าง ตื่นตัว พร้อมร่วมทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น
การติดอาวุธความคิดทฤษฎี ตั้งอยู่ฐานการจุดเทียนปัญญา ผู้ที่ตื่นตัว เข้าร่วมขบวนการการเมืองภาคประชาชน ประกาศตัวเป็นพันธมิตรฯ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ นอกจากต้องหูตาสว่าง รู้ทันเล่ห์กลของนักการเมืองน้ำเน่าทั้งในและนอกระบอบทักษิณแล้ว ยังต้องยกระดับความคิด ความรู้ความเข้าใจของตนให้สูงขึ้น สามารถมองเห็นทิศทาง เป้าหมายที่จะต้องบรรลุ และจุดหมายปลายทางที่จะต้องไปให้ถึง เกิดวิสัยทัศน์และทัศนคติใหม่ๆ ที่จะส่งเสริมให้ตนเองพร้อมยิ่งขึ้นสำหรับการปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทย
การติดอาวุธความคิดทฤษฎีของชาวพันธมิตรฯ ในความเข้าใจของผู้เขียน ก็คือการติดอาวุธ “ปัญญาแกนพันธมิตรฯ” (ดูบทความประจำวันที่ 23 มิ.ย.52 ในเว็บไซต์ผู้จัดการ หรือบทความประจำวันที่ 24 มิ.ย.52 ในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี/ผู้จัดการ)
ปัญญาแกนพันธมิตรฯ ประกอบด้วย “จิตใจ” “อุดมการณ์” และ “ท่วงทำนอง”
“จิตใจ” -- เสียสละ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ อดทน
“อุดมการณ์” -- สร้างการเมืองใหม่ สร้างสังคมอุดมธรรม
“ท่วงทำนอง” -- ไม่ตัดอดีต ไม่จำนนปัจจุบัน ยึดมั่นอนาคต
“จิตใจ” คือตัวฐานที่ชาวพันธมิตรฯ ต้องเสริมสร้างให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชาวพันธมิตรฯ ในห้วงการต่อสู้ 193 วัน ที่เราต้องเผชิญกับการบีบคั้น กลั่นแกล้ง และทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บจำนวนมาก แต่เราก็สามารถยืนหยัดและฟันฝ่ามาได้ด้วยชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
ปัจจุบัน จิตใจดังกล่าวของชาวพันธมิตรฯ มีปรากฏอยู่ทั่วไป พันธมิตรฯ ทั้งเก่าและใหม่ต่างถือเอาสิ่งนี้เป็นมาตรฐานเรียกร้องตัวเอง เพื่อทำให้ตนเองมีความเป็น “ชาวพันธมิตรฯ” ที่แท้จริง
เมื่อมีจิตใจซึ่งเป็นตัวฐานมั่นคง การเสริมสร้างปัญญาในระดับสูงขึ้นไปก็ทำได้ง่าย พร้อมจะติดอาวุธความคิดทฤษฎีที่มีความเป็นระบบยิ่งขึ้น
“อุดมการณ์” คือผลสรุปขององค์ความรู้ ปัญญา ที่มีต่อสิ่งต่างๆ ที่กำลังเป็นไปในประเทศไทยและทั้งโลก เป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าถึงต้นตอของปัญหาที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ เช่น มองเห็นว่า ต้นตอของปัญหาประเทศไทยคือการเมืองน้ำเน่า ในระบบการเมืองแบบเก่า ทางออกของปัญหาคือการล้างการเมืองน้ำเน่า สร้างระบบการเมืองแบบใหม่
ปัจจุบัน พันธมิตรฯ มีอุดมการณ์เบื้องต้นคือสร้างการเมืองใหม่ ด้วยหลักยึดเบื้องต้นดังนี้
1. “การเมืองใหม่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการต่อสู้ของเราเอง โดย “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” ทำการ “สร้างอำนาจประชาชน” ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของปัญญา
2. อำนาจประชาชน ซึ่งเป็นอำนาจปัญญา ในความหมายของการเมืองใหม่ ก็คืออำนาจกำหนดจากเบื้องล่าง ทำหน้าที่กำกับการใช้อำนาจเบื้องบน
อีกนัยหนึ่ง หัวใจของการเมืองใหม่ที่เราจะสร้างขึ้นนี้ ก็คือระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน ที่อำนาจมวลมหาชนเบื้องล่างจะเป็นตัวกำหนดการใช้อำนาจเบื้องบน
3. ยิ่งกว่านั้น ระบบประชาธิปไตยมวลมหาชนนี้ จะทำหน้าที่เป็น “องค์ธรรมแกน” ของสังคมอุดมธรรม ที่มวลมหาชนชาวไทยจะร่วมกันสร้างขึ้นในอนาคตด้วย
การที่ชาวพันธมิตรฯ มีอุดมการณ์ เกิดวิสัยทัศน์และทัศนคติที่ถูกต้อง ก็เพราะได้ใช้วิธีคิดวิธีทำงานที่ถูกต้อง นั่นคือมี “ท่วงทำนอง” ในการคิดและทำงานที่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง เอาธรรมนำหน้า มุ่งแสวงหาสัจธรรมจากความเป็นจริง ไม่คิดไม่ทำอะไรที่เหินห่างจากความเป็นจริง ไม่ยึดติดอัตตา ไม่บูชาตำรา ไม่บ้าคัมภีร์
อีกนัยหนึ่งก็คือ เชื่อมั่นในสิ่งรู้และเข้าใจในระหว่างการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เชื่อมั่นในอัจฉริยภาพของมวลชน เชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่ของอำนาจมวลมหาชน
“ท่วงทำนอง” วิธีคิดวิธีทำงานของชาวพันธมิตรฯ ประกอบด้วย 1. ไม่ตัดอดีต 2. ไม่จำนนปัจจุบัน 3. ยึดมั่นอนาคต
1. ไม่ตัดอดีต
หมายถึงการมองเห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทางธรรมชาติ ทางสังคม และทางความคิด คือต้องมองเห็นกระบวนการของความเป็นไปตั้งแต่ต้นจนจบ มองเห็นเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละกระบวนการเล็กภายในกระบวนการใหญ่ทั้งหมด และมองเห็นตัวแปรหลักที่คอยกำกับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละกระบวนการตั้งแต่ต้นจนปลาย
วิธีการมองโลกเช่นนี้ จะทำให้เราเข้าถึงเหตุแห่งปัญหา หรือเหตุปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง หรือกฎเกณฑ์การพัฒนาของสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุด สามารถมองเห็นสิ่งดีที่สืบต่อกันมา และมองเห็นสิ่งเลวที่คอยขัดขวางทำลายกระบวนการพัฒนาของสิ่งดีนั้น
ด้วยท่วงทำนองดังกล่าว ทำให้เรารู้จักแยกแยะสิ่งดีออกจากสิ่งเลว นำเอาสิ่งที่ดีในอดีตมาปรับใช้กับสิ่งที่เราประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในปัจจุบัน ไม่ปฏิเสธอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษ
เช่นการนำระบบธรรมาธิปไตยในยุคศักดินา ระบบเสรีประชาธิปไตยของสังคมทุนนิยม และระบบประชาธิปไตยประชาชนของสังคมนิยมเอกลักษณ์จีน มาปรับใช้ในระบบประชาธิปไตยมวลมหาชนที่เราชาวพันธมิตรฯ กำลังสร้างขึ้น (ตามแนวคิดสร้างสังคมอุดมธรรม)