ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสดในการประชุมสภา วานนี้ (20 ส.ค.) ต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อง ปัญหาการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การที่นายกฯได้มีคำสั่งแต่งตั้งรักษาราชการแทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร.และกำลังจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสูง ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและสร้างความสับสนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการที่ตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา (สบ.10) รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ไม่เคยมีธรรมเนียมปฎิบัติมาก่อน เพราะการตั้งรักษาการแทนต้องมีระดับอาวุโสเป็นสำคัญ ซึ่งพล.ต.อ.วิเชียร เป็นที่ปรึกษา ถึงจะครองยศพล.ต.อ.ก็จริง แต่ถือว่ายังไม่เข้าข่ายอาวุโสถึงแม้การกระทำอย่างนี้จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย แต่ในฐานะนายกฯที่เป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แบบนี้เป็นลักษณะของบ้าอำนาจ นอกจากนี้การตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร แทน พล.ต.อ.พัชรวาท ในระหว่างที่ลงไปปฎิบัติราชการในภาคใต้ ถือเป็นการทำให้มีผบ.ตร.สองคน
ร.ตอ.เฉลิม กล่าวว่า นายกฯมีการกระทำที่ส่อว่าเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ ม. 195 วรรค 2 ที่ระบุว่ากฎหมายที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว หรือ ถือเสมือนหนึ่งว่า ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยพลัน แต่มีปัญหาทำไมนายกฯมีการชะลอการบังคับใช้ พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 ทั้งๆ ที่ต้องมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ส.ค. และพล.ต.อ.วิเชียร ได้ทำหนังสือมาถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อขอเลื่อนการบังคับใช้ออกไปเป็นเดือน ก.ย.แทนแบบนี้นักเลงตำรวจเรียกว่าจัดโผไม่ลงตัว ขณะเดียวกันมีการให้สัมภาษณ์ของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ออกมา กล่าวหาว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกัน โดยคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจในสตช. หรือที่คนในสตช. เรียกกันว่า อีจ่อย
ถ้านายอภิสิทธิ์ยังเป็นนายกฯถึงเดือนมกราคมปีหน้า ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและจะยื่นเรื่องต่อวุฒิสภาในเรื่องนี้เพื่อถอดถอน นายอภิสิทธิ์ด้วยเพราะเห็นว่านายกฯได้มีการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
ด้านนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรือระเบียบต่างๆ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มีบทบัญญัติเรื่องการรักษาราชการแทนตาม ม. 72 ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจของนายกฯ การแต่งตั้งไม่ได้จำกัดเฉพาะการเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น เพราะถ้าเกิดกรณีที่ ผบ.ตร.เดินทางไปปฎิบัติราชการและอาจจะก่อสร้างผลกระทบต่อการบริหารงาน ของ สตช. ก็ให้อำนาจนายกฯในการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.เช่นกัน ส่วนเรื่องการแต่งตั้งตามอาวุโสนั้นในมาตรา 72 วรรค 2 ระบุว่าให้อำนาจแต่งตั้งโดยไม่จำเป็นต้องเรียง อำนาจตามอาวุโส จึงเห็นว่าการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.ไม่ได้ขัดหลักนิติรัฐนิติธรรมแต่อย่างใด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในอดีตอย่างน้อยมีนายกฯ 2 คนคือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ซึ่งเป็น สบ.10 รักษาราชการ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยแต่งตั้ง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส สบ.10 จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นรักษาการแทน และ เช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ก็ไม่มีใครว่าเป็นการดำเนินการ ที่ลุแก่อำนาจแต่อย่างใด ส่วนที่รองนายกฯ(สุเทพ เทือกสุบรรณ) มีคำสั่งให้พล.ต.อ.พัชรวาท ไปปฏิบัติราชการใน3 จังหวัดภาคใต้ ก็ร่วมลงไปในพื้นที่ด้วย ผิดกับบางคนที่ดำรงตำแหน่ง แต่ไม่เคยลงไปถึง3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย มาถึงแค่สงขลา
ยอมรับว่าได้มีการเชิญพล.ต.อ.พัชรวาท เข้าไปพบจริงแต่ก็ไม่ได้เป็นการ แสดงให้เห็นถึงความบ้าอำนาจตามที่กล่าวหา เพราะผมเองมีนโยบายที่ชัดเจนแล้วว่า จะไม่แทรกแซงการทำคดีความของพนักงานสอบสวน นายกฯเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐบาล หน้าที่สำคัญ คือ การรักษากฎหมายเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เอาสำนวนมาด รัฐบาลมีหน้าที่ต้องให้ความ เป็นธรรมและบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะคดีของนายสนธิ ลิ้มทองกุลเท่านั้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเรียก พล.ต.อ.พัชรวาทมาไม่ใช่การเอาสำนวนมาดู แต่เพียงสอบถามปัญหาในการทำงานเท่านั้นและแก้ปัญหาด้วยการใช้หลักการบริหาร ในการแลกเปลี่ยนความเห็น สุดท้ายพล.ต.อ.พัชรวาทเสนอว่าเพื่อให้เกิดความสบายใจ ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศเพราะมีภารกิจอยู่แล้ว จากนั้นมาคดีก็เดินหน้าต่อไปได้ เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าพล.ต.อ.พัชรวาทเป็นปัญหาแต่เป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น
ผมไม่ได้บ้าอำนาจหรือลุแก่อำนาจ เพียงแต่เป็นการพยายามบังคับใช้กฎหมาย ให้เป็นธรรม ผมทำงานมาตลอดไม่น้อยกว่าคนที่เคยมานั่งนายกฯ ก่อนหน้านี้ ผมเอาเวลาไปพบปะปัญหากับประชาชน ไม่ใช่เอาเวลาไปดื่มไวน์เล่นกอล์ฟ หรือทำธุรกิจเพื่อหาผลประโยชน์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการประกาศโครงสร้างสตช. ใหม่ ที่ล่าช้านั้นเดิมได้มีการประสานเป็นการภายในระหว่างสตช.กับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 15 ส.ค.และให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ส.ค. แต่ก็มีปัญหาในทางปฎิบัติในเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการตามโครงสร้าง สตช.ใหม่ว่าต้องมีการประกาศโครงสร้างสตช.ใหม่ ก่อนแล้วค่อยจัดบุคคลมาลงในตำแหน่ง หรือ จะแต่งตั้งโยกย้ายบุคคลก่อนที่มีการประกาศใช้โครงสร้าง สตช.ใหม่ และยังมีบุคคลที่ไม่เข้าข่ายและต้องได้รับการยกเว้น ในการดำรงตำแหน่งที่ต้องขออนุมัติจากที่ประชุม ก.ตร.เป็นเฉพาะรายไปประมาณพันกว่าคนทำให้มีความจำเป็นต้องขยายเวลาการประกาศโครงสร้างสตช.ใหม่ออกไป
หากฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายก็ยื่นมาได้เลย เพราะรัฐบาลจะได้เตรียมตัวและหาข้อมูลมาชี้แจง
ขณะที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิ์พาดพิงชี้แจงว่า ที่จำเป็นต้องออกมาชี้แจงเพราะมีความพยายามป้ายสีฝ่ายการเมืองว่าล้วงโผตำรวจ แต่ขณะนี้โผตำรวจระดับนายพันยังไม่แล้วเสร็จ ถ้าฝ่ายการเมืองจะล้วงลูกจริงก็ควรจะให้เสร็จก่อนจึงจะออกมาโวยวาย
การที่ร.ต.อ.เฉลิมออกมาเอ่ยชื่อ อีจ่อย อยากถามว่า เคยใช้บริการคนๆ นี้หรือไม่ เพราะผมไม่เคยใช้บริการแน่นอน และเรื่องนี้มีความพยายามปลอมลายเซ็น ของผมโดยมีนามบัตรและเซ็นชื่อผมเป็นภาษาไทย แต่จริงๆแล้วลายเซ็นของผม เป็นภาษาอังกฤษมาตลอด ถ้ารู้จักอีจ่อย จริง ฝากไปบอกด้วยว่าถาจะปลอมลายเซ็นก็ให้เป็นภาษาอังกฤษ
ด้านร.ต.อ.เฉลิม กล่าวตอบโต้ว่า ตนไม่เคยใช้บริการอีจ่อย เพราะเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว
ทั้งนี้ก่อนการประชุมสภาฯ นายศิริโชค โสภา ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่า ลายเซ็นบนนามบัตรที่ตำรวจระบุว่าขอตำแหน่งในการโยกย้ายตำาวจ โดยระบุว่า เป็นวิชามารของโจรในเครื่องแบบ เพราะเป็นการปลอมลายเซ็น เนื่องจากลายเซ็นของตนจะเป็นภาษาอังกฤษ จึงถือเป็นการทำลายและดีสเครดิตฝ่ายการเมืองที่นำมาปล่อยข่าวช่วงแต่งตั้ง ผบ.ตร.
เรื่องนี้ได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบเมื่อสองสัปดาห์ ที่ผ่านมา ซึ่งเราทราบดี ว่าโจรในเครื่องแบบนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เราก็รู้ตัวแล้ว เพียงแต่รู้ในเชิงการสอบสวน ยืนยันว่าจะเดินหน้าพยายามเปิดโฉมตำรวจคนนี้ให้ได้ เพราะได้ทำความเสียหายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ไว้เยอะ ได้มีการ ฉ้อโกงหลายโครงการ ซึ่งยังอยู่ในขั้นรวบรวมหลักฐาน ผมไม่กลัวโจรในเครื่องแบบ บ้านเมืองต้องมีคำว่านิติรัฐ เราไม่กลัวอิทธิพล ของโจรในเครื่องแบบ อะไรที่ผิดต้องเดินหน้าตรวจสอบ เราก็ต้องสู้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการให้สัมภาษณ์ นายศิริโชค ได้โชว์นามบัตรส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำ โดยมีตราสภาผู้แทนราษฎร ด้านหนึ่งเป็นภาษาไทยและอีกด้านหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากที่ทางตำรวจนำมาเปิดเผย พร้อมกันนี้ยังได้นำพาสปอร์ต และเอกสารการเบิกจ่ายเงินกับทางธนาคาร ซึ่งเป็นลายเซ็นภาษาอังกฤษ โดยนายศิริโชคระบุว่าเป็นลายเซ็นที่ใช้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เพราะภาษาไทยตนเขียนเหมือนไก่เขี่ย ก็ขอฝากไปถึงโจรในเครื่องแบบ ด้วยว่า วันหลังถ้าจะปลอมเอกสารหรือลายซ็นตนก็ขอให้ดูเอกสารเหล่านี้ด้วย
ร.ตอ.เฉลิม กล่าวว่า นายกฯมีการกระทำที่ส่อว่าเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ ม. 195 วรรค 2 ที่ระบุว่ากฎหมายที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว หรือ ถือเสมือนหนึ่งว่า ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยพลัน แต่มีปัญหาทำไมนายกฯมีการชะลอการบังคับใช้ พ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 ทั้งๆ ที่ต้องมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ส.ค. และพล.ต.อ.วิเชียร ได้ทำหนังสือมาถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อขอเลื่อนการบังคับใช้ออกไปเป็นเดือน ก.ย.แทนแบบนี้นักเลงตำรวจเรียกว่าจัดโผไม่ลงตัว ขณะเดียวกันมีการให้สัมภาษณ์ของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ออกมา กล่าวหาว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกัน โดยคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจในสตช. หรือที่คนในสตช. เรียกกันว่า อีจ่อย
ถ้านายอภิสิทธิ์ยังเป็นนายกฯถึงเดือนมกราคมปีหน้า ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและจะยื่นเรื่องต่อวุฒิสภาในเรื่องนี้เพื่อถอดถอน นายอภิสิทธิ์ด้วยเพราะเห็นว่านายกฯได้มีการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
ด้านนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรือระเบียบต่างๆ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มีบทบัญญัติเรื่องการรักษาราชการแทนตาม ม. 72 ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจของนายกฯ การแต่งตั้งไม่ได้จำกัดเฉพาะการเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น เพราะถ้าเกิดกรณีที่ ผบ.ตร.เดินทางไปปฎิบัติราชการและอาจจะก่อสร้างผลกระทบต่อการบริหารงาน ของ สตช. ก็ให้อำนาจนายกฯในการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.เช่นกัน ส่วนเรื่องการแต่งตั้งตามอาวุโสนั้นในมาตรา 72 วรรค 2 ระบุว่าให้อำนาจแต่งตั้งโดยไม่จำเป็นต้องเรียง อำนาจตามอาวุโส จึงเห็นว่าการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.ไม่ได้ขัดหลักนิติรัฐนิติธรรมแต่อย่างใด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในอดีตอย่างน้อยมีนายกฯ 2 คนคือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ซึ่งเป็น สบ.10 รักษาราชการ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยแต่งตั้ง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส สบ.10 จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นรักษาการแทน และ เช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ก็ไม่มีใครว่าเป็นการดำเนินการ ที่ลุแก่อำนาจแต่อย่างใด ส่วนที่รองนายกฯ(สุเทพ เทือกสุบรรณ) มีคำสั่งให้พล.ต.อ.พัชรวาท ไปปฏิบัติราชการใน3 จังหวัดภาคใต้ ก็ร่วมลงไปในพื้นที่ด้วย ผิดกับบางคนที่ดำรงตำแหน่ง แต่ไม่เคยลงไปถึง3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย มาถึงแค่สงขลา
ยอมรับว่าได้มีการเชิญพล.ต.อ.พัชรวาท เข้าไปพบจริงแต่ก็ไม่ได้เป็นการ แสดงให้เห็นถึงความบ้าอำนาจตามที่กล่าวหา เพราะผมเองมีนโยบายที่ชัดเจนแล้วว่า จะไม่แทรกแซงการทำคดีความของพนักงานสอบสวน นายกฯเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐบาล หน้าที่สำคัญ คือ การรักษากฎหมายเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เอาสำนวนมาด รัฐบาลมีหน้าที่ต้องให้ความ เป็นธรรมและบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะคดีของนายสนธิ ลิ้มทองกุลเท่านั้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเรียก พล.ต.อ.พัชรวาทมาไม่ใช่การเอาสำนวนมาดู แต่เพียงสอบถามปัญหาในการทำงานเท่านั้นและแก้ปัญหาด้วยการใช้หลักการบริหาร ในการแลกเปลี่ยนความเห็น สุดท้ายพล.ต.อ.พัชรวาทเสนอว่าเพื่อให้เกิดความสบายใจ ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศเพราะมีภารกิจอยู่แล้ว จากนั้นมาคดีก็เดินหน้าต่อไปได้ เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าพล.ต.อ.พัชรวาทเป็นปัญหาแต่เป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น
ผมไม่ได้บ้าอำนาจหรือลุแก่อำนาจ เพียงแต่เป็นการพยายามบังคับใช้กฎหมาย ให้เป็นธรรม ผมทำงานมาตลอดไม่น้อยกว่าคนที่เคยมานั่งนายกฯ ก่อนหน้านี้ ผมเอาเวลาไปพบปะปัญหากับประชาชน ไม่ใช่เอาเวลาไปดื่มไวน์เล่นกอล์ฟ หรือทำธุรกิจเพื่อหาผลประโยชน์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการประกาศโครงสร้างสตช. ใหม่ ที่ล่าช้านั้นเดิมได้มีการประสานเป็นการภายในระหว่างสตช.กับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 15 ส.ค.และให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ส.ค. แต่ก็มีปัญหาในทางปฎิบัติในเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการตามโครงสร้าง สตช.ใหม่ว่าต้องมีการประกาศโครงสร้างสตช.ใหม่ ก่อนแล้วค่อยจัดบุคคลมาลงในตำแหน่ง หรือ จะแต่งตั้งโยกย้ายบุคคลก่อนที่มีการประกาศใช้โครงสร้าง สตช.ใหม่ และยังมีบุคคลที่ไม่เข้าข่ายและต้องได้รับการยกเว้น ในการดำรงตำแหน่งที่ต้องขออนุมัติจากที่ประชุม ก.ตร.เป็นเฉพาะรายไปประมาณพันกว่าคนทำให้มีความจำเป็นต้องขยายเวลาการประกาศโครงสร้างสตช.ใหม่ออกไป
หากฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายก็ยื่นมาได้เลย เพราะรัฐบาลจะได้เตรียมตัวและหาข้อมูลมาชี้แจง
ขณะที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิ์พาดพิงชี้แจงว่า ที่จำเป็นต้องออกมาชี้แจงเพราะมีความพยายามป้ายสีฝ่ายการเมืองว่าล้วงโผตำรวจ แต่ขณะนี้โผตำรวจระดับนายพันยังไม่แล้วเสร็จ ถ้าฝ่ายการเมืองจะล้วงลูกจริงก็ควรจะให้เสร็จก่อนจึงจะออกมาโวยวาย
การที่ร.ต.อ.เฉลิมออกมาเอ่ยชื่อ อีจ่อย อยากถามว่า เคยใช้บริการคนๆ นี้หรือไม่ เพราะผมไม่เคยใช้บริการแน่นอน และเรื่องนี้มีความพยายามปลอมลายเซ็น ของผมโดยมีนามบัตรและเซ็นชื่อผมเป็นภาษาไทย แต่จริงๆแล้วลายเซ็นของผม เป็นภาษาอังกฤษมาตลอด ถ้ารู้จักอีจ่อย จริง ฝากไปบอกด้วยว่าถาจะปลอมลายเซ็นก็ให้เป็นภาษาอังกฤษ
ด้านร.ต.อ.เฉลิม กล่าวตอบโต้ว่า ตนไม่เคยใช้บริการอีจ่อย เพราะเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว
ทั้งนี้ก่อนการประชุมสภาฯ นายศิริโชค โสภา ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่า ลายเซ็นบนนามบัตรที่ตำรวจระบุว่าขอตำแหน่งในการโยกย้ายตำาวจ โดยระบุว่า เป็นวิชามารของโจรในเครื่องแบบ เพราะเป็นการปลอมลายเซ็น เนื่องจากลายเซ็นของตนจะเป็นภาษาอังกฤษ จึงถือเป็นการทำลายและดีสเครดิตฝ่ายการเมืองที่นำมาปล่อยข่าวช่วงแต่งตั้ง ผบ.ตร.
เรื่องนี้ได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบเมื่อสองสัปดาห์ ที่ผ่านมา ซึ่งเราทราบดี ว่าโจรในเครื่องแบบนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เราก็รู้ตัวแล้ว เพียงแต่รู้ในเชิงการสอบสวน ยืนยันว่าจะเดินหน้าพยายามเปิดโฉมตำรวจคนนี้ให้ได้ เพราะได้ทำความเสียหายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ไว้เยอะ ได้มีการ ฉ้อโกงหลายโครงการ ซึ่งยังอยู่ในขั้นรวบรวมหลักฐาน ผมไม่กลัวโจรในเครื่องแบบ บ้านเมืองต้องมีคำว่านิติรัฐ เราไม่กลัวอิทธิพล ของโจรในเครื่องแบบ อะไรที่ผิดต้องเดินหน้าตรวจสอบ เราก็ต้องสู้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการให้สัมภาษณ์ นายศิริโชค ได้โชว์นามบัตรส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำ โดยมีตราสภาผู้แทนราษฎร ด้านหนึ่งเป็นภาษาไทยและอีกด้านหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากที่ทางตำรวจนำมาเปิดเผย พร้อมกันนี้ยังได้นำพาสปอร์ต และเอกสารการเบิกจ่ายเงินกับทางธนาคาร ซึ่งเป็นลายเซ็นภาษาอังกฤษ โดยนายศิริโชคระบุว่าเป็นลายเซ็นที่ใช้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เพราะภาษาไทยตนเขียนเหมือนไก่เขี่ย ก็ขอฝากไปถึงโจรในเครื่องแบบ ด้วยว่า วันหลังถ้าจะปลอมเอกสารหรือลายซ็นตนก็ขอให้ดูเอกสารเหล่านี้ด้วย