รายงานข่าวจากกกต.แจ้งว่า ตลอดช่วงบ่ายวานนี้ ( 14 ส.ค.) มีข่าวลือแพร่สะพัด ทั้งที่สำนักงานกกต.และภายนอกว่า คณะกรรมการไต่สวนกรณี ดีเอสไอ ร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบพรคประชาธิปัตย์รับเงินจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด จำนวน 258 ล้านแล้วไม่แจ้งเป็นเงินบริจาค รวมทั้งใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่ได้รับจาก กกต. 29 ล้านผิดวัตถุประสงค์ ได้มีการประชุมและมีมติแล้วโดยเสียงส่วนใหญ่3 ต่อ2 เสียง เห็นว่าควรยกคำร้อง
เนื่องจาก ในประเด็นการใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่ได้รับจากกกต. 29 ล้าน พรรคประชาธิปัตย์ได้แจ้งรายละเอียดการปฏิบัติตามโครงการที่ได้ขอรับการสนับสนุนไว้อย่างครบถ้วน แม้ในบางรายการจะมีการขอเปลี่ยนแปลง การใช้จ่ายงบประมาณไปเพื่อโครงการอื่นๆ ก็ได้มีการแจ้งรายการไว้ โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองขณะนั้นคือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานกกต. ก็ได้ลงนามอนุญาติทุกครั้ง จึงถือว่าไม่มีพยานหลักฐานที่ชี้ว่าพรรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินกองทุนฯไปผิดวัตถุประสงค์
ส่วนประเด็นเงินบริจาค 258 ล้าน ที่อ้างว่าให้กับพรรคประชาธิปัตย์ผ่าน บริษัท แมซไซอะ นั้น จากการให้ปากคำของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ ต่างยืนยันว่า ไม่เคยได้รับเงินจำนวนดังกล่าว ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงการให้ปากคำของนายประจวบ สังข์ขาว อดีตผู้บริหารบริษัทฯรวมทั้งการสอบสวนของดีเอสไอ ก็ระบุเพียงว่าเงินดังกล่าวเมื่อเข้ามาในบริษัทแล้วก็ถูกโอนให้กับ คนใกล้ชิดผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น โดยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่าเงินนั้นได้ถูกโอนไปให้กับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคในขณะนั้น หรือแม้แต่นายนิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรคในขณะนั้น
ทั้งนี้คณะกรรมการไต่สวนจะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 17 ส.ค.นี้ เพื่อที่จะตรวจสอบรายงานผลสรุปและลงนามก่อนที่จะเสนอต่อประธานกกต.ในวันที่ 18 ส.ค.นี้
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวว่าไม่ทราบว่าคณะกรรมการไตร่สวน มีการลงมติแล้วหรือยัง เพราะกกต.ไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงการทำงาน อีกทั้งตามกำหนด คณะกรรมการไต่สวนจะต้องทำให้แล้วเสร็จเพื่อเสนอให้ กกต.ในวันที่ 18 ส.ค.นี้ โดยทางคณะกรรมการก็ยืนยันว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนด
นางสดศรี กล่าวว่า หากยืนยันมีเงินบริจาคจำนวน 258 ล้านบาท ก็อาจไปดูที่ตลาดหลักทรัพย์ และการเคลื่อนไหวของเงินว่ามาจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน หรือไม่ สำหรับนายประจวบ ถึงจะเป็นพยานปากสำคัญปากหนึ่ง แต่ก็ต้องพิจารณา ร่วมกับพยานปากอื่นด้วย เพราะไม่ทราบว่านายประจวบเป็นกลางแค่ไหน และต้องไปดูเอกสารอื่นประกอบด้วยว่ามีการนำเงินมาให้กับนายประจวบหรือไม่ เช่นเช็ค หรือสัญญาว่าจ้าง ทั้งนี้ พยานที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนาย ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ตอนนี้ยังอยู่ที่ต่างประเทศ และไม่ได้เข้ามาให้การกับ กกต. แต่อย่างใด แต่ข้อมูล ที่มีอยู่และการให้ปากคำของนายประดิษฐ์ก็คงจะเพียงพอต่อการพิจารณา
เนื่องจาก ในประเด็นการใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่ได้รับจากกกต. 29 ล้าน พรรคประชาธิปัตย์ได้แจ้งรายละเอียดการปฏิบัติตามโครงการที่ได้ขอรับการสนับสนุนไว้อย่างครบถ้วน แม้ในบางรายการจะมีการขอเปลี่ยนแปลง การใช้จ่ายงบประมาณไปเพื่อโครงการอื่นๆ ก็ได้มีการแจ้งรายการไว้ โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองขณะนั้นคือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานกกต. ก็ได้ลงนามอนุญาติทุกครั้ง จึงถือว่าไม่มีพยานหลักฐานที่ชี้ว่าพรรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินกองทุนฯไปผิดวัตถุประสงค์
ส่วนประเด็นเงินบริจาค 258 ล้าน ที่อ้างว่าให้กับพรรคประชาธิปัตย์ผ่าน บริษัท แมซไซอะ นั้น จากการให้ปากคำของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ ต่างยืนยันว่า ไม่เคยได้รับเงินจำนวนดังกล่าว ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงการให้ปากคำของนายประจวบ สังข์ขาว อดีตผู้บริหารบริษัทฯรวมทั้งการสอบสวนของดีเอสไอ ก็ระบุเพียงว่าเงินดังกล่าวเมื่อเข้ามาในบริษัทแล้วก็ถูกโอนให้กับ คนใกล้ชิดผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น โดยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่าเงินนั้นได้ถูกโอนไปให้กับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคในขณะนั้น หรือแม้แต่นายนิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรคในขณะนั้น
ทั้งนี้คณะกรรมการไต่สวนจะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 17 ส.ค.นี้ เพื่อที่จะตรวจสอบรายงานผลสรุปและลงนามก่อนที่จะเสนอต่อประธานกกต.ในวันที่ 18 ส.ค.นี้
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวว่าไม่ทราบว่าคณะกรรมการไตร่สวน มีการลงมติแล้วหรือยัง เพราะกกต.ไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงการทำงาน อีกทั้งตามกำหนด คณะกรรมการไต่สวนจะต้องทำให้แล้วเสร็จเพื่อเสนอให้ กกต.ในวันที่ 18 ส.ค.นี้ โดยทางคณะกรรมการก็ยืนยันว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนด
นางสดศรี กล่าวว่า หากยืนยันมีเงินบริจาคจำนวน 258 ล้านบาท ก็อาจไปดูที่ตลาดหลักทรัพย์ และการเคลื่อนไหวของเงินว่ามาจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน หรือไม่ สำหรับนายประจวบ ถึงจะเป็นพยานปากสำคัญปากหนึ่ง แต่ก็ต้องพิจารณา ร่วมกับพยานปากอื่นด้วย เพราะไม่ทราบว่านายประจวบเป็นกลางแค่ไหน และต้องไปดูเอกสารอื่นประกอบด้วยว่ามีการนำเงินมาให้กับนายประจวบหรือไม่ เช่นเช็ค หรือสัญญาว่าจ้าง ทั้งนี้ พยานที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนาย ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ตอนนี้ยังอยู่ที่ต่างประเทศ และไม่ได้เข้ามาให้การกับ กกต. แต่อย่างใด แต่ข้อมูล ที่มีอยู่และการให้ปากคำของนายประดิษฐ์ก็คงจะเพียงพอต่อการพิจารณา