ASTV ผู้จัดการรายวัน - “โกลว์ พลังงาน”ผลงาน 6 เดือนแรกกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 6.9 เหลือ 2,018 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้นหลังพ้นกำหนดยกเว้นของบีโอไอ แต่ใจป้ำจ่ายปันผลเพิ่มเป็น 0.70 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 11 กันยายนนี้
นายเอซ่า เฮสคาเน่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่า บมจ. โกลว์ พลังงาน หรือ GLOW มีงบการเงินรวมในไตรมาส2/52 คิดเป็นกำไรสุทธิ 1,549.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2/51 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 736.99 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 2,018 ล้านบาท ลดลงร้อยละ6.9 จากงวดเดียวกันในปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,166 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 121.9 ล้านบาทจาก 117.6 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2551 มาอยู่ที่ 239.5 ล้านบาท โดยภาษีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้บางส่วนของ บมจ.โกลว์ พลังงาน ที่พ้นกำหนดระยะเวลาการยกเว้นภาษีของบีโอไอ
สำหรับ งบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส2/52 บริษัทมีกำไรสุทธิ 297.76 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส2/51 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 343.10 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนปี 52 คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,146.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,489.33 ล้านบาท
โดยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 17,245 ล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (EBITDA) จำนวน 3,660 ล้านบาท ทำให้บริษัทกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (NNP) จำนวน 1,771 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดเป็นกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ พบว่าในไตรมาส2/52 มีจำนวน 1,173 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 96 หรือจาก 598 ล้านบาทในไตรมาส 1/52โดยมีสาเหตุหลักจากการฟื้นตัวของความต้องการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ค่าไฟฟ้าที่ทรงตัว รวมถึงความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Availability) ที่สูงขึ้น และเงินชดเชยจากประกันภัย
สำหรับ ยอดขายลูกค้าอุตสาหรรมมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/525 และได้กลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว ในขณะที่กำไรจากยอดขายกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน เนื่องมาจากต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซและถ่านหินที่ค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1 โดยเฉพาะราคาถ่านหินที่ลดลงอย่างมากในไตรมาสที่ 2 โดยราคาลงไปอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับ 125 เหรียญสหรัฐต่อตันในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551
ขณะเดียวกัน นับจากที่โรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต 150 เมกกะวัตต์ (CFB#1) ซึ่งได้มีการหยุดดำเนินการนอกแผนงานในไตรมาส 1 และกลับมาเริ่มดำเนินการผลิตตามปกติได้อีกครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Availability) ในไตรมาส 2 อยู่ในระดับที่สูงขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังได้รับเงินชดเชยจากการประกันภัยสำหรับการหยุดดำเนินการนอกแผนงานดังกล่าว โดยในไตรมาส 2 นี้ซึ่งได้บันทึกเงินชดเชยจำนวนประมาณ 170 ล้านบาท จากยอดเรียกร้องเงินชดเชยรวมประมาณ 300 ล้านบาท
และจากการที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มบริษัทประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินกู้สำหรับการขยายโรงไฟฟ้าในปี 2552 เรียบร้อยแล้ว บริษัทจึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 0.70 บาทต่อหุ้น จากจำนวน 0.60 บาทต่อหุ้นในปีก่อนหน้า โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2552 (Record Date) และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 11 กันยายน 2552
“เรามีความพึงพอใจในผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2552 นี้ โดยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสดังกล่าวก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ยอดขายลูกค้าอุตสาหกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทกังวลตั้งแต่ช่วงต้นปีมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 1 จนกลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว ในขณะเดียวกันเราหวังว่ากำไรของธุรกิจพลังความร้อนและไอน้ำร่วม(Cogeneration) จะกลับมาดีขึ้นจากปีที่แล้วที่ต้นทุนเชื้อเพลิงมีราคาสูง ขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าหรือค่า Ft ไม่ได้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สำหรับปีนี้ต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง โดยเฉพาะราคาถ่านหินซึ่งปรับตัวลงมาเกือบร้อยละ 50 นอกจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีแนวโน้มดีขึ้น ความต้องการใหม่จากลูกค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดดำเนินการเช่นกัน และเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต 115 เมกกะวัตต์เริ่มดำเนินการในช่วงปลายปีนี้จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในปี 2553 สูงขึ้น ทั้งนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้า โกลว์จะเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีอัตราการเติบโตของกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1,300 เมกกะวัตต์ หรือสูงขึ้นร้อยละ 67”นายเอซ่า
ด้านนายสุทธิวงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงินกลุ่มบริษัทโกลว์กล่าวเพิ่มเติมว่า การเพิ่มการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้บริหารในการจัดหาเงินทุนสำหรับการขยายโรงไฟฟ้า และสภาพคล่องในตลาดที่ดีขึ้น โดยการจัดหาเงินทุนในปีหน้าจะมีระยะเวลาการกู้ยืม (Tenor) เพียง 2 ถึง 4 ปีเท่านั้น นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าโกลว์จะยังคงนโยบายในการสร้างประโยชน์สูงสุดจากฐานะทางการเงินของเรา โดยเรามุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่นอกจากจะจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจแล้ว ยังมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
นายเอซ่า เฮสคาเน่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่า บมจ. โกลว์ พลังงาน หรือ GLOW มีงบการเงินรวมในไตรมาส2/52 คิดเป็นกำไรสุทธิ 1,549.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2/51 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 736.99 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 2,018 ล้านบาท ลดลงร้อยละ6.9 จากงวดเดียวกันในปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,166 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 121.9 ล้านบาทจาก 117.6 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2551 มาอยู่ที่ 239.5 ล้านบาท โดยภาษีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้บางส่วนของ บมจ.โกลว์ พลังงาน ที่พ้นกำหนดระยะเวลาการยกเว้นภาษีของบีโอไอ
สำหรับ งบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส2/52 บริษัทมีกำไรสุทธิ 297.76 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส2/51 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 343.10 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนปี 52 คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,146.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,489.33 ล้านบาท
โดยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 17,245 ล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (EBITDA) จำนวน 3,660 ล้านบาท ทำให้บริษัทกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (NNP) จำนวน 1,771 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดเป็นกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ พบว่าในไตรมาส2/52 มีจำนวน 1,173 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 96 หรือจาก 598 ล้านบาทในไตรมาส 1/52โดยมีสาเหตุหลักจากการฟื้นตัวของความต้องการของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ค่าไฟฟ้าที่ทรงตัว รวมถึงความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Availability) ที่สูงขึ้น และเงินชดเชยจากประกันภัย
สำหรับ ยอดขายลูกค้าอุตสาหรรมมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/525 และได้กลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว ในขณะที่กำไรจากยอดขายกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน เนื่องมาจากต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซและถ่านหินที่ค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1 โดยเฉพาะราคาถ่านหินที่ลดลงอย่างมากในไตรมาสที่ 2 โดยราคาลงไปอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับ 125 เหรียญสหรัฐต่อตันในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551
ขณะเดียวกัน นับจากที่โรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต 150 เมกกะวัตต์ (CFB#1) ซึ่งได้มีการหยุดดำเนินการนอกแผนงานในไตรมาส 1 และกลับมาเริ่มดำเนินการผลิตตามปกติได้อีกครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Availability) ในไตรมาส 2 อยู่ในระดับที่สูงขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังได้รับเงินชดเชยจากการประกันภัยสำหรับการหยุดดำเนินการนอกแผนงานดังกล่าว โดยในไตรมาส 2 นี้ซึ่งได้บันทึกเงินชดเชยจำนวนประมาณ 170 ล้านบาท จากยอดเรียกร้องเงินชดเชยรวมประมาณ 300 ล้านบาท
และจากการที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มบริษัทประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินกู้สำหรับการขยายโรงไฟฟ้าในปี 2552 เรียบร้อยแล้ว บริษัทจึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 0.70 บาทต่อหุ้น จากจำนวน 0.60 บาทต่อหุ้นในปีก่อนหน้า โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2552 (Record Date) และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 11 กันยายน 2552
“เรามีความพึงพอใจในผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2552 นี้ โดยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสดังกล่าวก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ยอดขายลูกค้าอุตสาหกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทกังวลตั้งแต่ช่วงต้นปีมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 1 จนกลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว ในขณะเดียวกันเราหวังว่ากำไรของธุรกิจพลังความร้อนและไอน้ำร่วม(Cogeneration) จะกลับมาดีขึ้นจากปีที่แล้วที่ต้นทุนเชื้อเพลิงมีราคาสูง ขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าหรือค่า Ft ไม่ได้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สำหรับปีนี้ต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง โดยเฉพาะราคาถ่านหินซึ่งปรับตัวลงมาเกือบร้อยละ 50 นอกจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีแนวโน้มดีขึ้น ความต้องการใหม่จากลูกค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดดำเนินการเช่นกัน และเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังการผลิต 115 เมกกะวัตต์เริ่มดำเนินการในช่วงปลายปีนี้จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในปี 2553 สูงขึ้น ทั้งนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้า โกลว์จะเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีอัตราการเติบโตของกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1,300 เมกกะวัตต์ หรือสูงขึ้นร้อยละ 67”นายเอซ่า
ด้านนายสุทธิวงศ์ คงสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงินกลุ่มบริษัทโกลว์กล่าวเพิ่มเติมว่า การเพิ่มการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้บริหารในการจัดหาเงินทุนสำหรับการขยายโรงไฟฟ้า และสภาพคล่องในตลาดที่ดีขึ้น โดยการจัดหาเงินทุนในปีหน้าจะมีระยะเวลาการกู้ยืม (Tenor) เพียง 2 ถึง 4 ปีเท่านั้น นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าโกลว์จะยังคงนโยบายในการสร้างประโยชน์สูงสุดจากฐานะทางการเงินของเรา โดยเรามุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่นอกจากจะจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจแล้ว ยังมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน