ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยพาณิชย์มั่นใจดันสินเชื่อบ้านปีนี้โตได้ตามเป้า คาดยอดความต้องการซื้อบ้านเพิ่ม จากราคาบ้านที่ยังต่ำ แต่การแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อยังรุนแรง โดยใช้กลยุทธดอกเบี้ยเป็นหลัก พร้อมคุมเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับ 2.5%
นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีธนาคารสามารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจากนี้จนถึงสิ้นปี 2552 จะปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ทั้งปีที่ 53,000-55,000 ล้านบาท และทำให้ฐานสินเชื่อคงค้างสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 240,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ ถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากราคาบ้านยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก อีกทั้งหากเศรษฐกิจฟื้นตัวก็จะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาบ้านก็จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้การซื้อบ้านในช่วงนี้จะได้รับการลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้น และลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการโอนซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมีความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
"ยอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารในปีนี้ไม่ต่างกับปีที่แล้ว โดยตลาดใหญ่ยังเป็นสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ส่วนสินเชื่อที่เป็นสินเชื่อใหม่ หรือสินเชื่อที่ปล่อยกู้ซื้อบ้านใหม่มีน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายย่อยที่อยู่ตามต่างจังหวัด รอดูทิศทางของเศรษฐกิจ จึงได้ชะลอขึ้นโครงการใหม่ ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มียอดขายเท่ากับปีก่อน และเมื่อรวมยอดขายทั้งรายใหญ่ และรายย่อย ทำให้ยอดขายในปีนี้ลดลง"
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารยอมรับว่ายอดคำขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ปรับตัวลดลง 10 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ลูกค้าขอสินเชื่อกับธนาคารน้อยลง ส่วนยอดอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยของในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 80-85 % ของยอดคำขอสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารตั้งเป้าควบคุมในสิ้นปีนี้ให้อยู่ที่ 2.5 % ของสินเชื่อรวม จากในช่วง 7 เดือนแรกอยู่ที่ 2.3 %
นายรุ่งเรืองกล่าวอีกว่า ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากนี้จนถึงสิ้นปี เชื่อว่าการแข่งขันยังรุนแรง โดยเฉพาะกลยุทธอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0% ในระยะเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี ยังคงมีอยู่ในตลาดต่อไป ซึ่งหากเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้เล่นรายใหม่เข้ามาตลาด และต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด การเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่าคู่แข่งขันยังจำเป็น ในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์เองมีส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นอันดับ 1 ของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด จะสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นอัตราที่แข่งขันได้ และจะเน้นในเรื่องของความรวดเร็วในการอนุมัติ การให้บริการที่ดีเป็นหลัก
นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีธนาคารสามารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจากนี้จนถึงสิ้นปี 2552 จะปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ทั้งปีที่ 53,000-55,000 ล้านบาท และทำให้ฐานสินเชื่อคงค้างสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 240,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ ถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากราคาบ้านยังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก อีกทั้งหากเศรษฐกิจฟื้นตัวก็จะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาบ้านก็จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้การซื้อบ้านในช่วงนี้จะได้รับการลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้น และลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการโอนซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมีความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
"ยอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารในปีนี้ไม่ต่างกับปีที่แล้ว โดยตลาดใหญ่ยังเป็นสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ส่วนสินเชื่อที่เป็นสินเชื่อใหม่ หรือสินเชื่อที่ปล่อยกู้ซื้อบ้านใหม่มีน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายย่อยที่อยู่ตามต่างจังหวัด รอดูทิศทางของเศรษฐกิจ จึงได้ชะลอขึ้นโครงการใหม่ ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มียอดขายเท่ากับปีก่อน และเมื่อรวมยอดขายทั้งรายใหญ่ และรายย่อย ทำให้ยอดขายในปีนี้ลดลง"
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารยอมรับว่ายอดคำขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ปรับตัวลดลง 10 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ลูกค้าขอสินเชื่อกับธนาคารน้อยลง ส่วนยอดอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยของในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 80-85 % ของยอดคำขอสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารตั้งเป้าควบคุมในสิ้นปีนี้ให้อยู่ที่ 2.5 % ของสินเชื่อรวม จากในช่วง 7 เดือนแรกอยู่ที่ 2.3 %
นายรุ่งเรืองกล่าวอีกว่า ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากนี้จนถึงสิ้นปี เชื่อว่าการแข่งขันยังรุนแรง โดยเฉพาะกลยุทธอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0% ในระยะเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี ยังคงมีอยู่ในตลาดต่อไป ซึ่งหากเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้เล่นรายใหม่เข้ามาตลาด และต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด การเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่าคู่แข่งขันยังจำเป็น ในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์เองมีส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นอันดับ 1 ของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด จะสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นอัตราที่แข่งขันได้ และจะเน้นในเรื่องของความรวดเร็วในการอนุมัติ การให้บริการที่ดีเป็นหลัก
